ผมละโคตรโล่งใจเลย!!

ในที่สุด รถยนต์นั่ง ที่ Nissan เคลมว่าเป็น B-Segment Crossover SUV รุ่นแรก
ในประเทศไทย ก็ได้ฤกษ์ เปิดตัวออกสู่ตลาดบ้านเรากันเสียที! สมกับที่ต้องเฝ้า
รอคอยมานานตลอด 4 ปี

ต่อไปนี้ ไม่ต้องมานั่ทนตอบคำถามว่า “พี่จิมมี่ครับ เจ้า Juke จะมาไทยไหมครับ?
แล้วเมาเมื่อไหร่ครับ ราคาเท่าไหร่ครับ แพงไหมพี่? ฯลฯ” อีกต่อไปแล้วโว้ยยยย

เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ตอนแรก ผมก็ดีใจอยู่หรอก เพราะก่อนหน้านี้ เคยบอกกับ ผู้บริหารของ Nissan
ในบ้านเราไปแล้วว่า

“ถ้า Juke ยังไม่เปิดตัวในเมืองไทย ทันสิ้นปี 2013 ก้ไม่ต้องเอามาขายแล้วนะ
ตลาดวายไปหมดแล้ว! เดี๋ยวเจอ คู่แข่ง C-Segment ทั้ง Toyota Corolla Altis
กับ Mazda 3 มาแย่งยอดขายไป ก็จบเห่แล้ว!”

สุดท้าย มาทันเวลา Motor Expo ปลายปี 2013 กันพอดี ก็ถือว่า การได้ยอดจอง
มากถึง 5,500 คัน จนถึงวันที่บทความนี้เผยแพร่ออกไป นับว่า เป็นความสำเร็จ
ที่น่าประหลาดใจของ Nissan เพราะก่อนหน้านี้ ผู้คนที่นั่น ต่างพากันไม่ค่อย
มั่นใจว่า “เจ้าเงาะแดง” ที่ชื่อว่า “หนูจุก” คันนี้ มันจะขายดีกันจริงๆหรือ?

ถือว่าคนที่ตึกนันทวัน และบางนา-ตราด กม. 21-22 เขาโล่งใจกันไปเปลาะหนึ่ง

แต่พอได้ฟังได้อ่านความเห็นตาม Webboard ภาษาไทยต่างๆแล้ว บอกตามตรงว่า
ฟังแล้ว มึนตึ๊บ! ควัก เซียงเพียวอิ๊ว มาดมแทบไม่ทัน จนอากงที่ฉลากขวด ต้อง
ปีนออกมา พัดให้เองกับมือ พั่บๆๆๆ…!

“หน้าตาประหลาดจัง ทำการตลาดก็แปลกๆ ใช้ตาพีท พชร เนี่ยนะ ไม่เหมาะกับรถ
เน้นลุยเน้นขนของแบบนี้เลย ขายไม่ได้หรอก”

“ทำไมขายแพงจัง จะแข่งกับน้องแจ๊ส (Honda Jazz) ได้เหรอ?”

“เทียบกับ CR-V ดูแล้วสู้ไม่ได้เลย ที่เก็บของเล็กมาก แถมเบาะหลังแทบนั่งไม่ได้”

คำถามเหล่านี้ คือสิ่งที่ ผม และ ผู้คนรอบๆข้าง ต่างได้ยิน ได้อ่าน หรือ
รับรู้กันมา นับตั้งแต่ วันที่ เจ้าเงาะแดง จุกน้อยกลอยใจ เปิดตัวสู่ตลาด
เมืองไทย เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2013

ทำอย่างไรได้ละครับ ก็รถรุ่นนี้ มันใหม่มากๆ และผู้บริโภคบ้านเราก็ยัง
ไม่รู้จัก รถยนต์ประเภทนี้ดีพอ ไม่ผิดหรอกที่เราๆท่านๆ จะนึกถึงบรรดา
SUV อย่าง Honda CR-V อยุ่ในหัว เวลาเปรียบเทียบเจ้า Juke

แต่ในความเป็นจริงนั้น..มันไม่ใช่อย่างที่คิด

เชื่อแน่ว่า จนถึงตอนนี้ หลายคนคงยังสงสัยว่า ไอ้รถยนต์ประเภท B-Segment
Crossover นี่มันคืออะไร แล้วมันเหมือนหรือต่างจาก SUV แบบเดิมๆที่คนไทย
เริ่มคุ้นชินแล้ว กันมากน้อยแค่ไหน?

อ่านบทความนี้ให้จบ ครบทุกตัวอักษรนะครับ เพราะคุณจะรู้แบบหมดเปลือก
ว่า เจ้า B-Segment SUV หน้าตาพิลึกพิลั่นแบบนี้ มันเหมากับคุณหรือไม่

แต่ก่อนอื่น ต้อง ทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า Crossover นั้น หมายความว่าอย่างไร?

ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่นั้น คำว่า Crossover เพิ่งจะเริ่มปรากฎ
ให้เห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อช่วงทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา เป็นกระแสต่อเนื่อง
มาจากยุค SUV Boom ในช่วงปี 1997 ต่อเนื่องถึง 2005 เมื่อลูกค้าที่เคย
อุดหนุน Urban-SUV  ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของรถเก๋ง (เช่น Honda
CR-V, Ford Escape) จำนวนมาก เริ่มมองเห็นว่า อยากได้บุคลิกแบบ
ลุยๆนิดๆ ผสมผสานกับการใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น เราจึงได้เห็นการ
นำ รถยนต์ SUV ไปผสมเข้ากับรถยนต์แบบอื่นๆ นั่นละคือที่มาของ
คำว่า Crossover

ยกตัวอย่างเช่น Minivan ที่มีบุคลิกของ รถเก๋ง Sedan เข้าไปผสม ก็
เรียกว่า รถยนต์ Crossover Minivan หรือ ในกรณีของ Juke ซึ่งเป็น
การนำ SUV มาผสมกับ รถสปอร์ต เราก็เรียกว่า Crossover SUV

แล้วจุดเริ่มต้นของ Juke กับ B-Segment SUV ละ? มันมาได้ยังไง?

อันที่จริง แนวคิดในการทำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ขนาดเล็ก นั้น
มีมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ในยุคเริ่มแรก ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่น
หลายค่าย พยายามทำรถยนต์ต้นแบบออกมา แต่ดูเหมือนว่า ผู้บริโภค
ยังไม่ได้ต้องการรถยนต์ประเภทนี้อย่างจริงจังนัก

ดังนั้น ในทศวรรษ 1990 เราจึงเห็นผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก พยายาม
ศึกษาตลาดกลุ่มนี้ ด้วยการนำรถยนต์ Compact Hatchback ที่ตนทำขาย
กันอยู่แล้ว มาติดตั้ง กาบข้างแบบสีดำ ตกแต่งในสไตล์ SUV ออกขายกัน
เป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า แม้จะพอขายได้ แต่กระแสตอบรับยังไม่แรง
มากพอ รถยนต์ประเภทนี้ จึงค่อยๆ Fade ตัวเองหายไปในช่วงปี 2000
จนถึง 2005

พอย่างเข้าปี 2006 ผลการวิจัยตลาดบ่งชี้ว่า ความต้องการ SUV ขนาดเล็ก
ต่ำกว่า Honda CR-V หรือ Ford Escape เริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป
ซึงมีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้นมาก แต่ผู้ผลิตหลายค่าย ต่างยังไม่แน่ใจ
ว่าแนวโน้มความต้องการที่แท้จริง จะเป็นไปตามผลวิจัยตลาด หรือไม่

แต่ Nissan เห็นโอกาสแล้ว ลุยโลดก่อนใครเพื่อน ในช่วงราวๆ ปี 2007
พวกเขาถึงกับทึ่ง เมื่พบว่า Nissan Qashqai รถยนต์พิกัดใหม่ล่าสุด
C-Segment Compact Crossover SUV รหัสโครงการ P32L ที่
เริ่มจำหน่ายในยุโรป ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนทำยอดขาย
ได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ไปถึง 250% !!!

เหตุผลก็เพราะว่า Qashqai ตอบสนองความต้องการที่ว่างอยู่ ของลูกค้า
ในยุโรป ได้ก่อนคู่แข่งทุกค่าย ตอนนั้น พวกเขาต้องการรถเก๋งยกสูง
ที่ “ไม่เหมือนใคร” แต่ยังรักข้อดีของรถเก๋งระดับ Compact ที่ประหยัด
คล่องตัว เลี้ยงดูง่าย นั่นเอง

ทีม Product Strategy ของ Nissan Motor ญี่ปุ่น จึงศึกษาต่อว่า น่าจะมี
โอกาสที่กระแสนี้จะขยายไปยังรถยนต์ขนาดเล็กลงอย่าง B-Segment
Sub-Compact class ด้วย และนี่คือ จุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนา Juke
ที่เรียกกันภายใน Nissan ว่า “Project Code : X12C”

เมื่อศึกษาลึกลงไปถึงความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ขับ Ford Fiesta,
Toyota Yaris, Vauxhall Corsa หรือแม้แต่ Honda Jazz รุ่นแรก แล้ว
ค้นพบว่า คนเล่านี้เบื่อความซ้ำซากจำเจของรถยนต์Sub-Compact
บ้านๆพวกนี้ อยากได้ของใหม่ที่สะท้อนตัวตนสนองอารมณ์ของ
ตัวเองได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะความสปอร์ตที่อยากให้ใส่เข้าไปให้
เยอะๆ แนวทางการพัฒนา ของ X12C จึงออกมาเป็นแบบนี้

X12C = small crossover between “SUV” + “Sport car”

พวกเขาเริ่มวางแนวทางในการพัฒนารถยนต์ B-Segment Crossover
SUV ก่อนใครเพื่อน ภายใต้รหัสโครงการ X12C (ก่อนจะเปลี่ยนมา
เป็น W12C ในภายหลัง) โดยตั้งใจว่า จะใช้โครงสร้างวิศวกรรม และ
พื้นตัวถัง Nissan B-Platform ร่วมกับ รถยนต์นั่งอย่าง Cube , Note
รวมไปถึง Livina และ TIIDA กับ TIIDA Latio แต่ในความเป็นจริง
Juke ใช้พื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ Sylphy และ Pulsar
รุ่นใหม่ในบ้านเรา ต่างหาก

ในเมื่อ เป้าหมายหลักของ รถคันนี้ คือตลาดยุโรป Nissan จึงสั่งให้ทีม
ออกแบบของ Nissan Design Europe ใน London เป็นผู้เริ่มต้น
สร้างงานออกแบบของรถคันนี้ หลังจากนั้น ก็ให้ศูนย์ออกแบบ Nissan
Design Centre ในญี่ปุ่น เป็นผู้ขัดเกลาขั้นสุดท้าย

พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่า ในเมื่อรถยนต์กลุ่มนี้ ตั้งใจจะวางเป้าหมายให้กลุ่ม
คนหนุ่มสาว โสด อายุเฉลี่ย 30 ปี ดังนั้น พวกเขาควรจะออกแบบรถยนต์
คันใหม่นี้ ไปในแนวทางไหน?

ทีมออกแบบ คิดหา Keyword หรือคำจำกัดความต่างๆมากมาย มาใช้ในการ
กำหนดรูปลักษณ์ของ Juke แต่หนึ่งในนั้น ก็มีคำแปลกๆ เช่น Robiotic ซึ่ง
เป็นการผสมคำกันระหว่างคำว่า Robotic อันเป็นคำ Adjective แปลว่า
“เกี่ยวกับหุ่นยนต์”  และคำว่า Biological ซึ่งแปลว่า “ชีววิทยา” การนำคำ
ทั้ง 2 มาสนธิรวมกัน แสดงให้เห็นถึงการผสานเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่าง
เครื่องจักรและมนุษย์ที่อยู่ในการออกแบบของ Juke

อย่างไรก็ตาม ทีมวิศวกรยังต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการออกแบบ
Juke ไม่ว่าจะเป็นการยกพื้นรถให้สูงขึ้น จนทำให้มีจุดศูนย์ถ่วง เพิ่มสูงขึ้น
การออกแบบห้องโดยสารบนพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ไปจนถึงการเลือกใช้ล้อ
อัลลอยที่มีขนาดใหญ่ ทั้งที่ตัวรถ มีระยะห่างระหว่างล้อจนถึงขอบกันชน
ที่สั้นเอาเรื่อง ในสไตล์ Shot Overhang ทั้งด้านหน้าและหลัง ดังนั้น
การออกแบบให้ตัวรถมีความสมส่วน จึงกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญของ
ทีมออกแบบ

Seiji Watanabe : Product Chief Designer วัย 45 ปี ผู้มีบุคลิกร่าเริง
ช่างพูด และมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าอายุของเขามาก เล่าถึงจุดมุ่งหมายหลักของเขา
ในการออกแบบ Juke คันนี้ ไว้ว่า “รถคันนี้จะต้องมีขนาดกะทัตรัต แต่ต้องให้
ความรู้สึกเหมือนได้ขับรถที่มีขนาดใหญ่ จึงต้องใส่องค์ประกอบต่างๆ ที่เพิ่มความ
รู้สึก Premium เข้าไปในรถ พร้อมๆกับการทำให้ Juke มีจุดยืนในการออกแบบ
ที่ชัดเจน เพียงแค่ตัวรถมีขนาดเล็ก ก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นรถที่มีราคาถูก”

แรงบันดาลใจของ Watanabe-san ในการออกแบบ Juke ก็คือ ภาพเมื่อ
ครั้งที่เขาเคยเห็น คนส่งจดหมายที่กำลังขี่จักรยานแบบ Crossover (แบบ
กึ่งถนนกึ่งเสือภูเขา) ใน London กำลังกระโดดข้ามฟุตบาทของถนนอย่าง
ง่ายดาย “นั่นทำให้ผมได้ไอเดียบางอย่างในการออกแบบรถคันนี้ ในเบื้องต้น
ผมอยากสร้างรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้หลายรูปแบบถนน ไม่ว่าจะเป็นในเมือง
หรือในป่า แต่ก็มีบุคลิกรถสปอร์ต อยู่ในร่างรถยนต์ขนาดเล็ก เหมือนกับที่ผม
ได้เห็นจักรยานคันนั้น”

อีกแรงบันดาลใจหนึ่งที่มีส่วนในการออกแบบ Juke ก็คือ รถสปอร์ตรุ่นใหม่
Nissan Fairlady Z ใหม่ 370 Z รุ่นปัจจุบัน ซึ่งในตอนนั้น กำลังเข้าสู่
ช่วงสุดท้ายของการพัฒนา ก่อนเปิดตัวออกสู่ตลาดจริง ผสมผสานกับแนว
เส้นที่ได้รับอิทธิพลมาจาก รูปแบบของ รถ Buggy ลุยทะเลทราย และ
จักรยานยนต์ ขนาดใหญ่แบบ Big Bike สีแดงสดๆ!

“เมื่อคุณได้เข้าไปอยู่หลังพวงมาลัยของรถคันนี้ คุณจะรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้น
และนั่นก็เป็นสิ่งที่พิเศษของ Juke  ซึ่งแตกต่างไปจากรถยนต์ประเภท ขับสนุก
ในยุคก่อนๆ ให้คุณไม่ได้” Watanabe-san กล่าวต่อไปว่า “การออกแบบรถ
เพื่อให้มีอัตราการสิ้นเปลืองที่ดีและมีห้องโดยสารที่กว้างขวางแถมยังปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำและมีราคาที่ไม่แพงเกินไปกว่าที่คุณจะหาซื้อมาใช้
ซักคันนั้น เป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะผสานทุกข้อจำกัดข้างต้น ให้มารวมอยู่ใน
รถยนต์คันเดียวได้อย่างลงตัว แต่ Juke ก็สามารถทำได้”

Takashi Nogushi นักออกแบบ Exterior Designer ของ Juke ทำงาน
อยู่กับ Nissan มาเกือบทั้งชีวิต แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ช่วงแรก เขาถูก
ว่าจ้าง ในฐานะวิศวกร แต่หลังจากที่เขากลับไปเรียนต่อและจบการศึกษาจาก
สถาบันการออกแบบ Nissan กลับว่าจ้างเขาให้ อยู่ฝ่ายออกแบบ และได้เลื่อน
ตำแหน่งเป็นหัวหน้างานออกภายรูปลักษณ์ภายนอกของ Juke

ไม่แปลก ที่ความคิดเห็นขัดแย้งกัน เกิดขึ้นในหลายๆครั้ง ตั้งแต่ขั้นตอนการร่าง
แบบสเก็ตช์ ไปจนถึงการสรุปงานออกแบบรถยนต์ในขั้นสุดท้าย บางอย่างที่ทีม
ออกแบบได้รังสรรค์ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจกับทีม แต่ในขณะเดียวัน มันก็ดู
แปลกประหลาดมากสำหรับรถยนต์ในยุคนี้ ถึงขั้นที่ผู้บริหารบางคนยังตั้งข้อสงสัย
ว่า รถคันนี้จะขายได้จริงหรือ?

เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ทั่วไป แต่ละมุมบนเรือนร่างของ Juke นั้น โดดเด่น
และแปลกตา อย่างท้าทายมากๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เป็นเรื่องที่ยากในขั้นตอนเตรียม
การผลิตอีกเช่นกัน

ประเด็นด้าน อากาศพลศาสตร์ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญกับรถคันนี้ เดิมที หลังคา
ของ Juke ถูกออกแบบมาให้มีมุมองศาด้านหลังที่มากกว่ารถที่ผลิตจริง แต่
เมื่อตัวรถประสบปัญหา อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ไม่เป็นไปตามต้องการ
และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ต้องมีการรื้องานออกแบบหลังคาใหม่หมด!

ขณะเดียวกัน ไฟท้ายรูปตัว L ที่ดูแล้วชวนให้นึกถึง Fairlady Z ก็ยังมีเรื่อง
อากาศพลศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง การที่ไฟท้ายมีพิ้นผิวที่เรียบไปกับตัวรถนั้น
ทำให้มันมีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีและยังมีความสวยงามอีกด้วย

Nogushi-san อธิบายถึงกฏสำหรับการออกแบบให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ใดก็ตาม ประสบความสำเร็จ “มีอยู่สองกฏสำหรับการทำให้สินค้าขายดี
ที่สุด อันดับแรกคือมันต้องเป็นของแท้, ดั้งเดิมและมีงานออกแบบ ที่
สืบทอดต่อเนื่องกันมา แต่ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่ อีกประการหนึ่งคือมันต้อง
มีความแตกต่างและไม่มีอะไรที่เหมือนกับมันเลย และนี่ ก็เป็นสิ่งที่
ทำให้ Nissan และ Juke แตกต่างจากรถยนต์ของค่ายอื่นๆ

ขั้นตอนการออกแบบนั้นก็ไม่ได้ง่ายไปเสียทุกอย่าง แต่ Nogushi-san
ก็แสดงให้เห็นว่า การหาวิธีแก้กฏที่คนส่วนใหญ่เดินตามนั้น จะต้อง
ยืนอยู่ในจุดที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่
ด้านหน้ารถนั้นให้ความรู้สึกเหมือน รถยนต์ขนาดใหญ่กว่า

“สิ่งที่ผมพยายามทำก็คือ ออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของรถให้มีความ
Premium อยู่ในตัว เพราะ Juke เป็นรถที่มีขนาดเล็กก็จริง แต่นั้นก็ไม่ได้
หมายความว่าหน้าตาของมันจะต้องเป็นเหมือนกับรถราคาถูกซะหน่อย”

Nogushi-san ยังบอกอีกว่าสัดส่วนของตัวรถเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด
เพราะรถยนต์ขนาดเล็กโดยทั่วไปนั้น หน้าตาดูเรียบๆ แต่ Juke มีพื้นผิว
ที่เป็นแบบสามมิติ เมื่อจับคู่กับล้อที่มีขนาดใหญ่ มันจึงแตกต่างไปจาก
รถยนต์คันอื่น ในพิกัดเดียวกัน

สิ่งที่ Nogushi-san พอใจมากที่สุดคือการผสมผสานกันของไฟหน้าอย่าง
ลงตัว “ความตั้งใจในการออกแบบไฟหน้าคือเราต้องการทำให้ตาของรถ
มาอยู่ในตำแหน่ง ที่สูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
Juke เป็นรถขนาดเล็ก แต่มันก็สามารถยืนได้ด้วยตัวของมันเอง โดยที่
ไม่ได้เกรงกลัวกับรถที่มีขนาดใหญ่กว่าเลย”

Patrick Reimer นักออกแบบ Interior Designer ผู้มีประสบการณ์ในการ
ออกแบบห้องโดยสารรถยนต์จากผู้ผลิตฝั่งยุโรป เล่าถึงมุมมองของเขาที่มีต่อ
Juke ว่า “พวกเราพยายามผสมผสานความสะดวกสบาย, ความปลอดภัยและ
เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน เราใช้ Keyword มากมายในการออกแบบ
รถคันนี้ อย่างเช่นคำว่า biotic ซึ่งหมายถึง การใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลางในการ
ออกแบบและมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบาย มันเป็น
เรื่องสำคัญมากที่จะต้องสร้างรูปแบบที่แตกต่างออกไป ผู้คนที่ได้เข้ามานั่งใน
รถคันนี้จะต้องพูดว่า “นี่เป็นรถยนต์ที่แปลกใหม่และดูแตกต่างจากคันอื่น”

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและอากาศพลศาสตร์มีอิทธิพลต่อการออกแบบภายใน
ห้องโดยสาร ด้วยเช่นกัน ไรเมอร์กล่าว “เราต้องการทำให้มันเป็นรถที่มีขนาด
เล็กและกะทัดรัดให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ยังรักษาตำแหน่งที่นั่งสูง
เพื่อให้เกิดความสบายกับคนขับและยังทำให้เกิดความปลอดภัยอีกด้วย รถที่อยู่
ในพิกัดเดียวกันนั้น ส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์ที่เล็กและคับแคบ การหาความพอดี
ระหว่างสิ่งที่เราสามารถให้กับลูกค้าได้ ภายในงบประมาณที่กำหนดไว้ เป็นงาน
ที่เราต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ฉันต้องได้มากกว่านี้ ด้วยเงินที่ฉันมีอยู่เท่านี้สิ””

ขั้นตอนการสร้าง Juke ตั้งแต่เริ่มสเก็ตช์ภาพรถไปจนถึงการออกขายจริงนั้น
ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับรถยนต์ที่มีความโดดเด่นและ
แปลกแหวกแนวมากขนาดนี้

หลังจากซุ่มออกแบบและพัฒนากันมา 2 ปี Nissan จึงส่งรถยนต์ต้นแบบจาก
โครงการนี้ ในชื่อ Nissan Qazana ขึ้นอวดโฉมส่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก
บนแท่นหมุนในบูธของตน ณ งาน Geneva Auto Salon เมื่อ 3 มีนาคม 2009

พร้อมกันนี้ Nissan ยืนยันว่า รถคันนี้ จะถูกนำไปขึ้นสายการผลิต เพื่อออก
จำหน่ายจริง ณ โรงงานของ Nissan ในเมือง Sunderland ประเทศอังกฤษ
แทน Nissan March/Micra ซึ่งต้องย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย และ
อินเดีย เนื่องจาก ถ้าหากยังคงปล่อยให้ March/Micra รุ่นที่ 4 ประกอบขาย
ในอังกฤษต่อไป ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นมาก จนขายในราคาถูก แข่งกับ
ชาวบ้านเขา ไม่ได้

ครั้งแรกที่ได้เห็นรถคันนี้ ผมคิดไปว่า มันดูไกลเกินการผลิตขายจริงแน่ๆ
แต่เมื่อได้ยิน ใครบางคน แย้มๆกระซิบ มา ตาผมก็ลุกวาวทันใด…

“คอยดูนะ Qazana หนะ เดี๋ยวเขาจะทำออกขายจริง แล้วหน้าตาของมัน
จะไม่ต่างกันเลย เหมือนกับรถต้นแบบไม่มีผิด!”

“จะเป็นไปได้เหรอ?…”

แต่สุดท้าย ก็เป็นไปอย่างที่เห็นอยู่นี่แล้วละ!

เมื่อถึงเวลาจำหน่ายจริง ชื่อรุ่นที่ถูกใช้เรียกแทนรหัส W12C > X12C
และจบที่ P12C ก็คือ Juke ซึ่งมีความหมายจาก การเคลื่อนไหวอย่าง
รวดเร็วหรือฉับพลันในกีฬา American Football ผู้เล่นจะต้องวิ่งกลับไป
ให้ทัน เพื่อกันไม่ให้คู่ต่อสู้รับลูกได้ทัน ชื่อ Juke ถูกเลือกขึ้นมา เพื่อ
สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของตัวรถยนต์ ที่พร้อมจะท้าทายต่อชีวิตประจำวัน
ของทุกคน

Nissan เริ่มเผยภาพถ่ายแรกแบบ Teaser ของ Juke ในเงาดำมืด เมื่อ
วันที่ 7 มกราคม 2010 ก่อนจะเผยโฉมให้เห็นแบบหมดจดหมดเปลือก
ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2010 แล้วจึงนำไปเปิดผ้าคลุมอย่างเป็นทางการ
สู่สายตาชาวโลก ครั้งแรก ณ งาน Geneva Auto Salon เมื่อวันที่ 4
มีนาคม 2010

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่น ยังคงเป็นประเทศแรก ที่ Nissan เลือกส่ง Juke
ขึ้นโชว์รูม เปิดตัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2010 พร้อมๆกับการ
ประกาศราคาขาย ในอังกฤษ ก่อนจะ ค่อยๆ ทะยอยตามไปเปิดตัว
ในประเทศอื่นๆ

ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกา Juke ล็อตแรก เริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ครั้งแรก
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2010

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเปิดตัวก็คือ Juke ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จน Nissan
ออกมาประกาศถึงความสำเร็จของ Juke เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2010 ว่า
เพียงแค่ออกสู่ตลาดได้ 4 เดือน Juke ก็มียอดสั่งจองจากลูกค้าทั่วโลก
เข้ามามากมาย รวมแล้วสูงมากถึง 50,000 คัน!! ในจำนวนนี้ เป็นตัวเลข
ยอดสั่งจองเฉพาะในญี่ปุ่นเองถึง 20,000 คัน ทะลุเป้ายอดขายเดือนละ
1,300 คัน ไปไกลมากๆ

ขณะที่ในยุโรป หลังการประกาศราคาขายเมื่อเดือนมิถุนายน 2010 ก็มี
ยอดสั่งจองเข้ามารวมแล้วมากถึง 30,000 คัน ในอังกฤษเอง ยอดตขาย
ของ Juke ตั้งแต่ ปี 2010 จนถึงเดือนกันยายน 2013 อยู่ที่ 23,186 คัน
ส่วนในสหรัฐอเมริกาก็มีผู้แสดงความสนใจ ลงชื่อมากถึง 17,500 ราย
ก่อนวันเปิดตัว

นอกจาก โรงงาน Oppama ในญี่ปุ่น และ Sunderland ในอังกฤษ
แล้ว โรงงานแห่งใหม่ใน Indonesia ได้กลายเป็นอีกฐานผลิตสำคัญ
ของ Juke เพื่อจะป้อนตลาด และเปิดตัวในปี 2011

ในตอนแรก หลายๆคนต่างคิดว่า Juke ไม่น่าจะถูกรสนิยมชาวอิเหนา
เท่าใดนัก เพราะเส้นสายของมัน ดูล้ำยุคเกินไป แถมยังมีราคาสูงกว่า
Toyota Rush และ Suzuki SX4 แต่ปรากฎว่า หลังงานเปิดตัวอย่าง
เป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2011 ผลตอบรับกลับพลิกล็อกเกิน
ความคาดหมาย

เพราะเพียงแค่ 13 วัน หลังเปิดตัว Nissan Juke กวาดยอดจองไปได้ถึง
2,000 คัน โดยเฉพาะรุ่นท็อป 1.5 CVT RX ซึ่งมียอดสั่งจองสูงสุดถึง
1,800 คัน ถือว่าตรงกับจุดประสงค์ของ Nissan ที่ต้องการจับลูกค้าซึ่ง
กำลังเบื่อหน่าย SUV หรือรถยนต์ขนาดเล็กใแบบเดิมๆในตลาด

รถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ บางทีก็ไม่ได้ขายดีเสมอไป แต่
Juke กลับทำยอดขายมากกว่า 10,000 คันภายในเดือนแรกที่เปิดตัว
นั่นแสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่อยากได้ความ
ตื่นเต้นและเร้าอารมณ์จากรถยนต์ที่พวกเขาเลือกมากกว่า

นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2010 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2013
โรงงาน Nissan ทั้ง 3 แห่ง ได้ผลินต และส่งออก Juke ถึงมือลูกค้า
ทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 680,000 คัน นั่นหมายความว่า ลูกค้าที่มี
รสนิยมชอบของแปลกนั้น ก็เยอะกว่าที่เราจะคาดคิดกัน

อย่างไรก็ตาม กว่าที่ Juke จะใช้เวลาเดินทางมาเปิดตัวในเมืองไทย
เราต้องรอกันจนนานถึง 4 ปี!!

คำถามก็คือ ทำไม คนไทยต้องรอกันนานมากๆ กว่า Nissan Motor
Thailand จะสั่ง Juke จะมาขายในเมืองไทย ?

คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ!

ความจริงแล้ว Nissan Motor Thailand ทำแผนงานของ Juke ไว้ตั้งแต่
ปี 2008 หรือ 1 ปี หลังจากเริ่มพัฒนารถรุ่นนี้ จากปากคำของ ตาเอก หรือ
Backseat Driver ในฐานะที่เคยทำงานด้าน Product Planning ที่
Nissan มาก่อน จะลาออกเมื่อปี 2008 เจ้าตัวสรุปให้ผมฟัง ดังนี้…

เรื่องมันมีอยู่ว่ายอดขายของรถเก๋ง Nissan ในบ้านเราช่วงปี 2007 – 2008
ทั้ง Tiida, Tiida Latio และ Teana ณ วันนั้นไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก มันส่งผล
ต่อความมั่นใจของทีม Product Planner ณ ขณะนั้นอยู่ไม่น้อยว่า ถ้าเอา
รถยนต์รุ่นแปลกๆ และใหม่มากๆ อย่างเจ้าจุกเข้ามาแล้ว ยอดขายจะดี
หรือไม่ ทางทีมงานคนไทยเลยไม่ค่อยกล้าเสนอตัวเลขประมาณการณ์
ยอดขาย ที่แรงๆไปหาทีม Product strategy ที่ญี่ปุ่น ทำให้โอกาสในการ
สั่งนำชิ้นส่วนของ เจ้าจุก มาผลิตที่โรงงาน Nissan บางนา-ตราด กม. 21
จึงเป็นไปได้ยาก ทำให้เหลือทางออกไม่มากนัก

หากคิดจะทำตลาด Juke ในเมืองไทย ให้ได้ราคาต่ำสุด โดยไม่ประกอบ
ในโรงงานที่บางนา-ตราด กม. 21 (เพราะโรงงานแน่น จำนวนรุ่นรถยนต์
ที่ต้องผลิต มีเยอะมากแล้ว) ก็จำเป็นต้องใช้วิธีนำเข้าจาก ประเทศในกลุ่ม
ASEAN ด้วยกัน อย่าง Indonesia ที่ถูกวางแผนให้เป็นอีกหนึ่งฐานการ
ผลิต Juke เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษทางภาษี ตามข้อตกลงทางการค้า AFTA
(ASEANFree Trade Area) ที่จะทำให้ รถยนต์ซึ่ง นำเข้าจากประเทศ
ในกลุ่ม ASEAN ด้วยกันเอง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2010 เป็นต้นมา จาก
เดิมที่เคยเสียภาษี 5% แต่ตอนนี้เสียภาษีนำเข้า 0%

หมายความว่า ถ้าคุณสั่งนำเข้า Juke มาจากญี่ปุ่น สำเร็จรูปทั้งคัน เมื่อจ่ายภาษี
นำเข้า และภาษีสรรพสามิต รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ราคาของ
Juke จะพุ่งพรวดขึ้นไปถึงคันละ 1.4 – 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่บรรดา
ผู้นำเข้าอิสระรายย่อย (Grey Market) ใช้สั่ง Juke เข้ามาขายในบ้านเรา
ช่วงตั้งแต่ปี 2010 

แต่ถ้า นำเข้าจาก โรงงานใน Indonesia ราคาของ Juke ก็จะลดลงฮวบฮาบ
เหลือราวๆ 800,000 – 850,000 บาท กว่าๆ นั่นเอง!

อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ว่ารถยนต์ที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว จะต้องมีชิ้นส่วน ที่
ผลิตขึ้นจากประเทศใน กลุ่ม ASEAN ในระดับ 40% ของทั้งคันรถ ขึ้นไป
เท่านั้น!

ข้อข้างบนนี่ละครับ คือตัวปัญหา! ในเมื่อชิ้นส่วนของ Juke ที่ป้อนเข้าไปยัง
โรงงาน Indonesia แทบจะทั้งหมด มาจาก ญี่ปุ่นกับยุโรป ทั้งนั้น ทำให้จำนวน
ชิ้นส่วนของ Juke ที่ผลิตใน ASEAN จึงยังไม่ได้สัดส่วน Local Content 40%

Nissan Motor กับ Nissan Motor Thailand จึงต้องพยายามร่วมกันหาทาง
จ้างผู้ผลิตอะไหล่ ทำชิ้นส่วนต้นแบบ ส่งกลับไปทดสอบ จนกว่าจะผ่านคุณภาพ
และมาตรฐานที่กำหนด ทำคำสั่งซื้อ เริ่มผลิต แล้วค่อยส่งไปยัง Indonesia  
เพื่อจะเพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนอะไหล่จากผู้ผลิตในย่าน ASEAN ให้ได้ถึง 40%

ทางออกของปัญหานี้ก็คือ การนำเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร HR16DE เวอร์ชันใหม่
2 หัวฉีด ที่ผลิตจากประเทศไทยอยู่แล้ว ส่งไปยังโรงงาน Indonesia ให้นำไป
ประกอบเป็นคันรถ แล้วค่อยส่งกลับมายังเมืองไทย

แต่การทำงาน ต้องใช้เวลา จะให้เห็นผลภายใน 7 วัน เหมือนครีมทาหน้า นั่น
เป็นไปไม่ได้ เพราะเครื่องยนต์ HR16DE เวอร์ชัน 2 หัวฉีด ที่ Nissan ตั้งใจ
จะวางใน Juke บ้านเรา เพิ่งจะเริ่มผลิตในเมืองไทย เมื่อปลายปี 2012 มานี่เอง
ดังนั้น การรอคอยให้การประสานงานจากฝ่ายต่างๆ เสร็จสิ้น ลงตัว ต้องใช้เวลา
นานอย่างที่เห็นนี่ละครับ กว่าที่ Juke จะพร้อม เปิดตัวในเมืองไทย เมื่อวันที่
26 พฤศจิกายน 2013 ก่อนหน้างาน Motor Expo เพียง 2 วัน

ช่วงเปิดตัว Nissan บ้านเรา ทุ่มทำการตลาด ด้วยการดึง พีช พชร จิราธิวัฒน์
หนึ่งในนักแสดงนำจากภาพยนตร์ซีรีส์ ทาง Cable TV ของค่าย GMM TV
เรื่อง Hormones มาเป็น Presenter พร้อมทั้งใช้เพลงโฆษณาจากภาพยนตร์
เรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังทำเพลงโปรโมท ร่วมกับวงดนตรี Getsunova ในชื่อ
“แตกต่างเหมือนกัน” รวมทั้งยังมีแผนการตลาดต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นตามมา
หลังจากนี้อีกพอสมควร

ด้วยงานออกแบบที่แหวกแนว โดนใจคนโสดยุคใหม่ ที่ใช้ชีวิตอิสระทำให้
ยอดสั่งจอง Juke ตั้งแต่เปิดตัว จนถึงตอนนี้ ทะลุหลัก 5,500 คันไปแล้ว
โดยในจำนวนนี้ มีการส่งมอบไปแล้ว 1,400 คัน เมื่อต้นเดือนมกราคม
2014 ที่ผ่านมา

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ สีตัวถังที่ลูกค้าเลือกนั้น สีขาวมาเป็นอันดับ 1
ด้วยสัดส่วนสงถึง 34% ตามมาด้วยสีแดง อันเป็นสีโปรโมท 28%
ซึ่งถือเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เพราปกติ ในการเปิดตัวรถยนต์
รุ่นอื่นๆ ของบ้านเรา สีโปรโมท มักจะขายได้ รั้งท้ายตารางเสมอ
รองลงไปคือสีดำ 22% และสีอื่นๆ รวมกันอีก 16%

Juke มีขนาดตัวถังยาว 4,135 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,580
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,520 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้าและหลัง
อยู่ที่ 1,525 มิลลิเมตร เท่ากัน ความสูงจากใต้ท้องรถจนถึงพื้นถนน (Ground
Clearance) 180 มิลลิเมตร พอๆกันกับ บรรดา Subaru Outback ส่วน
น้ำหนักรถเปล่า 1,193 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร

อย่างที่ ตาเอก Backseat Driver ได้เล่าไว้ว่า ทีม Product Strategy
เลือกจะต่อยอดแนวคิด โดยนำ Nissan 370Z (Fairlady Z) หรือแม้แต่
Bigbike สุดหล่ออย่าง Ducati มาเป็น Design reference เพื่อตอบ
โจทย์เรื่องความแตกต่างในการออกแบบอย่างเต็มพิกัด เราจึงได้เห็นงาน
ออกแบบของ Juke ในจุดต่างๆ ที่แปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้าน
อยู่รอบคัน

จุดเด่นของงานออกแบบใน Juke มีทั้งชุดไฟหน้าแบบ Xenon ที่ติดตั้งต่ำ
ลงมากว่าปกติ แยกช้นไฟเลี้ยว ทรงเมล็ดข้าว ไปแปะไว้ด้านบนสุดของ
ฝากระโปรงหน้า หลายคนมองว่า มันคล้ายกับ รถ Buggy ลุยทะเลทราย
ในการ์ตูนโดเรม่อน ไฟท้ายทรงบูมเมอร์แรงที่คล้าย 370Z สุดๆ เชื่อมต่อ
กับกระจกบังลมด้านหลัง กลมกลืนกันไปเลย เส้นสายตัวถังด้านข้าง
รับอิทธิพลมาจาก 370 Z อย่างเต็มที่ โป่งข้างเหนือซุ้มล้อทั้ง 4 เสริมความ
บึกบึน ทะมัดทะแมง ให้ตัวรถได้อย่างมาก พวงมาลัยออกแบบให้คล้าย
370Z ราวกับเป็นฝาแฝด และที่สำคัญคือคอนโซลกลางบนพื้นที่เหมือน
ขโมยถังน้ำมัน Bigbike มาแปะไว้ชัดๆ

ความแตกต่างระหว่าง รุ่น 1.6 E กับ 1.6 V นั้น มีไม่มากนัก แค่เพียงว่า
รุ่น 1.6 E จะไม่มีสปอยเลอร์ด้านหลัง ไม่มีคิ้วขอบประตู ห้องเก็บของ
ด้านหลังแบบโครเมียม ไม่มียางบังโคลนที่ซุ้มล้อ ไม่มีเซ็นเซอร์หลัง
เพื่อกะระยะขณะถอยหลังเข้าจอด ไม่มีปลายท่อไอเสียโครเมียมมาให้
ไม่มีสัญญาณกันขโมย ไม่มีพนักวางแขนระหว่างเบาะคู่หน้า และ
ไม่มีช่องกระเป๋าหลังใส่หนังสือ ที่เบาะฝั่งคนขับ แค่นั้น!

กุญแจของทุกรุ่นเป็น Remote Control แบบ Smart Keyless Entry หน้าตา
คุ้นเคยกันดี เพราะเป็นรีโมทแบบสหกรณ์ที่ใช้กันใน Nissan แทบทุกรุ่น ตั้งแต่ถูก
ยันแพง มีสวิชต์สั่งล็อก และปลดล็อกมาให้บนรีโมท แค่นั้น ไม่มีสวิชต์ เปิดฝาท้าย

เพียงแค่พกรีโมทรูปข้าวสารสีดำไว้กับตัว เดินเข้าใกล้บานประตูคู่หน้าของรถ
ไม่ว่าฝั่งซ้าย หรือขวา ก็สามารถกดปุ่มสีดำบนมือจับประตู เพื่อล็อก หรือสั่ง
ปลดล็อก แล้วเปิดประตูได้ทันที มาพร้อมระบบกันขโมย Immobilizer

เสียดายว่า น่าจะทำออกมาในแบบ ดึงมือจับประตูได้ทันที โดยไม่ต้องกดปุ่ม
สีดำให้เสียเวลา

การเข้าไปนั่ง – ลุกออก จากบานประตูคู่หน้า ทำได้สะดวกสบายกว่าที่คิด
นอกจากบานประตูจะเปิดได้กว้าง ในระดับพอเหมาะแล้ว ตำแหน่งของ
เบาะนั่งคู่หน้า ยังติดตั้งมาในระดับที่พอดีมากๆ ชนิดที่ว่า แค่เพียงหย่อนก้น
ลงไปนั่ง แล้วยกขาทั้ง 2 ข้าง กวาดเข้ามายังภายในรถ ได้ง่ายดายสุดๆ

แผงประตูด้านข้าง มีพื้นที่วางแขน ซึ่งตกแต่งด้วยผ้าลายพิเศษ สีแดง สลับดำ  
แม้จะมีพื้นผิวที่สาก แต่หากมองอย่างเดียวด้วยสายตา ถือเป็นผ้าตกแต่งภายใน
ที่ค่อนข้างสวยงาม สมกับบุคลิกของรถ

ด้านล่างของแผงประตู มีช่องใส่เอกสาร และช่องใส่น้ำดื่ม ขวดละ 7 บาท
หรือกระป๋องน้ำอัดลม ในขนาดที่พอดีๆ

มือจับเปิดประตู โครเมียม ทั้ง 4 ตำแหน่งนั้น ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือแอบขำดี
ถ้าผมจะบอกว่า ยกมาจาก Nissan Fairlady Z 370 Z และ Nissan March 
รุ่น Top!

ชักจะใช้อะไหล่แบบสหกรณ์เยอะเข้าขั้น เหมือน Toyota แล้วนะเนี่ย!

เบาะนั่ง ในรุ่น 1.6 E จะหุ้มด้วยผ้า สไตล์รถยุโรป แต่รุ่น 1.6 V คันนี้ เบาะนั่ง
จะหุ้มด้วยหนัง เย็บด้วยด้ายสีแดง เฉพาะเบาะคู่หน้า ของรุ่น V จะมีตัวอักษร
JUKE แปะหราอยู่กลางพนักพิงเบาะ ราวกับกลัวผู้คนไม่รู้ว่า นี่คือเบาะของ
Juke โดยเฉพาะ

เบาะนั่งคู่หน้า ติดตั้งในตำแหน่งที่สะดวกต่อการลุกเข้า – ออกจากรถ อย่างมาก
ถือว่างานนี้ Nissan ออกแบบมาได้ดี เบาะนั่งเฉพาะฝั่งคนขับ จะมีก้านโยกปรับ
ระดับสูง – ต่ำ มาให้ ซึ่งเมื่อปรับเบาะลงต่ำสุด การวางแขนบนแผงประตูจะพอดี
ขณะที่ เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสาร จะสูงนิดนึง และทำให้แขนของคุณลอยขึ้นมาจาก
แผงประตูอยู่นิดหน่อย

พนักพิงหลัง มีปีกด้านข้างยื่นออกมานิดๆ เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับให้กับผู้ขับขี่
และผู้โดยสารด้านหน้า การรองรับบริเวณแผ่นหลัง ถือว่า ทำได้ดี เหมือนบรรดา
Nissan รุ่นใหม่ๆ ซึ่งมักมีฟองน้ำที่แน่นขึ้นกว่าเดิม การรองรับบริเวณหัวไหล่
มีให้สัมผัสอยู่บ้างนิดหน่อย

เบาะรองนั่ง ออกแบบในลักษณะแปลก คือ ขอบเบาะเป็นแบบโค้งมน เหมือน
น้ำตกที่ไหลจากหน้าผา ลงสู่เบื้องล่าง ให้สัมผัสคล้ายคลึงกับรถยนต์ Coupe
ราคาแพงอยู่นิดๆ แต่ยังมีความยาวที่ถือว่า กำลังดี ไม่สั้นเกินไป แต่ก็ไม่ยาว
นั่งได้เต็มก้น

พนักศีรษะคู่หน้า เป็นแบบ Active Head Restraints ออกแบบให้อยู่ใกล้กับ
ศีรษะของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารมากขึ้น มีโครงเหล็กด้านในที่สามารถยกตัวขึ้นได้
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ เมื่อเกิดการชนบริเวณ
ด้านหลังของตัวรถ

ผมยืนยันว่า มันแอบดันหัวผมนิดๆ แต่ยังไม่มากเท่ากับ พนักศีรษะของสองศรี
พี่น้อง อย่าง Sylphy และ Pulsar ที่ผมต้องถามเลยว่า จะดัน(ทุรัง)กบาล
ของผมไปถึงไหน? แต่ใน Juke นั้น พอจะสัมผัสได้ว่ามันยังดันหัวผมอยู่นิดๆ
ทว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะยอมรับได้ และผมเองก็ไม่รู้สึกปวดต้นคอ มากเท่ากับ
เมื่อครั้งที่ได้ลองขับ สองศรีพี่น้องที่มีพนักศีรษะน่ารำคาญคู่นั้น…

เข้าใจดีว่า ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ อยากให้พนักศีรษะ อยู่ใกล้กับหัวของ
คนขับมากขึ้น ดังนั้น ผมเสนอทางออกให้เลยแล้วกันว่า ถ้าอยากจะทำ
แบบนี้ ก็ช่วยออกแบบ รูปทรงของพนักศีรษะ ให้มันสบายกว่านี้ และใช้
ฟองน้ำที่ไม่แน่นเท่านี้ อย่างน้อยๆ ขอความนุ่มประมาณ Volvo S80
รุ่นปัจจุบัน นั่นแหละ แค่นั้นเลย

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็น ELR 3 จุด แบบลดแรงปะทะ พร้อมดึงกลับ
อัตโนมัติ Pretensioner & Load Limiter สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้

ส่วนการเข้า – ออก บานประตูคู่หลัง ต้องบอกไว้เลยว่า เป็นไปตามคาดหมาย
มันอัตคัต คับแคบมาก เกินกว่ารถยนต์ธรรมดาทั่วไปเขาเป็นกัน ต่อให้ คุณจะ
มีสรีระร่าง ผอมเพรียวเหี่ยวบาง อย่าง Toyd สมาชิก The Coup Team 
ของเราก็ยังต้องบ่นกระปอดกระแปดออกมาดังๆว่า

“ไม่อยากให้กูเข้าไปนั่งก็บอกกันตรงๆสิ!”

ที่เลวร้ายกว่านั้น ตาเอก Backseat Driver ซึ่งในอดีต เคยทำงานในตำแหน่ง
Product Planning อยู่ Nissan และเคยดูแลโครงการ Juke อยู่ช่วงหนึ่ง ถึงกับ
ตั้งฉายาให้ หลังจากที่เจ้าตัว พยายามแทรกตัวเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง เลยว่า

“Juke Double Cab”!!

โห คิดได้ไวะฮะเพ่!

แผงประตูด้านข้าง มีตำแหน่งวางแขนที่วางข้อศอกได้เกือบๆพอดี เหมือน
แผงประตูคู่หน้า แต่มีช่องใส่ขวดน้ำ 7 บาท มาให้ ฝั่งละ 1 ช่อง ส่วนกระจก
หน้าต่าง คู่หลัง เลื่อนเปิดลงมาได้ ไม่สุดรางขอบกระจก

ความสูงในการก้าวขาเข้าไปในรถ ไม่เป็นปัญหาครับ ไม่ได้ต่างจากประตู
คู่หน้าเลย แต่ถ้าจะลุกออกจากรถ คุณอาจต้องเหวี่ยงขาออกมากกว่าปกติ
ไม่เช่นนั้น ขอบรองเท้า ก็จะเหวี่ยงไปโดนกับพลาสติกตกแต่งเสาหลังคา
คู่กลาง B-Pillar จนเป็นคราบสกปรกได้ง่าย

เบาะหลัง มีพนักพิง ที่ใช้ฟองน้ำ นุ่มแต่แน่น ในระดับพอเหมาะ คล้าย
เบาะของ Pulsar นิดๆ แต่ พนักพิงหลัง แบนกว่า ถ้านั่งนานๆ มีคนบ่น
ว่าเมื่อยหลังได้บ้าง ไม่มีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้มาให้เลย

เบาะรองนั่ง สั้น พอกันกับ Honda Accord G7 รุ่นปี 2003 แต่จำเป็น
ที่ต้องออกแบบมาเช่นนี้ เพราะถ้าเบาะรองนั่งยาวกว่านี้ อาจมีผลต่อพื้นที่
การยกขา เข้า – ออกจากรถได้แน่ๆ

พนักศีรษะด้านหลัง มีขนาดใหญ่โต และแอบดันหัวหน่อยๆ ต้องยกใช้งาน
จึงจะลดปัญหานี้ลงไปได้ แต่ก็จะไปเจอกับปัญหาใหม่อยู่ดี

ปัญหาสำคัญที่ว่าก็คือ พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ออกแบบ
มาให้รองรับกับสรีระของคนที่สูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร เท่านั้น หากเกิน
ไปกว่านี้ ศีรษะ จะเฉี่ยว หรือไม่ก็ ติดเพดานหลังคาไปเลย

ผมไม่เข้าใจว่า รถยนต์รุ่นใหม่ๆในระยะหลังๆมานี้ เป็นโรคอะไรกันนัก พื้นที่
เหนือศีรษะ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ถูกละเลยความสำคัญไปหมด พื้นที่
วางขานี เว้นระยะเหลือกันเยอะจริง เยอะจนเผื่อให้ตั้งวงเตะตะกร้อกันหรือไง
แต่นั่นยังไม่เท่าพื้นที่เหนือศีรษะนี่ ชิด และเล็กมาก ขนาดมดยังแทรกร่าง
เล็กๆ ของมัน เข้าไปไม่ได้เลย

ส่วนพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารด้านหลังนั้น ขนาดก็พอๆกันกับ Mazda 3
ทั้งรุ่นแรก และรุ่นใหม่ นั่นละครับ คือ หัวเข่าของผู้โดยสาร จะชนกับพนักพิง
ด้านหน้าหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับความกรุณาของผู้โดยสาร และผู้ขับขี่ บนเบาะ
คู่หน้า ว่าจะปรับเลื่อนถอยเบาะมาชิดด้านหลัง มากน้อยแค่ไหน

แต่ถ้าปรับเบาะนั่งด้านหน้า ในระดับที่ผม ยังคงนั่งขับรถได้สบายๆ แล้วลอง
ลงจากรถ ขึ้นมานั่งบนเบาะหลัง หัวเข่าของผม ก็ยังไม่ชนกับพนักพิงเบาะ
คู่หน้า ถือว่า ยังพอมีพื้นที่วางอยู่บ้าง แต่อย่าคิดจะนั่งไขว่ห้าง แบบเดียวกับ
เบาะหลังของ Almera หรือ Sylphy / Pulsar เด็ดขาด!

อีกสิ่งที่น่าตำหนิคือ การไม่มีมือจับ “ศาสดา” ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ มาให้กับ
ผู้โดยสารด้านหลังเลย แต่ดันมีมาให้เฉพาะผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้ายเพียง
ตำแหน่งเดียวเท่านั้น ของแค่นี้ ไม่รู้ว่าจะงกกันไปทำไม?

เข็มขัดนิรภัยด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง ซ้าย – กลาง
และขวา ตามมาตรฐานยุโรปกันเลยทีเดียว แต่ไม่ยักมี จุดยึดเบาะนิรภัย
สำหรับเด็ก ISOFIX มาให้แหะ

เบาะแถวหลัง สามารถแยกพับได้ ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่วาง
สัมภาระ ด้านหลัง ให้ยาวขึ้นกว่าปกติ ด้านหลังของพนักพิงเบาะหลัง ถูก
ออกแบบให้สามารถพับได้แบนราบ ยาวต่อเนื่องไปจนถึงบานประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง แต่นั่นก็เพราะว่ามีการออกแบบ พื้นห้องเก็บของ
ให้สูงขึ้นมารับกับตำแหน่งพับเบาะหลังแล้วนั่นเอง

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง หนักพอสมควร สร้างความรู้สึก แน่นหนา
ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิกฝั่งละ 1 ต้น รวม 2 ต้น การเปิดฝาประตูหลัง
ต้องกดปุ่มไฟฟ้า ที่บริเวณ ตรงกลางระหว่างไฟส่องป้ายทะเบียนหลังเท่านั้น
และมีช่องสำหรับให้มือดึงเกี่ยวฝาประตูปิดลงมา ยู่ทางฝั่งขวา

แผงบังสัมภาระ ไม่ได้ทำจากพลาสติก แต่ทำมาจากผ้า ที่คล้ายกับผ้าซึ่งใช้
ทำ Wet Suit ดำน้ำ ที่ค่อนข้างทนทานยืดหยุ่นได้ ออกแบบมาให้ติดยึดกับ
กรอบหน้าต่างกระจกบังลมหลัง ด้วยขอเกี่ยวพลาสติกรูปตัว L ขนาดใหญ่
และหมุดยึด อีก 2 ตำแหน่ง ซึ่งตัวหมุดยึดนั้น ค่อนข้างบอบบาง การใช้งาน
ต้องระมัดระวังนิดนึง ถ้าต้องการจะถอดออก เพื่อให้สะดวกต่อการบรรทุก
สิ่งของ ก็มีคำแนะนำ แปะไว้อยู่ด้านล่างของแผงบังสัมภาระนั่นละ

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาด  ลิตร (ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน)
ดูเหมือนจะใส่ข้าวของได้น้อย แต่ความจริงแล้ว ถ้ายกพื้นห้องเก็บของออก
จะพบถาดใส่ของอเนกประสงค์ ขนาดใหญ่ พร้อมช่องติดตั้งเครื่องมือช่าง
ประจำรถ เพื่อถอดเปลี่ยนยาง เหมาะกับการใส่ข้าวของที่เปียกชื้น หรือพวก
อาหารสด อาหารแช่แข็งต่างๆ แล้วค่อยปิดทับด้วยพื้นห้องเก็บของอีกชั้น

และถ้ายกถาดใส่ของออกมา คุณจะพบ ยางอะไหล่ แบบบาง ติดตั้งมาให้
จากโรงงาน ส่วนผนังห้องเก็บของฝั่งขวา จะมีไฟส่องสว่างมาให้ ซึ่งก็
พอจะสว่างอยู่บ้างในยามค่ำคืน แต่ตำแหน่งติดตั้ง มันช่องอยู่ในซอกหลืบ
จนแทบจะหาไม่เจอ

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบในสไตล์ Sport Gear เน้นการควบคุมใช้งานที่ง่าย
User Friendly แต้องดูเท่ เหมือนเป็น อุปกรณ์ประจำกายของผู้ขับขี่ หรือ
Gadget / Gear จุดเด่นในการออกแบบ อยู่ที่ พลาสติกบริเวณคอนโซลกลาง
ที่ครอบคันเกียร์ และช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง รวมทั้ง แผงประตู หากเป็น
รุ่น 1.6 E จะประดับด้วยสีเงิน Mettalic แต่ ในรุ่น 1.6 V คันนี้ จะเป็น สีแดง
Mettalic เหมือนกันเหมด ไม่ว่าคุณจะเลือกสีตัวถังเป็นแบบใดก็ตาม

มองขึ้นไปด้านบน แผงบังแดด มีขนาดใหญ่ มาพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมี
ฝาปิดพับเก็บได้ แต่ไม่มีไฟส่องแต่งหน้ามาให้ ส่วนไฟส่องสว่างในรถนั้น
ติดตั้งมาให้เฉพาะบริเวณ กึ่งกลางระหว่างแผงบังแดด ทั้ง 2 ตำแหน่ง เท่านั้น
แยกเป็น 3 ตำแหน่ง คือไฟอ่านแผนที่ฝั่งซ้าย – ขวา และ ไฟส่องสว่างตรงกลาง
หน้าตาคุ้นเคยกันดี เหมือนยกมาจาก Nissan Almera ดังนั้น สวิชต์จึงค่อนข้าง
ป๊อกแป๊กก๊องแก๊ง หลวมๆ ไม่น่าจะทนทานนักในระยะยาว  แถมความสว่าง
ในตอนกลางคืน ก็ยังน้อยไปหน่อยด้วยซ้ำ

จากแผงประตูฝั่งขวา เข้ามาถึงพวงมาลัย

กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน เฉพาะฝั่งคนขับ จะมีระบบ One Touch Auto
เลื่อนขึ้นหรือลงเองได้จนสุด เพียงกด หรือยกสวิชต์ขึ้นครั้งเดียวจนสุด ส่วน
สวิชต์ กระจกมองข้างปรับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ใต้ช่องแอร์ฝั่ง
คนขับ มีสวิชต์ Auto กดจนสุด เพื่อสั่งให้ พับเก็บเองโดยอัตโนมัติ เมื่อล้อก
ประตู และกางออกเองอัตโนมัติ เมื่อติดเครื่องยนต์ ได้

บนคอพวงมาลัย ก้านสวิชต์ฝั่งซ้าย ควบคุมที่ฉีดน้ำล้างกระจกหน้า – หลัง พร้อม
ก้านใบปัดน้ำฝน แบบตั้งเวลาหน่วงได้ ทั้งด้านหน้า และด้านหลังเช่นเดียวกัน!

ส่วนคอพวงมาลัยฝั่งขวามือ ไว้ควบคุม ไฟหน้าแบบ Xenon ปรับระดับสูง – ต่ำ
อัตโนมัติ รวมทั้งระบบเปิด – ปิดไฟหน้า Auto อัตโนมัติ พร้อมไฟตัดหมอกหน้า
ไฟเลี้ยว และไฟสูง

สวิชต์ ติดเครื่องยนต์ เรืองแสงสีส้ม ยกชุดมาจาก March และ Almera ติดตั้งอยู่
ทางซ้ายมือ ใต้ชุดมาตรวัด ใกล้กับก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝน

พวงมาลัยแบบสปอร์ต ทรง 3 ก้าน หุ้มหนังมาให้จากโรงงาน หน้าตาคล้ายคลึง
กับพวงมาลัยของ 370 Z อยู่ไม่น้อย มีขนาดวงพวงมาลัยรวมทั้งขนาดของ Grip
มือจับ ที่กำลังเหมาะ แม้ว่าจะติดตั้งในมุมองศาที่เงยขึ้นมาเข้าหาคนขับ จนทำให้
นึกถึงตำแหน่งพวงมาลัยของ Opel/Chevrolet Zafira ก็ตาม

สวิชต์ Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียง ออกแบบให้ติดตั้งอยู่บนแป้นแตร
ขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ไปจนสุดก้านพวงมาลัยทั้ง 3 พอดี ถือว่า แปลกตา
แต่ในการใช้งานจริง บางครั้ง ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (Volume) ค่อนข้างลึก
พอกดลงไปมากกว่าปกติเท่านั้นแหละครับ แตรดัง! รถคันข้างหน้าเขาก็เริ่ม
หันมามองหน้าเตรียมหาเรื่องเสียอย่างนั้น…

นอกจากนี้ ยังน่าเสียดายว่า ปรับระดับได้แค่ สูง – ต่ำ และไม่สามารถปรับระยะ
ใกล้ – ห่างจากตัวผู้ขับขี่ แบบ Telescopic ได้เลย ซึ่งเป็นนิสัยประจำของบรรดา
Nissan ยุคใหม่ๆ หลายๆรุ่น ตั้งแต่ 370Z ยัน March ที่ควรจะแก้ไขเสียทีได้แล้ว!

ชุดมาตรวัดเป็นแบบ Sporty Combination Meter 2 วงกลม ฝั่งขวาเป็น
มาตรวัดความเร็ว ฝั่งซ้าย เป็นมาตรวัดรอบ ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจาก
หน้าปัดของทั้ง Big Bike และ Nissan 370Z กรอบนอกเป็นวงกลมสีเงิน
เชื่อมติดกัน มีแผงโค้ง บังแสงแดด อยู่ด้านบน ดุจมีหลังคา Impact Arena
เมืองทองธานี มาครอบเหนือชุดมาตรวัด

ทันทีที่กดปุ่ม Push Start ติดเครื่องยนต์ เข็มมาตรวัดทั้ง 2 ฝั่ง จะกวาดจาก
ซ้ายไปขวา ก่อนจะกวาดกลับมา ในแบบเดียวกับ Subaru และ Isuzu รุ่นใหม่ๆ

ปุ่มวงกลม สีดำ ที่ติดตั้งตรงกลางระหว่างมาตรวัดทั้ง 2 วงกลม นั้น ปุ่มซ้ายไว้
ปรับความสว่างของชุดมาตรวัด ส่วนปุ่มฝั่งขวา ไว้กดเรียกดู และตั้งค่าของจอ
แสดงข้อมูลตรงกลาง MID (Multi Information Display) ซึ่งจะแสดง
ข้อมูลทั้ง มาตรวัดระยะทางที่แล่นมาทั้งหมด Odo Meter มาตรวัดระยะทาง
Trip Meter ทั้ง Trip A และ B มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทั้งแบบ
เฉลี่ย และ Real Tรme ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถยนต์แล่นต่อ
ไปได้ มาตรวัดปริมาณน้ำมันในถัง มาตรวัดอุณหภูมิทั้งเครื่องยนต์ และภายนอก
ตัวรถ

มาตรวัดเรืองแสงในยามค่ำคืนด้วยสีขาว ขณะที่หน้าจอ MID จะใช้ตัวเลข
Digital สีแดงส้ม ส่วน Font ตัวเลขบนมาตรวัด อ่านง่าย สบายตาถือว่าเป็น
ชุดมาตรวัดที่ออกแบบมาได้ดี เรียบง่าย แต่สวยงาม และเข้ากันดีกับตัวรถ

มองไปทางซ้ายสุด ช่องใส่ของพร้อมฝาปิด Glove Compartment มีขนาด
ใหญ่กว่าที่เห็น ลึกกว่าที่คิด ใส่ศพหมาชิวาว่า ได้ 1 ตัวแน่ๆ เป็นผลมาจาก
การติดตั้งตู้แอร์ ไว้ตรงกลางด้านหลังของแผงหน้าปัด

ด้านบนของแผงควบคุมกลาง เป็นสวิชต์ ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light แม้ว่า
จะติดตั้งในตำแหน่งที่สะดวกต่อการเอื้อมไปเปิดใช้ในยามฉุกเฉินดีแล้ว
แต่ นั่นก็ทำให้ตำแหน่งแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ กับชุดเครื่องเสียง
ต้องเลื่อนลงมาติดตั้งในระดับที่เตี้ยไปหน่อย

แผงควบคุมกลาง ไล่ขึ้นมาจากด้านล่าง ปกติแล้ว ต้องเป็นแผงควบคุมสวิชต์
เครื่องปรับอากาศ แต่คราวนี้ Nissan มาแปลก ทีมออกแบบ จัดการรวบหน้าจอ
เลือกรูปแบบการขับขี่ และแจ้งข้อมูลต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน แล้วตั้งชื่อเรียกว่า
แผงสวิชต์ I-CON (Integrated-Control System)

แผงควบคุม I-CON แบ่งการใช้งานได้ 2 รายการ ถ้ากดปุ่ม Climate สวิชต์
จะใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ โดยสวิชต์หมุนวงกลมฝั่งซ้าย
ไว้ใช้ปรับอุณหภูมิเพิ่ม หรือลดลงได้ครั้งละ 0.5 องศาเซลเซียส ส่วนสวิชต์
หมุนฝั่งซ้าย จะใช้ปรับการทำงานของพัดลม ขณะที่สวิชต์แบบกด ทั้ง 8 ปุ่ม
ตรงกลาง ขนาบข้างหน้าจอแสดงข้อมูล ฝั่งซ้ายไว้ควบคุมทั้งการเปิด – ปิด
คอมเพรสเซอร์ (A/C On-Off) ปิดเครื่องปรับอากาศ สวิชต์ไล่ฝ้า ฝั่งขวาไว้
ปรับทิศทางออกของลมเย็น ตามต้องการ และสวิชต์กด ใต้จอขนาดเล็ก จะ
ใช้ควบคุมหน้ากากเปิดรับอากาศจากภายนอก หรือปิดเพื่อหมุนเวียนอากาศ
ภายในห้องโดยสาร

แต่ถ้ากดปุ่ม D-Mode หรือ Drive Mode หน้าที่ของแต่ละสวิชต์ จะเปลี่ยนไป
พร้อมกับหน้าจอที่จะแสดงข้อมูลรูปแบบโปรแกรมการขับขี่ ที่คุณเลือกไว้
มีให้เลือก 3 Program ดังนี้

– Normal Mode แบบธรรมดา ใช้ในการขับขี่ปกติทั่วไป
– Sport Mode เน้นการขับขี่แบบสนุกขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย โดยสมองกลจะ
  สั่งให้ลิ้นปีกผีเสื้อ เปิดรับอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพิ่มขึ้น พร้อมกับสั่งให้
  เกียร์ CVT ปรับตแหน่งพูเลย์ เพื่อดึงรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น พร้อมรอ
  รับการเหยียบคันเร่งในทุกรูปแบบ คันเร่ง และเกียร์จะตอบสนองไวขึ้น
  นิดหน่อย ไม่เยอะนัก
– ECO Mode  เน้นการขับขี่แบบประหยัด สมองกลจะสั่งให้ลิ้นปีกผีเสื้อ
  เปิดรับอากาศเข้าห้องเผาไหม้น้อยลง คันเร่งจะหน่วงกว่าเดิม พยายาม
  รักษารอบการทำงานของพูเลย์ในเกียร์ CVT ให้ลดรอบเครื่องยนต์ลงมา
  จนต่ำตามระดับความเป็นจริง เท่ากับ Normal Mode และลดภาระการ
  ทำงานของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ โดยเน้นการรักษาอุณหภูมิ
  ให้อยู่ในระดับกำลังดี
 
หน้าที่ของสวิชต์ควบคุมจะเปลี่ยนไป สวิชต์หมุนฝั่งซ้ายสุด จะยังคงใช้
ควบคุมอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศต่อไป แต่แผงสวิชต์ข้างหน้าจอ ถูก
เปลี่ยนใหม่หมด ฝั่งซ้าย ไว้เลือก Program การขับขี่ที่ต้องการ ส่วนแผง
สวิชต์ฝั่งขวาของหน้าจอนั้น ปุ่ม Setup มีไว้เพื่อตั้งค่าอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
ในตัวรถ ปุ่ม Drive Info ใช้เรัยกข้อมูลการขับขี่ ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่แล้ว
ควยามเร็วเฉลี่ย และระยะทางที่แล่นมาแล้ว โดยแถบล่างจะยังแสดงข้อมูล
เครื่องปรับอากาศ อยู่บ้าง และ ECO Info ไว้ใช้แสดงกราฟสถิติ การใช้
เชื้อเพลิงในรอบช่วงเวลาที่ผ่านมา

ข้อที่ควรปรับปรุงก็คือ หาก I-CON เป็นแค่สวิชต์เครื่องปรับอากาศ ถือว่า
ตำแหน่งติดตั้งอยู่ในระดับเหมาะสม เพราะคนส่วนใหญ่ ปรับแอร์กันแค่ราวๆ
1-2 ครั้ง ในขณะขับรถเท่านั้น แต่เมื่อรวมหน้าจอ Mode การขับขี่ กลับ
กลายเป็นว่า จอแสดงข้อมูลอยู่ต่ำเกินไป ยากต่อการละสายตาลงมามอง
อ่านข้อมูล เว้นเสียแต่ว่า มีเพื่อนร่วมทางนั่งไปข้างๆ คอยดูให้

ดังนั้น ควรปรับย้ายตำแหน่งสวิชต์ I-CON ขึ้นมาให้สูงกว่านี้ ใน Juke
รุ่นต่อไป

ชุดเครื่องเสียง มาแนวใหม่ ร่วมสมัย เทรนด์เดียวกับรถยนต์ในต่างประเทศ
ดูจากหน้าตาและรูปร่างของมันแล้ว ผมว่า มันคือเครื่อง Tablet ติดรถยนต์
ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Andriod เหมือนเช่นโทรศัพท์มือถือ โดยมีวิทยุ
AM/FM พร้อมช่องเสียบรับไฟล์เพลง และไฟล์ข้อมูล จาก USB AUX-in
SD Card มีระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth สามารถพูดคุยรับสายและ
โทรศัพท์ออก จากในรถได้ เลือกและเล่นเพลงจากโทรศัพท์มือถือได้
แต่ไม่มีเครื่องเล่น CD ให้ (อีกแล้ว อะไรกันเนี่ยยยยย)

นอกจากนี้ ยังสามารถต่อเชื่อม Internet ได้ ด้วยสัญญาณ Wi-Fi สามารถ
รับชม Online Video Clip ได้ทั้ง Youtube หรือ เล่น Facebook และ
เข้าดู Website ต่างๆ ได้ ผ่านทางหน้าจอ Browser ในตัว แถมยัง Share
ภาพถ่าย เพลง Video Clip ได้ จากไฟล์ใน USB หรือ Micro SD Card
ผ่านทางระบบ DLNA รวมทั้ง สั่งการใช้งานด้วยเสียง ผ่านระบบ Voice
Recognition  รวมทั้งยังเป็นหน้าจอให้กับ กล้องแสดงภาพขณะเข้าเกียร์
ถอยหลัง เพื่อความสะดวกในการถอยรถเข้าจอด ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์
กะระยะ 2 จุด ที่เปลือกกันชนท้าย (ทำไมไม่ทำเป็นสีเดียวกับตัวรถเลย
ปล่อยเป็นสีดำไว้เสียอย่างนั้นละ)

อีกทั้งตัว Tablet หน้าจอนี้ ยังสามารถถอดออกมาได้ทั้งก้อน เพื่อใช้เป็น
เครื่อง Tablet พกพา แต่มีข้อเสียก็คือ ไม่มีแบ็ตเตอรีมาให้ หากคิดจะ
ถอดออกมาใช่งานนอกตัวรถ คุณควรหา Power Bank ไว้เสียบจ่ายไฟ
มาใช้งานร่วมกันด้วย

ฟังดูแล้ว มันไฮเทคมากๆ แต่หน้าจอก็ยังเลื่อนช้าไปนิดนึง บางทีก็ยัง
ทำงานแบบเอ๋อๆ ถอด Thumb Drive อันหนึ่งออก เพื่อจะเสียบอีกอัน
เข้าไป บางที หน้าจอยังขึ้นไฟล์เพลงของ Thumb Drive อันเก่าอยู่เลย

ไมโครโฟน ของระบบนั้น ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงจากปลายสายชัดเจน แต่
ปลายทางของเรา จะบ่นว่า ทำไม Bluetooth มันมีเสียงก้องๆ และมีเสียง
รบกวนดังเป็นระยะๆ น่ารำคาญ การสั่งการระบบ Voice Recognition
ก็ยังดูเอ๋อๆ งงๆ หรือว่าผมสั่งการไม่เป็น?

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ คุณภาพเสียง บอกได้เลยว่า เสียงใสหนะ ดีครับ
ใสกิ๊ง เลยทีเดียว แต่เสียงเบสนี่ หายไปไหนกันหมด ไปเล่นซ่อนแอบ
อยู่ตามซอกหลืบแผงประตูกันหรือยังไง? น่าเสียดายมากๆ ฟังเพลง
พอได้ แต่ถ้าฟังเอาอรรถรส ผมว่า ไปเพิ่ม Subwoofer อีกสักตัวดีกว่า

ในรุ่น 1.6 V จะมีพนักวางแขน พร้อมกล่องเก็บของในตัว ฝาปิดหุ้มหนัง
มาให้ โดยเป็นอุปกรณ์ที่คาดว่า น่าจะนำมาติดตั้งกันในปรเทศไทยนี่ละ
เพราะดูชิ้นงานเป็นพลาสติก ที่หยาบ เก็บขอบมาไม่ดี ทว่า บุภายใน
มาให้จนพอจะยอมรับได้ ขนาดใหญ่พอที่จะใส่กล้องถ่ายรูป Canon
Powershot SX Series ที่ผมใช้อยู่ ได้สบายๆ ในแนวตั้งนี่ละ! แถมยัง
เหลือพื้นที่อีกพอสมควร สำหรับวางข้าวของจุกจิกได้อีกต่างหาก

การวางแขนบนพนักพิงนั้น ต้องทำใจว่า วางได้เฉพาะข้อศอก เพราะ
ขนาดของฝาปิดยังสั้นและโค้งลู่ลงมานิดนึง แถมยังไม่สามารถล็อก
ตำแหน่งสูง – ต่ำได้ นอกจากจะต้องกดลงมาจนสุด หรือยกขึ้นจนสุด
สถานเดียว

ช่องคอนโซลกลาง มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง วางกระป๋องน้ำอัดลม
ได้พอดีเป๊ะ พื้นล่างเป็นพลาสติก แต่มีพื้นผิวที่สะดวกต่อการใช้งาน
และมีถาดสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ใช้วางอะไรได้บ้าง
นอกเหนือจากคลิปหนีบกระดาษ?

เบรกมือ ติดตั้งในตำแหน่งซ้ายมือ ไม่ยอมย้ายฝั่งมาทางขวาให้

แม้ว่าตัวรถจะสูงกว่าปกติ แถมด้านหน้ารถยังค่อนข้างเชิดกว่าใครเพื่อน แต่เมื่อ
นั่งอยู่บนตำแหน่งคนขับ ปรับตำแหน่งเบาะจนต่ำสุดด้วยแล้ว ทัศนวิสัยด้านหน้า
ก็ยังถือว่า มองเห็นชัดเจน ตามสไตล์รถยนต์แบบยกสูง แถมไฟเลี้ยว มีลักษณะ
คล้ายแววตากบ อยู่ด้านบนของตัวถังด้านหน้า บริเวณมุมหน้าสุดของรถ ช่วยเป็น
ไฟกะระยะในขณะเข้าจอด หรือ กำลังขับขี่ ได้อย่างดี

มองมาทางด้านขวา เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีการบดบัง รถที่แล่นสวนทาง
มาจากทางโค้งขวา ของถนนสวนกันสองเลน อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กระจกมอง
ข้าง ถูกออกแบบมาให้มองเห็นตำแหน่งวัตถุต่างๆ ได้กระจ่าง ชัดเจน และไร้ซึ่งการ
บดบัง ของขอบกระจกมองข้าง ด้านใน

มองไปทางซ้าย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย แอบบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยว
กลับรถใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS  อย่างชัดเจน ถ้าจุดกลับรถนั้น มีเสาตอม่อ บังมิด
แล้วละก็ ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับการกะระยะ เว้นเสียแต่ คุณจะขับ Juke จน
คุ้นชินแล้ว ขณะเดียวกัน กระจกมองข้าง ก็ไม่ก่อปัญหาในการมองเห็นใดๆ
ขอบด้านนอกของกรอบกระจกมองข้าง ไร้การบดบัง หรือกินพื้นที่เข้ามาใน
ขอบกระจกแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น ต้องบอกว่า ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับมากนัก
เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ค่อนข้างหนา และบดบัง จักรยานยนต์ ที่แล่นมาจากทาง
ด้านหลัง ฝั่งซ้ายของตัวรถไว้จนมิด ดังนั้น ถ้าคิดจะเบี่ยงรถเข้าสู่เลนคู่ขนาน หรือ
จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอย ควรใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นจากปกติ

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในตลาดญี่ปุ่น Juke มีเครื่องยนต์ให้เลือกรวมแล้ว 4 พิกัดความแรง เริ่มจากขุมพลังแบบ
มาตรฐาน รหัส HR15DE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x
ช่วงชัก 78.0 x 78.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Dual
Injector ผ่านสมองกล ECCS และระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟท์ CVTC 114
แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.3 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที

ถ้าต้องการความแรงมากกว่านี้ ต้องขยับขึ้นมาเป็นรหัส MR16DDT บล็อก 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1,618 ซีซี กรอกบสูบ x ช่วงชัก 79.7 x 81.1 มิลลิเมตร กำลังอัด
9.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Nissan Di (Direct Injection) พ่วง Turbo และ
Intercooler 190 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.5 กก.-ม.ที่รอบ
ตั้งแต่ 2,000 – 5,200 รอบ/นาที ต่เนื่องเป็น Flat Torque เครื่องยนต์ลูกนี้ คนไทย
จะได้สัมผัสกันใน Pulsar Turbo เป็นรุ่นแรก ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 4 มีนาคม 2014

แต่ถ้ายังแรงไม่พอ Juke Nismo รอคุณอยู่ ด้วยการนำขุมพลัง MR16DDT มาเพิ่ม
ความแรงขึ้นเป็น 200 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้นเป็น
25.5 กก.-ม.ที่ 2,400 – 4,800 รอบ/นาที

ทว่า ขุมพลังของ Juke เวอร์ชันไทย จะแตกต่างไปจากตลาดโลก และบ้านเราจะ
ถือเป็นประเทศแรกในโลก ที่ได้ใช้ Juke ซึ่งวางเครื่องยนต์รหัส HR16DE บล็อก
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร
กำลังอัด 9.8 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ EGI 2 หัวฉีด / 1 สูบ “Dual Injector”
คุมด้วยกล่องสมองกล ECCS 32 bit พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Twin-CVTC ที่
หัวแคมชาฟต์ทั้งฝั่งไอดี และไอเสีย ยกชุดมาจาก Nissan Sylphy และ Pulsar
ทั้งยวง

ไม่มีอะไรในกอไผ่ Nissan แค่อยากจะใช้หลักการเดียวกับเทคโนโลยีฉีดเชื้อเพลิง
ตรงสู่ห้องเผาไหม้ หรือ Direct Injection ซึ่งมีต้นทุนที่แพง ดังนั้น ทางออกก็คือ
ทีมวิศวกร ใช้วิธีลดขนาดหัวฉีดลงจากเดิม แต่เพิ่มเป็น 2 หัวฉีด / 1 กระบอกสูบ
เพื่อให้จ่ายเชื้อเพลิงได้เป็นละอองมากขึ้น ช่วยลดอาการ Pumping Loss เพิ่มการ
เผาไหม้ เกิดประสิทธิภาพดีขึ้นและช่วยให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบ
กับเครื่องยนต์เดิม

HR16DE เวอร์ชัน 2 หัวฉีด / 1 สูบ ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 5,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตันเมตร (15.7 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

คำถามก็คือ ในเมื่อ พละกำลังมันแทบไม่ต่างจาก HR15DE เลย แล้วทำไมถึงไม่ยก
ขุมพลัง 1.5 ลิตร เข้ามาใส่แทนเลยละ?

เหตุผลก็คือ

1. จากการวิจัยตลาด ลูกค้าชาวไทย จะยอมรับได้ ในราคาของ Juke ที่เป็นอยู่นี้
หากวางเครื่องยนต์ ขนาด 1.6 ลิตร เพราะถ้าเป็นขุมพลัง 1.5 ลิตร หลายคนจะ
มองว่า มันแพงเกินไป โดยไม่สนใจหรอกว่า ตัวเลขพละกำลัง ไม่ต่างกันเลย

2. ย้อนกลับขึ้นไปอ่าน ในหัวข้อ เหตุผลที่ว่า ทำไม Juke ถึงมาเมืองไทยล่าช้า
บริเวณ ภาพถ่ายรถยนต์คันสีแดง ในความมืด

ขุมพลังที่แสนจะคุ้นตาจาก Sylphy และ Pulsar 1.6 ลิตร นี้ ถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบ
ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Xtronic CVT จาก Jatco เพียง
แบบเดียว เป็นเกียร์รุ่น JF015E แน่นอนว่า ย่อมเป็นเกียร์ลูกเดียวกันกับที่คุณจะพบได้
ทั้งใน Nissan March , Almera , Sylphy และ Pulsar รวมไปจนถึงรถยนต์ของคู่แข่ง
ค่ายอื่น อย่าง Mitsubishi Mirage กับ Attrage และ Suzuki Swift อีกด้วย!

เป็นระบบส่งกำลังที่สำส่อนมาก!

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

อัตราทดเกียร์……………………4.0062 – 0.5500
อัตราทดเกียร์ถอยหลัง…………..3.7708
อัตราทดเฟืองท้าย……………….3.7539

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองในเวลากลางคืน จับเวลาโดย
เปิดไฟหน้า เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน น้ำหนักตัวคนขับและผู้โดยสาร ไม่เกิน 170
กิโลกรัม และผลลัพธ์ที่ได้ ออกมา ดังนี้

ตัวเลขที่ออกมา โดยส่วนตัว ผมมองว่า แอบดีกว่าที่คาดไว้นิดหน่อย เพราะจากการ
ประเมินในเบื้องต้น ผมมองว่า อย่างเก่ง หากทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้ 12.5 วินาที ก็ดีถมถืดแล้ว เอาเข้าจริง ออกมาแถวๆ 11.6 – 11.8 วินาที ก็ไล่เลี่ย
กันกับ Tiida 1.6 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ รุ่นปี 2006 ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่า
แต่ที่แน่ๆ เร็วกว่า Pulsar ทั้ง 1.6 และ 1.8 ลิตร ชนิดที่ชวนให้สงสัยเลยว่าทำไม
ถึงเป็นเช่นนั้น?

อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ถือว่าเร็วในระดับต้นๆของกลุ่ม หากจะ
เป็นรองก็แค่ Toyota Coroola Altis 1.6 ลิตร รุ่นเดิม ที่เพิ่งตกรุ่นไป เท่านั้น และ
แน่นอนว่า ตัวเลขที่ Juke ทำได้นั้น แซงหน้า Suzuki SX4 ไปไกลมาก (0 – 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 14.47 วินาที 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 11.87 วินาที)

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น แม้ว่าในภาพข้างบนนี้ จะแตะระดับ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งเป็นระดับที่ Juke ทำได้ดีที่สุดแล้ว แต่จากการทดลองซ้ำอีกครั้ง ตัวเลขที่ออกมา
ก็คือ เข็มความเร็ว แตะขีด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอดี ณ รอบเครื่องยนต์ เท่ากันเปีะ

ทว่า กว่าจะไต่ขึ้นมาได้ระดับนี้ ต้องใช้ระยะทางยาวค่อนข้างมากกว่าปกติ แถมยัง
ต้องเหยียบคันเร่งส่งมาตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ช่วงลงเนินด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้น อย่าหวัง
ว่าจะเห็นตัวเลขแบบนี้ได้เลย เพราะหากคุณทำความเร็วสูงบนทางราบ ยังไงๆ
Juke ก็จะไต่ขึ้นไปได้ถึงแค่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือเกินกว่านั้นนิดเดียว!
แสดงให้เห็นว่า น้ำหนัก และอากาศพลศาสตร์ มีผลอย่างชัดเจนที่ทำให้ช่วง
ความเร็วปลาย ของ Juke นั้น เหี่ยวหดอดสู ต่อให้ขุด Viagra ยัดเข้าไปทั้ง
โรงงาน ก็ไม่มีทางจะเร่งขึ้นไปได้ดีกว่านี้แล้ว!

กระนั้น ตามธรรมเนียมของเรา ก็คงต้องขอเตือนกันเอาไว้ เหมือนเช่นเคยว่า
เราไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลองทำความเร็วสูงสุด เหมือนเช่นที่เราทำให้ดูนี้
เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร เราทำให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้
เพื่อการศึกษา เราไม่ทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทาง เราให้ความสำคัญ
และระมัดระวังกับเรื่องนี้มากๆ และเราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อมาทำ
ตัวเลขแบบนี้กันเอง ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้ง
ขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความ
ปลอดภัยของคุณใดๆ ทั้งสิ้น!

ในการขับขี่จริง อัตราเร่งช่วงออกตัว จนถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่า ไม่อืด
อย่างที่คิด ขนาดว่าในช่วงถ่ายทำรายการ The Clip เมื่อตาแพน Commander
CHENG กระแทกกีบ…เอ้ย คันเร่งลงไปจมมิด หน้ารถยังแอบมีอาการเชิดขึ้น
ขณะออกตัว ให้ได้พบเจอกันอีกด้วยแหนะ!

ด้วยประสิทธิภาพของเกียร์ CVT ทำให้ Juke พุ่งทะยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ
อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุดจากการเปลี่ยนเกียร์แล้วต้องไล่รอบเครื่องยนต์
ขึ้นมาใหม่ แต่เมื่อผ่านพ่นช่วงหลังจาก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปแล้ว จะ
เริ่มพบว่า เข็มความเร็ว ไต่ขึ้นไป ช้าลง และเริ่มค่อยๆ ขึ้นแบบ เอื่อยๆ
เหมือนน้ำบาดาลในฤดูแล้ง ก่อนที่เข็มความเร็วจะไปนิ่งสนิท ณ ระดับ
160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งต้องใช้ระยะทางที่ยาวกว่านั้น ในการลากขึ้นไป
ให้สูงกว่านี้อีกสักนิด

ขณะเดียวกัน ในช่วงเร่งแซง การไม่มีแป้น Paddle Shift และไม่ได้เซ็ตให้
เกียร์ ล็อกอัตราทดที่ตำแหน่งพูเลย์ ทำให้การเร่งแซง อาจจะขัดใจหลายๆคน
ไปบ้าง แต่ถ้าคุณที่เคยขับ March หรือ Almera รวมทั้ง Sylphy, Pulsar
ก็ใช้วิธีการเดียวกันครับ ถ้าจะเร่งแซง ให้เหยียบคันเร่งลงไป เกินกว่า 70-80%
หรือจะเหยียบเต็มมิดติดเหล็กรถได้เลยก็ยิ่งดี เพาะ Torque Converter จะรู้
ว่าคุณต้องการแรงบิดมากกว่าปกติ เครื่องยนต์ และเกียร์ ก็จะช่วยกันเค้นกำลัง
ออกมาให้ได้ตามที่คุณต้องการ เพราะบุคลิกการตอบสนองของทั้งเครืองยนต์
และเกียร์ มันก็ไม่ได้ต่างไปจาก Sylphy 1.6 และ Pulsar 1.6 กันนักหรอก!

แต่คันเร่งเอง ก็จะมีการตอบสนองเร็ว หรือช้า ขึ้นอยู่กับว่า คุณเลือก Mode
การขับขี่แบบใด ถ้าเลือก ECO ทำใจเลยครับ นึกถึงคันเร่งที่ไม่ถึงกับไว แต่
มาพร้อมกับอัตราเร่งที่ชวนให้ง่วงนอน อย่าง Sunny Neo 1.6 ลิตร ได้เลย
จนกว่าจะเปลี่ยนไปเป็น Normal นั่นละ ความสนุกถึงยังพอจะโผล่มาทักทาย
กันบ้าง และถ้าเปลี่ยนไปโหมด Sport พูเลย์ที่เกียร์จะทดให้รอบเครื่องยนต์
สูงขึ้น พร้อมให้ เหยียบคันเร่งในภาวะฉับพลันตลอดเวลา แต่ก็แค่นั้น

ยืนยันครับว่า ไม่อืดแน่ แต่ก็ไม่ได้แรงจนควรมอบโล่ห์ อัตราเร่งช่วงต้น ไหล
พอใช้ได้เลย ช่วงกลาง ยังพอมีเรี่ยวแรงบ้างนิดหน่อย แต่ช่วงปลาย เค้นไป
จนเครื่องพัง มันก็หดเหี่ยวเป็นขันทีแล้วละ

หากคุณขับขี่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก หรือเป็นคนที่ชอบเดินทางไกล แต่
ไม่ใลช่คนขับรถเร็วเกินกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง  ผมว่าคุณน่าจะใช้ชีวิต
อยู่กับ Juke ได้สบายๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รักความแรงเป็นชีวิตจิตใจ และ
ขยันแซงรถพ่วง กับสิบล้อข้างหน้า ราวกับว่า เก็บแต้มได้คะแนนทุกครั้ง
ที่แซง ขอแนะนำว่า…มีทางเลือก 2 ทาง คือ 1. เรียนรู้บุคลิกของคันเร่งซะ
หรือ 2.ไปหา Pulsar Turbo เถอะ! Juke เวอร์ชันไทย รุ่นไร้ Turbo แบบนี้
ไม่เหมาะกับคุณแน่ๆ!

การเก็บเสียง ทำได้ดีพอสมควรในช่วงความเร็วต่ำ ไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หลังจากนั้น เสียงยาง Bridgestone GR90 Made in Indonesia จะเริ่มดังขึ้น
นิดๆ เสียวกระแสลมไหลผ่านตัวรถ จะเริ่มโผล่มาทักทายที่ความเร็ว ระดับ
80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่จะเริ่มดังขึ้นชัดเจนเมื่ถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนที่
จะดังต่อเนื่องเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึง Top Speed

ภาพรวมเรื่องการเก็บเสียง ผมถือว่า พอๆกันกับ Mazda CX-5 คือเงียบพอได้
ในความเร็วต่ำ แต่ดังขึ้นมากในช่วงความเร็วเดินทาง

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
ควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering) ที่ปรับน้ำหนักพวงมาลัย
ตามความเร็วของรถ รัศมีวงเลี้ยว 5.5 เมตร

ผมถือว่า นี่คือพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ที่ Nissan เซ็ตมาได้ดีที่สุดสำหรับรถยนต์
ขนาดเล็ก เท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกขายกันมา เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ต้องปริปากบ่น
เรื่องการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้า ฝีมือพวกเขาเลย

ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักเบากำลังดี ตึงมือกำลังเหมาะ ไม่เบาโหวงจนเกินไป หนืด
กว่า Honda City ใหม่ กับ Toyota Corolla Altis ใหม่ แม้แต่ Nissan Sylphy
ที่ใช้ล้อ 16 นิ้ว อยู่นิดหน่อย ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะน้ำหนักของล้ออัลลอย 17 นิ้ว จาก
โรงงาน มาช่วยเพิ่มความหนืดให้การหมุนพวงมาลัย มีน้ำหนักที่กำลังดี

ในช่วงความเร็วเดินทาง และความเร็วสูง พวงมาลัยนิ่ง หนักแน่นพอประมาณ และมี
น้ำหนักขืนมือกำลังดี พวงมาลัยไม่ได้ไวมากไป ระยะฟรีเหมาะสม ผมไม่อยากเชื่อว่า
จะสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัย นั่งกอดอก แล้วปล่อยให้รถแล่นไปได้ ทั้งที่รถ
กำลังแล่นด้วยความเร็วสูงระดับ Top Speed 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยไม่เกิด
อาการหวาดวิตกอะไรเลยทั้งสิ้น! มันนิ่ง และไว้ใจได้ขนาดนั้นเลยทีเดียว!

ส่วนการบังคับเลี้ยวขณะเข้าโค้งนั้น อัตราทดพวงมาลัย กำลังดี ไม่ไวเกินเหตุ
แต่ก็ไม่เนือยมากจนเกินไป สั่งให้เลี้ยวไปทางไหน ก็ไม่มีอาการอิดออด แต่
ถ้าอยู่ในโค้ง แล้วเกิดอยากหมุนพวงมาลัยเพิ่มวงเลี้ยวอีกนิด บางจังหวะ รถ
จะเลี้ยวเพิมขึ้นมากเกินกว่าที่ผมต้องการไปนิดนึง แต่ก็แก้คืนกลับได้สบายๆ

จริงอยู่ว่า พวงมาลัยไม่ได้หนืดและหนักแน่น เท่ากับ Subaru XV แต่ด้วยการ
ใช้ล้อ 17 นิ้ว ที่มีน้ำหนักมากพอสมควร นั่นช่วยถ่วงให้น้ำหนักของพวงมาลัย
สมดุลดีกับตัวรถมากกว่าที่คิด และถือว่าดีเป็นอันดับต้นๆของตลาดกลุ่มนี้แล้ว

ผมอยากให้พวงมาลัยของ Juke เป็น Benchmark ในการเซ็ตพวงมาลัยเพาเวอร์
ไฟฟ้า EPS ของ Nissan ในรถยนต์รุ่นต่อจากนี้ไป ขอแบบนี้แหละ แต่ไม่ใช่แค่
ใช้ช้อ 17 นิ้วนะ มันต้องรวมถึง ล้อ 15 และ 16 นิ้ว ด้วย

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต มาแปลกด้วยการเสริม
Subframe แบบ Cradle-Type ถือเป็นรายแรกในกลุ่ม รถยนต์นั่งกลุ่ม
B-Segment ส่วนด้านหลัง เป็นแบบคานบิด Torsion Beam เสริมด้วย
เหล็กกันโคลง ให้มาครบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง คือสิ่งที่ทำให้ Juke มี
บุคลิกการขับขี่ที่ “เหนือความคาดหมาย”

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่คลานๆ ไปตามสภาพการจราจร ช่วงล่างของ
Juke พยายามซับแรงสะเทือนไว้ในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับมากนัก แต่ก็พอ
ให้ผู้ขับขี่ รูดผ่านพื้นผิวไม่เรียบอันเกิดจากรถปูน ทำปูนหล่นใส่พื้นถนน
ยางมะตอย ได้อย่างสบายๆ ราวกับการรูดปรื๊ด บัตรเครดิต นั่นเลยทีเดียว!

อาการตึงตังที่เกิดขึ้นนั้น มีในระดับ เกินกว่าคำว่า “ตึงตังแค่พอเป็นพิธี”
มานิดหน่อย แต่ก็ไม่ตึงตังแข็งปั๋ง จนสะเทือนเลื่อนลั่น ดุจนั่งบนรถลาก
ล้อเกวียนแต่อย่างใด

ทว่า ความน่าประทับใจยิ่งกว่านั้น มันอยู่ที่ การทรงตัวได้อย่างนิ่งสนิทในช่วง
ความเร็วเดินทาง จนถึง Top Speed ต่างหาก เพราะช่วงล่าง เซ็ตมาในแนว
“แน่นและหนึบ” จนน่าประทับใจ ใกล้เคียงกับ Subaru XV มากๆ!

การจัมพ์คอสะพานหลังเต่า ที่ไม่สูงมากนัก  ผมสามารถทำได้แม้ใช้ความเร็ว
ระดับ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง สบายๆ มีจังหวะ Rebound ของช็อกอัพ มาให้
สัมผัสนิดนึง ว่า แน่น และหนึบ

ไม่เพียงเท่านั้น Juke ยังทำให้ผมสนุกสนานขณะเข้าโค้งได้ดีอีกด้วย เพราะ
บนทางโค้งรูปเคียวขวา บนทางด่วนขั้นที่ 2 เหนือมักกะสัน ต่อเนื่องไปจนถึง
โค้งซ้าย เชื่อมต่อกับทางด่วนขั้นที่ 1 ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว ผมพา Juke
ซัดเข้าโค้ง ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต่อเนื่องกัน โดยที่รถยังนิ่ง และควบคุมอาการได้ดีมาก Body Control เยี่ยม
เกินกว่ารถยนต์ประเภทนี้รุ่นอื่นๆ เขาเป็นกัน หน้ารถไม่ดื้อในโค้งมากนัก
แบั้นท้าย ก็แอบๆ มีอาการใกล้จะออกนิดๆ จางๆ ไม่เยอะนัก แถมในโค้ง
ขวาต่อเนื่องบนสะพาน จากสนามบินสุวรรณภูมิ ตัดเข้า ถนนบางนา – ตราด
ผมซัดเข้าโค้งนั้น ด้วยความเร็วสูงถึง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง!! ต่อเนื่องจนหมด
ทางโค้ง โดยที่รถมีแค่อาการเล็กๆจากช่วงที่ผม เพิ่มวงเลี้ยวของพวงมาลัย

เหลือเชื่อจริงๆ!
 
แต่เมื่อมีกระแสลมมาปะทะด้านข้าง ตัวรถจะมีอาการวูบวาบ อยู่บ้าง แต่ถือว่า
น้อย เมื่อเทียบกับรถยนต์ในพิกัดไล่เลี่ยกัน ผมยังสามารถพา Juke วิ่งเล่น
บน ทางยกระดับ บูรพาวิถี ด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งที่ตอนนั้น
เป็นเวลา บ่าย 4 โมง แถมด้วยกระแสลมค่อนข้างแรง จนรถยนต์ ที่แล่นอยู่
ด้วยกันบนนั้น ต่างพากันเข้าเลนกลาง ชะลอความเร็ว เหลือราวๆ 80 -90
กิโลเมตร/ชั่วโมง กันไปหมดแล้ว ผมเชื่อว่า Juke น่าจะทนได้ถึงระดับ
ความเร็วของรถ ที่ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความแรงของกระแสลม
ปะทะด้านข้าง

การทำงานของพวงมาลัย และช่วงล่าง ที่ผสานกัน เข้าคู่ เข้าขา กันขนาดนี้
ส่งผลให้ Juke กลายเป็นรถยนต์ ขนาดต่ำกว่า 2,000 ซีซี ระดับราคาไม่เกิน
1 ล้านบาท ที่มีช่วงล่างดีเป็นอันดับต้นๆของตลาด ตอบสนองมั่นคง มั่นใจ
และให้ความสนุกในการบังคับควบคุมได้ดีเกินความคาดหมายจริงๆ!

ระบบห้ามล้อ ทุกรุ่น เป็นแบบ ดิสก์เบรกล้อคู่หน้า มีรูระบายความร้อน ส่วนล้อคู่หลัง
เป็นดรัมเบรก นอกจากนี้ ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock
Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics
Brake Force Distributor) ระบบเสริมแรงเบรคในภาวะฉุกเฉิน BA (Brake
Assist)

การตอบสนอง ก็เป็นไปตามความคาดหมาย คือ เน้นความนุ่มนวลในแบบของระบบ
เบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม แต่ที่ถือว่าทำได้ดีคือ การปล่อยรถให้ไหลเคลื่อนไปข้างหน้า
สลับเบรกให้หยุดนิ่ง ขณะขับขี่ในเมืองหน้ารถไม่ได้เบรกจึกๆ จนหัวทิ่ม แต่สัมผัสได้
ถึงการหน่วงรถอย่างหนักแน่น อีกทั้ง ถ้าสั่งให้เบรกนุ่มๆ ในจังหวะที่รถกำลังจะหยุดนิ่ง
สนิท ก็ทำได้ง่ายดาย

การหน่วงความเร็วลงมาจากย่านความเร็วสูง ที่ทำได้ดีสมตัว เบรกทำงานได้อย่าง
นุ่มนวล เหยียบเบรกลงไปราวๆ 10-20% ของระยะเหยียบ คุณก็จะเริ่มพบว่า
ระบบเบรกค่อยๆ ทำงาน อย่าง Linear ต่อเนื่อง และให้ความมั่นใจได้ดีในแบบ
ที่ควรเป็น

ด้านความปลอดภัย โครงสร้างตัวถังยังคงได้รับการพัฒนาขึ้น บนพื้นฐานของ
แนวทาง Zone Body Concept เน้นการกระจายแรงปะทะ ไปยังทุกส่วนของ
โครงสร้างตัวถัง ตามรูปแบบโครงสร้าง Crumple Zone ซึ่ง Nissan เอง ก็
ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากมายนัก รู้แต่ว่า มีคานกันกระแทก เสริมในบานประตู
ครบทั้ง 4 บาน อีกทั้งยังออกแบบให้เน้นความแข็งแกร่ง ทนต่อการบิดตัวได้สูง

จากการทดสอบของ Euro NCAP หน่วยงานด้านทดสอบการชนของสหภาพยุโรป
ทำให้ Juke ได้คะแนนสูงระดับ 5 ดาว จากการปกป้องผู้โดยสาร ผู้ใหญ่ ด้วยคะแนน
87% การปกป้องทารก บนเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก 81% การปกป้องชีวิตคนเดินถนน
41% และการช่วยเหลือจากระบบความปลอดภัยในรถ 71%

แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า คะแนนนี้ ได้มาจาก Juke เวอร์ชันยุโรป ซึ่งติดตั้งม่านลม
นิรภัยด้านข้างมาให้ ในขณะที่เวอร์ชันไทย ทุกคัน ติดตั้งมาให้แค่ ถุงลมนิรภัย
คู่หน้า ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย เท่านั้นส่วนเวอร์ชันไทยจะเป็น
อย่างไร ก็คงต้องบอกว่า อาจด้อยกว่านี้นิดหน่อย ไม่น่าจะมากนัก

รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ที่นี่
http://www.euroncap.com/results/nissan/juke.aspx

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ถ้าคุณคิดว่า ไม่ต้องทดลองความประหยัดก็ได้ เพราะ Juke ก็ใช้เครื่องยนต์ และ
เกียร์ CVT ลูกเดียวกับ Sylphy 1.6 ลิตร ที่แสนประหยัดนั่นแหละ…

บอกเลยครับว่า…ไม่ได้! ยังไงก็ต้องทดลองอยู่ดี! เพราะการที่ Juke ใช้เครื่องยนต์
และเกียร์ เหมือนกันกับ Sylphy มันไม่ได้หมายความว่า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง จะออกมาพอกันกับ Sylphy เสมอไป อย่าลืมว่า Juke มีรูปลักษณ์ที่
ต้านลมกว่า ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว แถมใส่ล้อขนาดใหญ่กว่า แรงเสียดทาน
ก็เพิ่มมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าโหงวเฮ้งจะออกมาว่า กินน้ำมันกว่า Sylphy
แต่คำถามก็คือ มันกินกว่ากันมากน้อยแค่ไหนละ?

เพื่อหาคำตอบ ผมจึงพา Juke มาที่สถานีบริการของ Caltex ริมถนนพหลโยธิน
ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 มาตรฐาน
(ที่ไม่ใช่แก็สโซฮอลล์) ลงไปจนเต็มถังความจุขนาด 65 ลิตร

ในเมื่อ Juke มีขนาดเครื่องยนต์ ต่ำกสว่า 2,000 ซีซี และคุณผู้อ่านหลายคน
สนใจว่าจะประหยัดน้ำมันแค่ไหน ผมจึงเลือกเติมน้ำมันด้วยวิธี เขย่ารถ เพื่ออัด
กรอกน้ำมันลงไปแทนที่อากาศในถังให้เต็มแน่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จน
น้ำมันเอ่อล้นขึ้นมาที่ปากคอถังอย่างที่เห็นนี้

เมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถังเรียบร้อยแล้ว เราเซ็ต 0 บน Trip Meter A แล้วคาด
เข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ มุ่งหน้าไปตามถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่ปากซอย อารีสัมพันธ์ มุ่งหน้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะ
ออกมายัง พหลโยธิน ซอย 11 โรงเรียนเรวดี แล้วไปขึ้นทางด่วน ณ ด่าน
พระราม 6 ขับมุ่งหน้ายาวไปจนถึงปลายสุดทางด่วน ที่ด่าน บางปะอิน แล้ว
เลี้ยวกลับใต้ทางด่วน กลับมาเสียเงินอีก 55 บาทขึ้นทางด่วนอีกรอบ เพื่อขับ
กลับเข้าเมือง ตามมาตรฐานเดิม คือใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้ารถด้วย

เนื่องจาก Juke เวอร์ชันไทย ไม่มีระบบล็อกความเร็ว Cruise Control มาให้
ผมก็ต้องใช้ระบบ Teen Control หรือ ควบคุมคันเร่งด้วยฝ่าตีน นี่ละครับ
คันเร่งนั้น เลี้ยงให้รอบเครื่องนิ่งๆ ยากชะมัด ยากพอกันกับพี่น้องร่วม
ตระกูลเกียร์ลูกนี้นั่นแหละ ไม่รู้จะเลี้ยงยากเลี้ยงเย็นกันไปไหน

จากนั้น เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการ Caltex
อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 เพียวๆ ที่หัวจ่ายเดียวกันกับการ
เติมครั้งแรก รวมทั้งเขย่า ขย่มรถ เหมือนกัน เพื่ออัดกรอกน้ำมันจนแทนที่
อากาศในถังได้มากที่สดเท่าที่ทำได้

มาดูตัวเลขที่ เจ้าจุกน้อย ทำได้กันดีกว่า 

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 93.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 เพียวๆ เติมกลับ 6.86 ลิตร!!!!!
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย จึงออกมาอยู่ที่ 13.67 กิโลเมตร/ลิตร

พูดกันตรงๆก็คือ แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ พอรับได้ คือ ไม่ต่ำไปกว่าระดับ
ค่าเฉลี่ย ของรถยนต์ในยุคสมัยนี้ คือ 12 กิโลเมตร/ลิตร แต่ด้วยรูปลักษณ์
ที่ต้านลม ทำให้มีผลต่อการกินน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก Sylphy ชัดเจน ตาม
ตารางข้างบนนี้ ถือว่า Juke ทำตัวเลขพอๆกันกับ TIIDA Hatchback
1.8 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แต่อย่างน้อย ก็ยังประหยัดกว่าค่แข่ง
ในระดับเดียวกันอย่าง Suzuki SX4 ซึ่งทำได้ 13.02 กิโลเมตร/ลิตร

แล้วน้ำมัน 1 ถัง จะแล่นได้ระยะทางเท่าไหร่? พอดีผมลืมถ่ายรูปมาในช่วง
เติมน้ำมันเข้าไป หลังจากที่ น้ำมัน เบนซิน 95 ถังแรก ใกล้หมด ตัวเลขบน
มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง แจ้งว่า เหลืออีกราวๆ 1 ใน 4 ของความจุถัง 52 ลิตร
ตัวเลขระยะทางบน Trip Meter แล่นไปแถวๆ 391 กิโลเมตร นั่นเป็นไปได้
ว่าการเติมน้ำมันเต็มถัง อาจจะพาให้ Juke แล่นได้ไกล ในระยะทางราวๆ
450 – 500 กิโลเมตร โดยประมาณ

********** สรุป **********
B-Segment Crossover SUV สำหรับคนโสด…
พวงมาลัยดี ช่วงล่างเริ่ด! แต่ขอเครื่อง Turbo เถิด! จะระเบิดเถิดเทิงกว่านี้เยอะ!

มาถึงบรรทัดนี้ คุณคงได้รู้จักกับรถยนต์หน้าตาแปลกประหลาด ชนิดที่ว่า
ถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็เกลียดขี้หน้ากันไปเลย อย่าง Juke กันจนหมดเปลือก
แล้วนะครับ?

แต่ถึงตอนนี้ หลายๆโชว์รูม ยังไม่ค่อยจะมีรถยนต์ให้ทดลองขับกันเท่าไหร่
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะตอนนี้ ยอดสั่งจองมันปาเข้าไป 5,500 คัน
ดังนั้น อาจหารถยนต์สำหรับทดลองขับยากนิดนึง

แต่การใช้ชีวิตกับ “จุกน้อย” ถึง 1 สัปดาห์เต็ม ทำให้ผมเริ่มมองเห็นว่า
นอกเหนือจากหน้าตาอันพิลึกพิลั่นกวนส้นฝ่าเท้าของมันแล้ว เจ้าหมอนี่
มันมีข้อดีซ่อนอยู่

จุดเด่นของ Juke อยุ่ที่ การบังคับขับขี่ของมัน ไม่ว่าจะแค่ขับคลานๆในเมือง
คลานไปอย่างเชื่องๆ ตามถนนริมชายหาด หรือฟาดคันเร่งกันบนทางด่วน
พวงมาลัย และช่วงล่างของ Juke ทำงานประสานกันอย่างดีมากๆ จนทำให้
Juke กลายเป็นรถยนต์ Nissan พิกัดต่ำกว่า 2,000 ซีซี ที่ยึดเกาะถนน และให้
ความสนุกในการขับขี่ มากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยสั่งเข้ามาขายในเมืองไทย!

ช่วงล่างที่แน่นหนึบ ไม่ถึงกับนุ่มและตึงตังพอเป็นพิธี กับพวงมาลัยที่มี
อัตราทดกำลังดี เป็นธรรมชาติมาก กว่าพวงมาลัยไฟฟ้าของ Nissan รุ่นอื่นๆ
คือเสน่ห์ที่ทำให้ Juke กลายเป็นรถขับสนุก สาดโค้งด้วยความเร็วที่สูงมาก
เกินกว่ารถเก๋งเตี้ยๆทั่วไป ได้อย่างมั่นใจ จนผมลิมนึกไปเลยว่า กำลังขับ
รถแนวยกสูงอยู่นะ!

เสียดายเพียงแค่ว่า ถ้าเครื่องยนต์ เป็นขุมพลัง MR16DDT 190 แรงม้า (PS)
เหมือน Pulsar Turbo แล้ว คิดว่า รถคันนี้จะยิ่งสนุก และทำให้ผมรักจน
ถึงขั้นไม่อยากคืนกุญแจได้แน่ๆ

เพราะ อัตราเร่งช่วงต้น และกลาง ตอบสนองเหมือนๆ Sylphy และ Pulsar
ไม่น่าเกลียด แต่ที่แย่คือ ช่วงปลายๆ นั้น เหี่ยวจนแม้แต่ Viagra หมดโรงงาน
ก็ยังขุดไม่ขึ้น!

แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่พอมีให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ ก็น่าจะเหมาะกับลูกค้า
ทั่วไป ที่ไม่ได้ขับรถเร็วอย่างผมอยู่แล้ว และเท่าที่ผมนำมาใช้งาน ก็ไม่เลวร้าย
ถือว่า พอยอมรับได้ ในระดับของรถบ้านๆ

แต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนี่ ถึงแม้จะเลยจากเส้นมาตรฐานของเราที่ระดับ
12 กิโลเมตร/ลิตร มาอยู่ที่ 13.67 กิโลเมตร/ลิตร แต่ก็ต้องทำใจนะครับ ว่า
การกินน้ำมัน น่าจะพอกันกับบรรดารถยนต์ C-Segment รุ่นอื่นๆ ที่ขายกัน
ตั้งแต่ก่อนปี 2010 คือไม่ถึงกับประหยัดนัก แค่พอได้ เท่านั้น

เอาเข้าจริง Juke เป็นรถยนต์ที่เหมาะแก่การใช้งานในเมืองมาก โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ถ้าคุณเปนคนโสด อายุหลากหลาย ตั้งแต่วัยรุ่นระดับ นิสิต นักศึกษา
ปี 3 หรือ ปี 4 วัยทำงานตอนต้น Creative คนทำงานโฆษณา งานด้านศิลปะ
จนถึง บรรดา ส.ว. (สูงวัย) ที่อยากได้พาหนะ ซึ่งมีภาพลักษณ์ทะมัดทะแมง
จนช่วยกระชากวัยของคุณลงมา จากสายตาของผู้คนรอบข้าง Juke จะเหมาะ
กับคุณมากๆ

แต่ถ้าคุณ มีครอบครัวแล้ว จะเพิ่งเริ่มมีมาได้สักพัก หรือรักกันมาได้หลายสิบปี และ
มองหารถยนต์อเนกประสงค์ราคาประหยัด สำหรับการเดินทางไกลไปต่างจังหวัด
กันเป็นหมู่คณะ บอกได้เลยว่า มองข้าม Juke ไปเถอะ! เพราะมันเป็น Crossover
SUV ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตในแบบ “คนโสด” หรือ คนเพิ่งมีแฟนกัน เท่านั้นจริงๆ

เพราะข้อด้อยสำคัญ ที่คุณควรรู้ไว้ตั้งแต่แรก นั่นคือ พื้นที่โดยสารด้านหลังนั้น
เหมาะแค่เพียงการพาเพื่อนฝูง นั่งไปด้วยในระยะทางไม่ไกลนัก อีกทั้งเพื่อน
ของคุณเหล่านั้น ก็ต้องมีส่วนสูง ไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร ด้วยนะ จึงจะนั่งแล้ว
หัวไม่ติดเพดานหลังคา แถม Legroom แม้จะยังพอมี แต่ก็เหลือน้อยพอๆกัน
กับ Mazda 3  ดังนั้น มันไม่เหมาะกับคนมีลูกแล้วด้วยประการทั้งปวง

เว้นเสียแต่ว่า คุณเป็นผู้หญิงแกร่ง ประเภท Single Mom หรือพ่อหม้ายลูกติด
มีลูกชาย หรือลูกสาว คนเดียว และต้องไปรับ-ส่ง ถึงโรงเรียนมัธยมศึกษาชื่อดัง
ในเมืองใหญ่ การพา Juke ไปรับบุตรหลานของคุณ น่าจะไม่เพียงแค่ทำให้
บรรดาเพื่อนลูก มองว่าคุณเจ๋ง ไม่ธรรมดา เผลอๆ ถ้าเป็นเพื่อนลูกชายตัวแสบ
บางคน ที่ชอบผู้ใหญ่ อาจหลงเข้ามาติดพันคุณ เหมือนอย่างในซีรีส์สุดดัง เรื่อง
Hormones ก็เป็นไปได้ แต่บรรดาคณาจารย์หัวโบราณ น่าจะมองคุณด้วยสายตา
ทั้งทึ่ง และแอบหมั่นไส้ในความ “เปรี้ยวเยี่ยวราด” ของคุณ กันเลยทีเดียว!

แล้วถ้าจะต้องเทียบกับคู่แข่งในตลาดละ? มีเพียงแค่ 2 คันที่มีให้เลือกในตอนนี้

Ford EcoSport คือน้องใหม่ล่าสุดในตระกูล Ford ที่เปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Ford Fiesta จากการพัฒนาโดยทีม Ford South Africa
ภายในห้องโดยสาร มีขนาดเล็กกว่ากันนิดหน่อย แต่คนที่นั่งด้านหลัง จะยังมีพื้นที่
เหนือศีรษะดีกว่า Juke ทว่า ห้องเก็บของด้านหลัง ก็มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก หากคุณ
ไม่พับเบาะ ก็แทบจะวางของได้น้อยมาก จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ได้ลองขับ แต่เท่าที่
สดับรับฟังมาจากพี่ๆน้องๆ สื่อมวลชนสายรถยนต์คนอื่นๆ ต่างมองว่า เครื่องยนต์ขนาด
1.5 ลิตร จาก Fiesta มาเจอกับเกียร์ PowerShift ลูกเดิมที่หลายคนคุ้นเคย (และ
บางคนก็แอบเข็ดขยาดไปแล้วกับปัญหา Defect ต่างๆ ก่อนหน้านี้) ผลก็คือ แอบจะ
อืดอยู่หน่อยๆ พวงมาลัยเบาๆ แต่ช่วงล่างมั่นใจดี ผมยังไม่ขอออกความเห็นใดๆ อย่าง
จริงจัง จนกว่าจะได้นำมาลองขับอีกครั้ง หลังจากนี้

ส่วน Suzuki SX-4 รถยนต์ที่คนไทยหลายๆคน แม้กระทั่ง Commander CHENG
ของเรา ก็ยังลืมไปแล้ว ว่ายังมีมันอยู่บนโลกใบนี้ด้วยนั้น ตอนนี้ยังพอมีเหลืออยู่ แต่ก็
ไม่มากนัก ข้อดีก็ไม่ได้ต่างไปจาก Juke เท่าไหร่ มีพื้นที่นั่งด้านหลัง ที่ยังพอจะนั่งได้
สบายกว่า Juke นิดนึง และมีพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ที่ใกล้เคียงกันอยู่ แต่ข้อด้อย
สำคัญ อยู่ที่ เครื่องยนต์ซึ่งเร่งไม่ค่อยขึ้น กินน้ำมันกว่า Juke อีกต่างหาก ทัศนวิสัย
ด้านหน้า กะระยะลำบาก เพราะเสาคู่หน้าทรง ตะเกียบคู่ บดบังไปพอสมควร ราคาใน
ตอนนี้ 799,000 บาท ถูกกว่า Juke แค่นิดเดียวเท่านั้น

แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกเจ้าเงาะ…เอ้ย!.. Juke คำถามคือ ควรเลือก
รุ่นย่อยใด ถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน?

จากราคาขายปลีกของทั้ง 2 รุ่นย่อยดังนี้
รุ่น 1.6 E ราคา  819,000 บาท
รุ่น 1.6 V ราคา  858,000 บาท
รุ่น Joint Edition ตกแต่งพิเศษ 300 คัน เพิ่มเงินคันละ 5,000 บาท

และมีสีตัวถังให้เลือก คือ  สีแดง Burning Red สีน้ำเงิน Pacific Blue สีดำ
Black Solid สีขาว White Solid สีเทา Twilight Grey และสีเงิน Brilliant
Silver

จริงอยู่ว่า การเลือกรุ่นท็อป 1.6 V คุณจะได้ข้าวของมาครบครัน ชนิดที่ว่า
ไม่ต้องไปแต่งเติมอะไรเพิ่มอีก และเป็นทางเลือกที่ลงตัวที่สุด ยิ่งเมื่อ
ลองมาคำนวนเงินผ่อนต่อเดือนที่น่าจะแตกต่างกันไม่กี่บาทด้วยแล้ว
ยิ่งเห็นความต่างน้อยลงอย่างชัดเจนทันที

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเบาะหนัง ผมมองว่า เบาะผ้าของ รุ่น 1.6 E ก็ยัง
น่าสนใจอยู่ แต่ถ้าอยากได้ชุด Aero Part รอบคัน ก็ต้องสั่งซื้อติดตั้งเพิ่ม
กันเอาเอง

ส่วนรุ่น Joint Edition นั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากได้รูปแบบการตกแต่ง
เหมือนรุ่น StromTrooper Edition จากภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ที่
วางขายอยู่ในญี่ปุ่น ตอนนี้ หรือไม่ เพราการเพิ่มเงินแค่เพียง 5,000 บาท
กับเวอร์ชันพิเศษกระตุ้นตลาดนั้น อาจต้องรีบกันนิดนึง หมดแล้วไม่รู้ด้วย…

แต่ถ้ายังรอกันไหวต่อไป ตอนนี้ รุ่นปรับโฉม Minorchange
เปิดตัวแล้วเป็นครั้งแรก ในงาน Geneva Auto Salon เมื่อวันที่
4 มีนาคม 2014 ที่ผ่านมาหมาดๆ นี้เอง หน้าตา ก็แค่เปลี่ยน
ชุดไฟหน้า เป็นแบบบูมเมอแรง เหมือน 370Z ส่วนไฟท้าย
เปลี่ยนลวดลายใหม่เฉยๆ

กว่าที่รุ่น Minorchange จะมาเมืองไทย ยังอีกห่างไกล อาจต้อง
รอกันจนถึงปี 2015 – 2016 ขึ้นอยู่กับการประกอบของโรงงาน
Indonesia เป็นหลัก

ฉะนั้น ถ้าคิดจะซื้อ Juke แล้วกลัวว่า รถของคุณจะตกรุ่นในตอนนี้
บอกเลยว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้นครับ อีกตั้ง 1-2 ปี กว่าจะมา ไม่น่าเร็ว
อย่างที่คิดขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม เหนือทุกสิ่งที่เขียนมาให้คุณอ่านทั้งหมด จนถึงบรรทัดนี้
มีอยู่ประเด็นหนึ่ง ซึ่งผมอดเป็นห่วงอยู่เล็กๆ ไม่ได้ นั่นคือ หลังจากนี้
อนาคตของ Juke ในบ้านเรา จะเป็นอย่างไรต่อไป?

ยอมรับกันตามตรงว่า Juke เป็นรถยนต์ ที่มีแนวโน้มว่า ชะตากรรมตลอด
อายุตลาดของมันอีก 4 ปีนับจากนี้ น่าจะคล้ายคลึงกับรถยนต์ญี่ปุ่น อีกนับ
หลายๆรุ่น เช่น Toyota Wish , Toyota Yaris รุ่นปี 2006- 2013 , 
และล่าสุดกับ Toyota Prius เป็นต้น

รถยนต์เหล่านี้ มีวงจรชีวิตที่ประหลาดกว่าชาวบ้าน เพราะทันทีที่มีภาพข่าว
จากต่างประเทศ ถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ ในตลาดญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆ
หลายๆคน จะตั้งคำถามตาม Webboard ต่างๆ ทันทีว่า มาเมืองไทยหรือเปล่า?

คนในบริษัทรถยนต์ทั้งหลายเอง ก็รับรู้ถึงเสียงเรียกร้องของลูกค้า พอเห็นว่า
มีความเป็นไปได้ ก็ต้องพยายามเจรจา ผลักดัน ร้องขอ ให้บริษัทแม่ ยอมสั่ง
เอาชิ้นส่วนของรถยนต์เหล่านี้ มาประกอบขายในเมืองไทย หรือสั่งเข้ามา
ทำตลาดในบ้านเรา

จริงอยู่ว่า เสียงเรียกร้องหนะ มีมากมาย แต่พอออกขายจริง คนที่เฝ้ารอแล้ว
ก็แห่พากันซื้อหามาใช้ในล็อตแรกๆ ลูกค้าบางคนอาจมองว่า ตั้งราคาแพงไป
ออพชันไม่โดนใจ กรูไม่ซื้อ แถมด้วยอีกสารพัด เหตุผลมายกอ้าง โน่น นั่น นี่

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยอดขายของรถยนต์ประเภทนี้ จะสวยหรูอยู่แค่ช่วงปีแรกที่
ทำตลาด ยอดขายจะแตะระดับเดือนละ เป็น พันๆ คัน แต่พอเข้าสู่ปีที่ 2
ตัวเลขยอดขาย จะพุ่งดิ่งลงเหวทันที บางเดือนถึงขั้นว่า ขายได้ไม่ถึงระดับ
100 คันด้วยซ้ำ เช่น Toyota Wish ที่ขายออกไปเพียง 70 -80 คันในบางเดือน

พอปรับโฉมกระตุ้นตลาด ยอดขายก็กลับมาดีขึ้นได้อีกสัก 3 เดือน แล้วก็ฟุบ
ลงไปเหมือนเดิมอีก จนหลายๆคน เรียกมันว่าเป็น “รถแฟชัน” คือมาแค่
ขายดีประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็จากไป

เหตุผลส่วนใหญ่ มีมากมาย ตั้งแต่ว่า ลูกค้าที่เฝ้ารอตัวจริง อุดหนุนจนครบแล้ว
ตัวรถมีราคาแพงไป ออพชันให้มาไม่คุ้มในสายตาลูกค้าประเภทขี้เหนียวชนิด
สุนัขไม่ยอมแดก บางกลุ่ม  หรือไม่ก็อาจเป็นปัญหาทางเทคนิคในรถยนต์
บางรุ่นบ้าง เช่นสมัยก่อน Wish จะมีปัญหา ไฟเครื่องยนต์ โชว์ 3 อันรวด
เพราะ การปรับตั้งค่าของระบบเครืองยนต์จากญี่ปุ่น Strict ไปหน่อย แค่นั้น!

สุดท้าย กลายเป็นรายการปากต่อปาก จนทำให้รถยนต์ขายไม่ออกในช่วง
ตั้งแต่ ปีที่ 2 ของอายุตลาด คราวนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ ก็ตัดสินใจกันง่ายๆ ที่จะ
ปลดออกจากการทำตลาด ทั้งที่รถคันนั้น มันมีอนาคตที่ดีได้ แค่เพียงว่า
ปรับปรุงอะไรต่อมิอะไรให้เข้าที่เข้าทาง ก็พอแล้ว

Juke เอง มีแนวโน้มที่จะมียอดขายในลักษณะนี้ อยู่เหมือนกัน และนั่น
ทำให้ผมต้องบอกกับคณผู้อ่านตรงนี้เลยว่า…ไหนๆ Nissan ก็เอาเข้ามาแล้ว
ถ้าคุณคิดว่า รับไม่ได้ในรูปร่างหน้าตาของมัน โอเค ลองมองข้ามข้อจำกัดนี้
ทำตัวเป็น รจนา ที่มองหาข้อดีของเจ้าเงาะป่า กันดูบ้าง อย่าเพิ่งทำตัวเป็น
ท้าวสามนต์ ขี้บ่นกันนักเลย ถ้าพินิจพิเคราะห์แล้ว ไม่ถูกใจจริงๆ OK นั่น
คือเรื่องของคุณครับ แน่นอน ผมไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำการตัดสินใจซื้อรถยนต์
สักคันของคุณได้แน่ๆ ชอบคันไหน ก็ซื้อคันนั้น ถึงจะถูก ถ้าคุณไม่ชอบ
ใน Juke จริงๆ อย่าซื้อครับ

แต่ ถ้าคุณชอบ ยอมรับได้กับทุกสิ่งที่รถคันนี้มันเป็น การอุดหนุน Juke
สักคัน จะช่วยลบล้างคำพูดเหน็บแนม ของคนทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์
ในบ้านเราบางคน ว่า พวกรถแฟชัน ยอดขายมันไม่ยั่งยืน ลงไปได้บ้าง

มันเป็นเรื่องน่าเศร้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก อยู่ว่า ถ้าคุณอยาก
ให้ใครเอารถรุ่นไหนมาขาย จงซื้อรถที่เขาขายในตอนนี้กันเสียก่อน
พวกเขาถึงจะเห็นความเป็นไปได้พอ หรือมีทุนมากพอที่จะทำโครงการ
สั่งนำเข้า หรือผลิตรถยนต์รุ่นที่คุณอยากได้ ในปีต่อๆไป

มันบ้าบอคอแตกมากครับ แต่มันคือ ความจริงของการทำธุรกิจ เอาง่ายๆนะ
ถ้าคุณขายข้าวแกง ตอนพักเที่ยง เมื่อคุณคิดจะทำกับข้าว ให้มีทางเลือกเพิ่ม
จากเดิม 4 เมนู ต่อให้รู้ว่า ฝีมือของคุณทำออกมาอร่อย แต่คุณก็ต้องดูด้วยว่า
ปริมาณของคนที่เข้ามากินข้าวแกงในร้นคุณช่วงพักเที่ยง มันมากพอให้คุณ
ต้องทำกับข้าวเพิ่มขึ้นอีกสัก 1-2 อย่าง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า และแบ่ง
ยอดขาย เพื่อเพิ่มรายได้ ไหวหรือไม่

เช่นกันครับ การลงทุนเพื่อนำรถยนต์รุ่นหนึ่ง เข้ามาประกอบขายในบ้านเรา
ก็มีหลักการเดียวกัน แต่มูลค่าความเสี่ยงนั้น มันว่ากันที่ หลักพันล้านบาท
ให้เห็นแน่ๆ ยิ่งถ้างบวิจัยและพัฒนารถยนต์รุ่นหนึ่งในยุคนี้ มันก็แตะๆหลัก
พันล้าน ได้เหมือนกัน แต่เปลี่ยนหน่วยค่าเงินจาก บาท เป็น ดอลลาร์ สหรัฐฯ!!

ดังนั้น…งานนี้ ใครจะเป็นท้าวสามนต์ ก็เชิญครับ นั่นคือสิทธิ์ของคุณ

แต่ถ้าคุณเป็น รจนา แล้วกำลังมองหา SUV คันเล็กละก็…
เปิดใจดู “เจ้าเงาะแดง” คันนี้สักหน่อย ก็ไม่เสียหายนะครับ

ถ้าชอบใจ ก็คล้องพวงมาลัย แล้วพากันไปขับขี่ให้สุขสมอารมณ์หมาย

แต่ถ้าลองแล้ว ไม่ชอบใจจริงๆ…ก็ไม่ต้องซื้อ ครับ!

—————————///—————————-

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motor Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

คุณ Tee Abuser สำหรับภาพถ่ายภายนอกของรถ

คุณสุพลชัย กีรติขจร (เอก AKA : Backseat Driver)
เอื้เฟื้อ ข้อมูลเบื้องหลังการพัฒนา Juke บางส่วน

คุณ Pao Dominic
สำหรับการแปลและเรียบเรียงข้อมูลด้านการออกแบบ

เอกสารอ้างอิง :
Nissan Design News Letter  Vol.14 : Nissan Juke

————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของทั้งผู้เขียน และ Tee Abuser
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย และ ภาพวาด Illustration จากต่างประเทศ เป็นของ Nissan Motor Co.Ltd,
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
8 มีนาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 8th,2014 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome , Click Here!