Toyota Aygo รุ่นปัจจุบันถือเป็นรถยนต์ A-Segment Generation ที่ 2 ที่ได้ร่วมมือกับ PSA Group เป็นสมัยที่ 2 แล้ว เปิดตัวเมื่อปี 2014 โดยตัวรถยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Toyota Aygo รุ่นเดิมอยู่แต่มีการปรับปรุงงานวิศวกรรมใหม่เกือบทั้งคัน
ไฮไลต์สำคัญของความเปลี่ยนแปลงของ Toyota Aygo Generation ที่ 2 เมื่อเทียบกับโฉมแรก ก็คือ Toyota ได้ลงทุนปรับเปลี่ยนงานวิศวกรรมระบบช่วงล่างใหม่ ที่เคลมกันว่ามีการเปลี่ยนชิ้นส่วนกันมากถึง 30% ได้แก่
- ทอร์ชันบีม
- ปรับปรุงสปริงและแดมเปอร์
- ขยายขนาดเหล็กกันโคลงให้หนาขึ้น
ทำให้ Toyota Aygo รุ่นปัจจุบันสามารถลดอาการ understeer และ มีการขับขี่ที่เฉียบคมขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นแรก ซึ่งก็เป็นการตอบโจทย์ลูกค้าชาวยุโรปที่สำคัญมาก
นอกจากนี้ Toyota Aygo รุ่นปัจจุบัน ก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากด้วยดีไซน์ภายนอก-ภายในที่ฉีกแนวไปจากรถเล็ก Toyota แบบเดิม ๆ ด้วยกระจังหน้าแบบ X-Shape เล่นโทนสีที่ตัดกับสีตัวถัง ด้วยเทคนิคการออกแบบที่ค่อนข้างง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ดูดีและอลังการเหนือกว่าใคร และนำหน้าเหนือใครด้วยเทคนิคการออกแบบ Floating Roof ที่นำเทรนด์ก่อนใครในยุคนั้น
อันที่จริง Toyota Aygo รุ่นปัจจุบันมันก็ถือว่ามีดีไซน์ที่ยังน่าสนใจอยู่ แต่เมื่อมองกันตามหลักความจริงแล้ว รถคันนี้มันมีอายุตลาดนานถึง 4 ปีแล้ว ถ้าหาก Toyota ไม่คิดจะทำอะไรเลยกับรถ A-Segment คันนี้ เห็นที Toyota วางมวยผิดไปหน่อย
และเพื่อเป็นการไม่ประมาท Toyota ก็ได้เปิดตัว Toyota Aygo Minorchange เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2018 ที่มาพร้อมกับดีไซน์ภายนอกที่ Upscale ดูแพงขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ยังไม่ละทิ้งดีไซน์ที่สนุกสนานไว้เช่นเคย
หากไม่สังเกตให้ดี หลายคนจะไม่รู้เลยว่า Toyota Aygo Minorchange ได้มีการเปลี่ยนทรงไฟหน้าใหม่จากเดิมเป็นทรง คล้าย 4 เหลี่ยม ก็กลายเป็นไฟหน้าทรงเรียวยาวพร้อมไฟ DRL LED อลังการ, กระจังหน้าทรง X-Shape เช่นเคย แต่เปลี่ยนรายละเอียดการออกแบบใหม่ที่ดูมีราคาขึ้น, ช่องดักลมกันชนหน้าสไตล์ดุดัน และเพิ่มแถบชิ้นส่วน 3 เหลี่ยมสีดำ ติดตั้งใต้ไฟหน้า ทำให้ดูเสมือนเป็นช่องดักลมกันชนหน้า ส่วนดีไซน์ด้านท้ายไม่ต่างจากรุ่นเดิม ยกเว้นการออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่ พร้อม DRL LED
เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ รหัส 1KR-FE ขนาด 1.0 ลิตร 996 ซีซี DOHC 12 วาล์ว VVT-I ปรับปรุงใหม่ผ่านมาตรฐานค่าไอเสีย EURO 6.2 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดคู่, เพิ่มกำลังอัดให้สูงขึ้น, ออกแบบชิ้นส่วนใหม่ให้ลดแรงเสียดทาน, ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยไอเสีย EGR, ปรับปรุง Balance Shaft เพื่อลดการสั่นสะเทือน ขณะเครื่องเดินรอบเบา ช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงกว่าเดิม รีดสมรรถนะสูงสุดขณะขับขี่ในเมือง
ให้กำลัง 72 แรงม้า (DIN HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 93 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 13.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแค่เพียง 3.9 ลิตร/100 กิโลเมตรหรือ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนเครื่องยนต์ 1KR-FE รุ่นก่อนปรับปรุงจะให้กำลัง 68 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 95 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแค่เพียง 4.1 ลิตร/100 กิโลเมตรหรือ 24.3 กิโลเมตร/ลิตร
นอกจากจะมีการปรับปรุงระบบเครื่องยนต์ใหม่แล้ว Toyota ยังมีการปรับปรุงช่วงล่างใหม่อีกครั้งและจูนพวงมาลัยใหม่ ให้สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็ว, เฉียบคมและคล่องตัวยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Toyota ยังใส่ใจกับคุณภาพการซีลและเพิ่มวัสดุซับเสียงบริเวณแดชบอร์ด, เสา A, ประตูและแผงกั้นสัมภาระ เพื่อลดอาการสั่นสะเทือน, เสียงรบกวนและความกระด้าง
Toyota Aygo Minorchange จะอวดโฉมคันจริงที่งาน Geneva Motorshow 2018 นี้
ที่มา : Toyota