แม้ว่า Toyota C-HR จะเป็น Global Model แต่ C-HR ที่ออกจำหน่ายในพื้นที่ต่างกัน จะมี
รายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันด้วย สำหรับสเปคล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวไปเป็น US Spec
แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย XLE และ XLE Premium ซึ่งเราจะพาไปชมกัน
ว่ามีรายละเอียดปลีกย่อย พร้อมเปรียบเทียบโดยคร่าวๆว่ามีอะไรแตกต่างจาก UK Spec
ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้บ้าง
งานออกแบบภายนอก C-HR US Spec ดูไม่แตกต่างจาก UK Spec มากนัก เนื่องจาก
ใช้ชิ้นส่วนตัวถังร่วมกัน รวมไปถึงล้อขนาด 18 นิ้ว และสปอยเลอร์หลังคา รุ่นเดียวกัน แต่
XLE Premium จะเพิ่มไฟตัดหมอกมาให้ สำหรับส่วนที่ต่างกันนั้นเห็นจะมีเพียงช่องดักลม
ด้านล่างในกันชนหน้าจากแบบรังผึ้งใน UK-Spec เป็นลายซี่นอนใน US Spec นอกจากนี้
สีหลังคา และฝาครอบกระจกมองข้างสีดำตัดกับสีตัวถังใน UK Spec ได้เปลี่ยนไปเป็น
สีเดียวกับตัวถังใน US Spec
อุปกรณ์ภายในที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานทั้ง 2 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย ระบบปรับอากาศ
แบบ Dual Zone, เบาะนั่งทรง Bucket Seat, หน้าปัดดิจิตอลขนาด 4.2 นิ้ว, พวงมาลัย
หุ้มหนังแบบ Multi-Function, กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ, เบรกมือไฟฟ้า และ
เบาะหลังพับ 60:40 พับเรียบได้
รุ่น XLE Premium จะเพิ่มระบบอุ่นเบาะคู่หน้า, ปรับพนักเบาะรองน่องคนขับไฟฟ้า, Push Start
และ กระจกมองข้างไล่ฝ้า/ พับอัตโนมัติ/ ฉายสัญลักษณ์ Toyota C-HR ลงพื้น ส่วนหน้าจอ
ขนาด 7 นิ้วที่เห็นในภาพนั้นเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถติดตั้งเพิ่มให้กับทั้ง 2 รุ่นย่อย รองรับ
การเชื่อมต่อ USB, AUX และ Bluetooth พร้อมสั่งงานได้ด้วยเสียง
ในส่วนของความแตกต่างของภายในระหว่าง UK Spec และ US Spec นั้นพบว่าไม่แตกต่างกัน
มากนักในส่วนของอุปกรณ์ และการออกแบบซึ่งสีของไฟต่างๆยังเป็นสีฟ้าอยู่ แต่เมื่อดูจากภาพ
แล้วจะพบว่าใช้วัสดุหุ้มเบาะคนละแบบกัน และ US Spec ยังเพิ่มหน่วยความเร็วหน่วย ไมล์/ชั่วโมง
ซ้อนอยู่เป็นวงในบริเวณหน้าปัดบอกความเร็ว นอกจากนี้ลายเส้นสีน้ำเงินที่คาดจากแดชบอร์ดหน้า
ไปจนถึงแผงประตูสีน้ำเงิน เหมือนจะหายไปจาก US Spec อีกด้วย
ขุมพลังมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว ณ ตอนนี้กับ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร VVT Valvematic
ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 19.35 กก-ม. (190 นิวตันเมตร) ทำงานร่วมกับ
เกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หน้า
ขุมพลังจาก UK Spec แตกต่างจาก US Spec เพราะ มีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร เทอร์โบ
116 แรงม้า 185 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ CVT และ ยังมี
ขุมพลัง Hybrid 1.8 ลิตร 98 แรงม้า 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า
แรงบิด 163 นิวตันเมตร รวมพละกำลังจาก ทั้งเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด
122 แรงม้า แบตเตอรี่แบบ Ni-MH จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ แบบ CVT
ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน ประกอบไปด้วย
ระบบเตือนก่อนการชน พร้อมตรวจจับคนเดินถนน Pre-Collision System with Pedestrian
Detection function, ระบบเบรกอัตโนมัติ Automatic Emergency Braking, ระบบเตือน
ออกนอกช่องจราจรพร้อมช่วยปรับพวงมาลัย Lane Departure Alert with Steering Assist
function, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Full-Speed Dynamic Radar
Cruise Control, ระบบไฟหน้าปรับอัตโนมัติ Auto Headlamps
สำหรับรุ่น XLE Premium จะเพิ่ม ระบบเตือนจุดอับบนกระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor),
ระบบเตือนถอยออกจากมุมอับ (Rear Cross Traffic Alert), ระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน,
กล้องมองหลัง และ ถุงลมนิรภัย 10 ใบ เมื่อเทียบกับ UK Spec แล้วจะพบว่าต่างกันแค่ US Spec
ไม่มีระบบแสดงผลป้ายจราจร (Road Sign Assist) มาให้เท่านั้น
2018 Toyota C-HR US Spec พร้อมออกจำหน่ายในสหรัฐตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ หรือตั้งแต่
เดือนมีนาคมเป็นต้นไป แต่ราคายังไม่เป็นที่เปิดเผยในขณะนี้ สำหรับผู้ที่สนใจกลับไปศึกษา
ข้อมูล Toyota C-HR UK Spec อีกครั้งสามารถอ่านได้ ที่นี่
ส่วนความคืบหน้า Toyota C-HR ในไทย เท่าที่เช็คข่าวล่าสุด ยังมีกำหนดการเหมือนเดิม
คือ ประกอบในประเทศ และ จะเปิดตัวในบ้านเราช่วงต้นปี 2018 ทั้งนี้อาจจะมีการโชว์ตัว
ก่อนในช่วงปลายปี 2017
เหตุที่ช้าเนื่องจากต้องมีการปรับเปลี่ยนไลน์ประกอบใหม่ เนื่องจาก Toyota C-HR
จะใช้พื้นฐานตัวรถ หรือ Platform พัฒนาขึ้นใหม่ Toyota New Global Architecture
(TNGA) ที่ไม่อ้างอิงกับรถรุ่นใดเลยที่มีอยู่ในไทยตอนนี้ หากมีข้อมูลอัพเดตเพิ่มเติมใดๆ
เราจะรายงานให้ทราบกันเรื่อยๆครับ
ที่มา : netcarshow, topspeed