คุณเคยมีความฝันในวัยเด็กกันบ้างมั้ยครับ?
ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องมี ไม่ต้องอื่นไกลเลยครับ ในวัยเด็กของผม
ไม่ค่อยจะไฝ่ฝันอะไรยิ่งใหญ่นักหรอก ยิ่งมีความคลั่งไคล้รถยนต์
มาตั้งแต่จำความได้ ผมก็ได้แต่รอให้ถึงเดือนมีนาคม และธันวาคม
อันเป็นช่วงงานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ทั้ง 2 ครั้งของไทย ในสมัย
ที่ผมยังเป็นเด็กเนี่ย ถ้าเป็นงาน Motor Show ก็ต้องจัดที่สวนอัมพร
งาน Motor Expo ก็จะจัดที่ Convention Center ของห้าง Central
ลาดพร้าว
ส่วนความฝันจะได้ไปดูงานแสดงรถยนต์ระดับโลกเนี่ย บอกตรงๆ
ว่าอยากไป แต่ยังไม่มีโอกาสสักที แต่คิดไว้ว่าสักวัน จะหาโอกาส
นั้นให้ได้แน่ๆ
ครั้นเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่กำลังง่วงหง่าวหาวนอน
ยามบ่าย ก็มีสายโทรศัพท์เรียกเข้าจากคุณ J!MMY
“เฮ้ย Toyota เค้าเชิญไปญี่ปุ่น ไปดูงาน Tokyo Motor Show มึงอยากไปป่ะ”
“อืมม.. ยังไงดี (แสดงความรักนวลสงวนตัวพองาม) อืมๆ ไปก็ได้ ไปๆ”
แต่ในใจ ตอบตกลงไปตั้งแต่ยังไม่ทันจบคำว่า Tokyo Motor Show แล้วววว (ฮา)
ที่สำคัญ งานนี้ Toyota ไม่ได้แค่เชิญสื่อมวลชนไปชมงาน Tokyo Motor Show
เพียงอย่างเดียว แต่จะพาไปเมือง Nagoya บ้านเกิดของ
แบรนด์นี้อีกด้วย เพื่อ
ไปชมศูนย์ฝึกฝ่ายซ่อมและบริการแห่งใหม่ล่าสุดของพวกเขา อีกทั้งยังใจให้
ทดลองขับรถยนต์หลายรุ่น ที่ล้วนแต่ ไม่มีจำหน่ายในเมืองไทย
ผมยังต้องลังเลอะไรอีก?
19 พฤศจิกายน 2556
04.30น.
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น…เช้าขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย….
ครับ Toyota เลือกวันจัดทริปนี้คือวันที่ 19 ถึง 23 พฤศจิกายน เมื่อลองดูตาราง
เวลาของทริปนี้ จัดได้ว่าแน่นเอี๊ยดมากทีเดียวดังนั้นการเดินทางไปญี่ปุ่นนั้น
ก็ต้องเป็นไฟลท์เช้า เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเข้าชมงาน Tokyo
Motor Show ได้มากหน่อย
เดินทางด้วยสนามบินสุวรรณภูมิมาก็หลายครั้ง ไม่ยักรู้ว่าตอนนี้เค้ามีมหกรรม
กลิ่นเท้านานาชาติจัดขึ้นที่สนามบินนี้ด้วย ก็ด่านตรวจพาสปอร์ตแบบใหม่นะสิ
คราคร่ำด้วยคนหลากหลายนานาชาติ และต้องมีการถอดรองเท้าสแกนร่างกาย
กลิ่นมันก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นจากหลายๆทวีป และขอให้ทำบุญกันมามากๆ
นะครับ คุณจะได้โชคดีต่อแถวกับคนที่เขากลิ่นเท้าเบาๆหน่อย ส่วนคนบาป
อย่างผม ก็ต้องผจญกับกลิ่นเท้าคุณพี่ชาวยุโรปด้านหน้าต่อไป แถมอีชอบยก
รองเท้าขึ้นมาระดับไหล่อยู่ได้!! ฮ่วย เหม็นมากโว้ยมิสเตอร์!
เดินทางด้วยเวลา 5.30 ชม. โดยประมาณ เที่ยวบิน TG676 โดยสายการบินไทย
ก็พาเครื่องบิน Airbus A380 ร่อนลงจอด ณ สนามบินนานาชาตินาริตะ ในเวลา
16.05 น. หลังจากจัดการกรุ๊ปและสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อย เราพร้อมออกเดินทาง
เข้าสู่ตัวเมืองโตเกียวด้วยรถโค้ชกันแล้ว วินาทีแรกที่เท้าสัมผัสถนนหน้าอาคาร
ผู้โดยสาร กระแสลมก็พัดโถมเข้ามาสัมผัสร่าง(บางๆ)ของผม
โอ๊ย! หนาว!
แต่กลิ่นอากาศแบบนี้แหละ มาถูกประเทศแล้ว กลิ่นญี่ปุ่นแท้ๆเลย!
จุดมุ่งหมายแรก เราเดินทางไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน Rokkasen
ร้านเนื้อย่างยากินิคุดีกรีระดับแชมป์รายการทีวีแชมเปี้ยน ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน
ชินจุกุ พี่โต้ หนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ช่วยมาเป็นไกด์พิเศษให้กับทริปนี้ เล่า
ให้ฟังว่า ร้านนี้ได้รับความนิยมจากชาวไทย จนสามารถขยายร้านเป็น 2 ชั้น
เลยทีเดียว
ร้าน Rokkasen เป็นร้านเนื้อย่างแบบบุฟเฟ่ต์ ที่ทำให้เขาดังขนาดนี้เป็นเพราะ
เมนูบุฟเฟ่ต์อันหลากหลาย และคัดเลือกแต่วัตถุดิบชั้นเลิศ ทั้งเนื้อวัวมัสซึซากะ
เนื้อวากิว แถมยังมีอาหารทะเลมากมาย ทั้งปูยักษ์ กุ้งตัวโต ปลาปักเป้า มาถึงร้าน
Rokkasen ทางร้านก็จัดโต๊ะให้พร้อม มีเนื้อวัวลายสวยๆ วางเรียงกัน ) เมื่อได้
ลองเนื้อย่าง อาหารทะเล ก็สมกับชื่อเสียงอันเลื่องลือจริงๆ เนื้อวัวมันละลาย
ในปาก ชั้นไขมันที่แทรกตัวอยู่ในชิ้นเนื้อนั้น เพิ่มความนุ่มให้ได้เป็นอย่างดี
แค่ตัวผมเองเนี่ยก็คงล้มวัวไปแล้ว 1 ตัวเป็นอย่างน้อยแน่ๆ (ขอผันตัวไปเป็น
นักชิมยากินิคุถาวรเลยได้มั้ย?? แล้วล้มวัวเป็นตัวๆ ดูสิ คนบาปของจริง)
เสร็จจากมื้ออันอิ่มท้อง เราก็เข้ามาเช็คอินที่โรงแรม Keio Plaza กลางย่านชินจุกุ
อันเป็นโรงแรมยอดฮิตในหมู่คนไทย งานนี้ทุกคนในกลุ่มได้นอนคนละหนึ่งห้อง
กันไปเลย บรรยากาศภายในห้องก็บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดี
ทั้งขนาดห้องอันกะทัดรัด แต่ใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องน้ำสะอาด
มีของสำคัญที่สุดคือ…….โถชักโครกไฟฟ้าพร้อมระบบฉีดน้ำอัตโนมัติ
เมื่อจัดการข้าวของเรียบร้อย เลยถือโอกาสลงไปสำรวจพื้นที่รอบโรงแรมเสียหน่อย
ตอน 3 ทุ่มกว่าๆนี่ล่ะ รอบๆโรงแรมก็มีร้านสะดวกซื้อหลายแห่ง รวมถึงร้านขายของ
อิเล็กทรอนิคส์ Shindobashi เท่าที่ดูตอนนี้ iPad Air และ iPad mini รุ่นใหม่
รวมถึง iPhone ทั้ง 2 รุ่นดูจะได้รับความนิยมพอสมควร เพราะจัดโต๊ะแสดงเด่นอยู่
หน้าร้านเลย น่าเสียดายที่ร้านส่วนใหญ่มีเวลาปิดทำการช่วง 4 ทุ่ม ทำให้ผมไม่ได้
มีโอกาสเดินดูข้าวของในร้านมากสักเท่าไหร่
ขากลับก็เลยถือโอกาสแวะร้าน Lawson หาของกินแบบญี่ปุ่นๆ ให้หนำใจเสียหน่อย
สอดส่ายสายตาปร๊าดเดียวก็ขอหยิบเจ้า 2 สิ่งนี้ออกมาคิดเงินกันเลย หนึ่งคือโยเกิร์ด
เจมส์จิที่หายากนักยากหนาในไทย ที่ญี่ปุ่นวางขายกันเกร่อ ขอสังเวยหน่อยแล้วกันนะ
อย่างที่สองเป็นโยเกิร์ตอะไรสักอย่างของ Yakult คือเห็นแค่คำว่า Yakult ก็หยิบเอามา
แบบไม่คิดมาก
โยเกิร์ต Bulgaria ที่นี่นั้น ถือว่าเนื้อโยเกิร์ตละมุนมากกว่าเวอร์ชันไทยนิดหน่อย แต่
ที่สำคัญคือให้ความรู้สึกหวานไม่มากเท่าเวอร์ชันไทย (รสกลมกล่อม) โดยรวมแล้ว
ถือว่าละมุนลิ้นมากๆครับ สนนราคาอยู่ที่ ประมาณ 30 บาทไทย ส่วนโยเกิร์ต Yakult
ขอสรุปสั้นๆว่า “มึงเป็นนมเปรี้ยวแบบเดิมเถอะ แบบนี้มันทรมานคนกิน” หยึยๆ
ยังไงก็ไม่ทราบ
จบรายการ First Impression โยเกิร์ตสัญชาติญี่ปุ่น ถึงเวลาปิดไฟ ข่มตานอน
20 พฤศจิกายน 2556
เราถูกปลุกกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ผมยังนอนไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะแปลกถิ่น
แถมระบบปรับอากาศเจ้ากรรมดันไม่ทำงาน (มารู้ทีหลังว่าตั้งค่าผิด T T) ส่งผลให้หูดับ
กระสับกระส่าย สุดท้ายก็ต้องตาปรือลากสังขาร อาบน้ำแต่งตัว กินข้าว และกระโดดขึ้น
รถบัสเพื่อไป Tokyo Big Sight สถานที่จัดงาน Tokyo Motor Show ในปีนี้ให้ทัน
Tokyo Motor Show ครั้งนี้ ใช้บริการสถานที่ Tokyo Big Sight เป็นครั้งที่ 2 แล้ว
การจราจรของโตเกียวช่วงเช้าตรู่ วันอังคารแบบนี้ ติดใช้ได้เลยทีเดียว แต่เพราะคนขับรถ
ส่วนใหญ่มีมารยาท รวมถึงการจัดสรรและออกแบบถนนมาเป็นอย่างดี ทำให้กระแสรถ
เคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้ติดหนึบมากมายอย่างที่คิ (แต่พี่โต้เล่าให้ฟังว่า วันหยุดต่อเนื่อง
ในช่วงเดือนเมษาฯนั้นติดสาหัสใช้ได้เลยทีเดียว บางที่จากเดิมใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง
อาจกลายเป็น 4 ชั่วโมง กันเลย)
จะว่าไปแล้ว ขอพูดถึงเรื่องถนนหนทางในเมืองหลวงอย่างโตเกียวกันเสียหน่อย เท่าที่ผม
สังเกตได้ชัด คนขับรถที่นี่มีน้ำใจต่อกันไม่น้อย ผมไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นขับรถแบบประเภท
รีบเหยียบคันเร่งมาปิดไม่ให้เข้าเลน หรือประเภทแทรกเข้าข้างหน้า (อาจมีบ้าง แต่น้อยและ
ตลอด 5 วันนี้ก็ไม่เคยเห็น) ส่วนถนนก็แบ่งเลน แบ่งทางออกชัดเจน หากมีอุบัติเหตุหรือต้อง
ปิดถนน ก็มีการกั้นพื้นที่ชัดเจนเช่นกันเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
สิ่งเหล่านี้แม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่หากคนไทยทำให้ได้สัก 10% ของมารยาทคนญี่ปุ่น
คงทำให้ถนนเมืองไทยลดความตึงเครียดไปได้เยอะ
การเข้าชมงาน Tokyo Motor Show ครั้งนี้ เป็นความท้าทายของกรุ๊ปเรามาก เพราะ
นอกจาก ต้องเข้าชม Presentation ของบูธ Toyota กับ Lexus ที่จัดอย่างอลังการ
ในช่วงเช้าแล้ว เรายังมีเวลาเหลืออีกเพียง 5 ชม. ในการเที่ยวชมงานให้จบ และต้องรีบ
กระโดดขึ้นรถบัส เพือเดินทางไปเมือง Nagoya ด้วยรถไฟชินคันเซ็นกันเลย จุดนี้ทุกคน
ต้องตรงเวลามากๆ เพราะรถชินคันเซ็นตรงต่อเวลามากกว่านาฬิกาเองเสียอีก!
เวลาชมงานอันจำกัดว่าทรมานแล้ว แต่ก็ไม่ทรมานเท่ากับการต้องเดินข้ามฮอลล์เพื่อชมบูธ
ของค่ายรถยนต์ที่นัดเวลา Present กันดีจริงๆ สลับกันไปมา ไอ้เราจะทิ้งแบรนด์ไหนไป
ก็ไม่ได้ เพราะแต่ละยี่ห้อก็จัดรถมาโชว์น่าดูทั้งนั้น (สำหรับบทความ Tokyo Motor Show
สามารถคลิกอ่านได้ ที่นี่)
รถไฟชินคันเซ็น เป็นรถไฟความเร็วสูงแบบเดียวกับที่ไทยเราพยายามจะให้เกิดขึ้นกันอยู่
แต่ทราบมาว่าคนญี่ปุ่นนั้นผิดหวังและเสียใจไม่น้อย เนื่องจากแผนการทำรถไฟความเร็วสูง
ของไทยในตอนนี้ ไม่ได้เลือกใช้ระบบรถไฟของญี่ปุ่น แต่กลับเลือกรถไฟของจีนแทน
(ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะราคาที่ต่ำกว่า) ญี่ปุ่นนั้นคาดหวังอย่างมากว่าเมื่อประเทศไทยซึ่งเป็น
มิตรที่ดีกับประเทศญี่ปุ่นตลอดมา ได้ตัดสินใจสร้างรถไฟความเร็วสูงแล้ว น่าจะหันมาปรึกษา
และใช้ระบบของญี่ปุ่นเป็นเจ้าแรก มากกว่าการใช้รถไฟของประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าถึงแม้ญี่ปุ่นจะยังไม่นำเอารถไฟระบบสนามแม่เหล็กหรือที่รู้จักกัน
ในชื่อ MagLev มาใช้ในตอนนี้ (แต่จะนำมาเปิด บริการในปี 2018 เพื่อรองรับการจัดงานกีฬา
โอลิมปิกที่กรุงโตเกียวเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพสำหรับปี 2020) แต่รถไฟชินคันเซ็นซึ่ง
เป็นระบบรางแบบธรรมดา ก็สามารถแล่นได้ความเร็วสูงกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง อันเป็น
เพดานความเร็วเดียวกันกับรถไฟ MagLev ในนครเซียงไฮ้ และมีความนุ่ม เงียบ มากจริงๆ
พิสูจน์ได้จากการนอนหลับแบบไม่รู้ตัวของคนเกือบทั้งคณะระหว่างเดินทางไปเมือง Nagoya
เพียงเวลาแค่ 2 ชม.กว่าๆ รถไฟชินคันเซ็นสาย Nozomi 243 ก็พามาถึงเมือง Nagoya
ถ้าพูดถึงเมืองเมืองนี้แล้ว หนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของเขาเลย ก็คือหมูทอดสูตรซอสมิโซะ ร้านดัง
ของที่นี่ก็ต้องเป็นร้าน Yabuton ซึ่งต้องขยายให้อ่านกันเลยว่า ร้านนี้มีเมนูอาหารจำพวกชุบ
แป้งขนมปังป่นที่อร่อยทุกอย่างจริงๆโดยเฉพาะหมูทอดซอสมิโซะกระทะร้อน ซอสมิโซะนั้น
มีความหวาน เค็ม พอดีๆ เข้ากับเนื้อหมูสันนอกที่แทรกมันหมู อร่อย สมคำร่ำลือจริงๆ พี่ J!MMY
กับ กล้วย BnN ก็เคยมาทานร้านนี้แล้ว เมื่อครั้งเยือน เมือง Nagoya ช่วงปี 2009
หลังจากพังร้านเขาจนพุงกางกันถ้วนหน้าแล้ว ถึงเวลาเช็คอิน โรงแรม Marriott Nagoya
Associa คราวนี้สบายเลยครับ เพราะตัวโรงแรมตั้งอยู่บนสถานีรถไฟ Nagoya กันเลยทีเดียว
แถมห้องพักแม้ขนาดห้องอาจจะเล็กกว่า Keio Plaza แต่ก็มีความอบอุ่นกว่ากันมากเช่นกัน
ทั้งการตกแต่งห้อง แนวโมเดิร์น แถมมีเครื่องกรองอากาศและควบคุมความชื้นมาให้อีก เป็น
รายละเอียดของโรงแรมที่ผมชอบใจมากๆ คืนนี้หลับได้สบายไร้ตัวช่วยเลยยย
21 พฤศจิกายน 2556
แม้ต้องตื่นเช้า แต่วันนี้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เพราะทราบมาว่าทาง Toyota จะจัดให้
เยี่ยมชม Toyota Kaikan Museum ฟังการบรรยายด้านงานออกแบบของพวกเขา ที่ผมสนใจ
มากเป็นพิเศษครับ
เพียง 1 ชม.กว่าๆ รถโค้ชของคณะเราก็เดินทางมาถึง Toyota Kaikan Museum หรือพิพิธภัณฑ์ด้าน
งานออกแบบของ Toyota โดยมีการจัดแสดงที่มาที่ไปของงานออกแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอน
งานออกแบบของตัวรถ วิวัฒนาการด้านงานออกแบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นวัตกรรมเทคโนโลยี
ต่างๆไปจนถึงการจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่น่าสนใจของ Toyota แบบครบครันเลยทีเดียว
เมื่อเข้ามาภายในอาคาร ผมก็มาจ๊ะเอ๋กับ Toyota Crown Athlete โฉมล่าสุด สีชมพูสดที่คุ้นกันดีใน
แคมเปญโฆษณา Toyota REBORN ที่นำเอาเรื่องราวจากการ์ตูนโดราเอมอนมาร่วมถ่ายทอดและใช้
Crown สีชมพูสดนี้ในภาพยนตร์โฆษณาช่วงเปิดตัวของรถ
สาเหตุที่ต้องใช้สีชมพูสดกับ Toyota Crown จนดูคล้าย ‘Toyota Crown Hello Kitty Version‘
เนื่องมาจากความพยายามที่จะ ‘REBORN‘ รถยนต์รุ่นนี้อีกครั้ง เพื่อให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้น แถมยังอยาก
เข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้หญิงมากขึ้นอีก แต่ส่วนตัวผมเหรอ แค่เห็นกระจังหน้ารถยนต์รุ่นนี้ก็ตื่นเต้นจะแย่แล้วละ
ไม่ต้องถึงกับพ่นสีชมพูให้เปลืองสีกันเปล่าๆ ตอนแรก Crown สีชมพู ถูกผลิต เพื่อใช้ในการโปรโมท
เท่านั้น แต่ในงาน Tokyo Motor Show ทาง Toyota ประกาศผลิตขายแล้ว ด้วยค่าตัวสูงถึง
6,000,000 เยน แพงกว่ารุ่นพื้นฐาน 4,500,000 เยนไปไกลมาก!
การเข้าฟังบรรยายในวันนี้ จะครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับงานออกแบบของ Toyota ล้วนๆ แถมยังมีโอกาส
ได้ถาม-ตอบกันอีกต่างหาก ซึ่งผู้ที่จะมา
บรรยายในครั้งนี้ ได้แก่ Mr.Tokio Fukuichi , Chief Officer
ฝ่ายงานออกแบบ จะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาที่ไปของหน้าตารถยนต์ Toyota ให้ฟัง
Mr. Fukuichi เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า ช่วงยุคปี 2000 รถยนต์ Toyota มีรูปลักษณ์ โดยเฉพาะ
ด้านหน้า ที่คล้ายคลึงกันไปหมด ไม่ว่า
จะเป็นรถยนต์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ จนทำให้เกิดความน่าเบื่อได้
จึงเป็นที่มาของ ‘KEEN LOOK‘ หรือการออกแบบรูปลักษณ์ด้านหน้า ให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น มีบุคลิก
และเอกลักษณ์มากขึ้น ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกตื่นตา และไม่อาจละสายตาได้ง่ายๆ ช่วยให้ผู้คน จดจำรถยนต์
ของ Toyota ได้ง่ายขึ้น และดีขึ้น
ปัจจุบัน ถือว่า Toyota กำลังเข้า Phase 2 ของงานออกแบบด้านหน้าแบบ ‘KEEN LOOK‘ อยู่
เห็นได้ชัดจาก Toyota Auris โฉมใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปในปีที่แล้ว จะมีด้านหน้าเฉียบคมกว่า
Toyota รุ่นเดิมๆ โดยใน Phase 2 นี้จะเน้นความมีมิติที่มากขึ้น กระจังหน้าที่มีความนูนบริเวณ
โลโก้ และถ่ายทอด เป็นความโค้งเว้า บริเวณปลายกระจังหน้า ต่อเนื่องไปยังโคมไฟหน้าที่เน้น
เส้นสายที่แหลมคม ดูปราดเปรียวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรถยนต์ที่เปิดตัวตามๆกันออกมาจะมีหน้าตา
ลักษณะนี้กันหมด (รวมถึง Vios, Yaris เวอร์ชันจีน/ไทย และ Corolla ALTIS โฉมใหม่ที่จะ
เปิดตัวในบ้านเรา ต้นปีหน้า)
ส่วนรูปลักษณ์โดยรวมของตัวรถ ขณะนี้ Toyota กำลังพยายามปรับทิศทางงานออกแบบที่ใส่อารมณ์
ของตัวรถเข้าไปมากขึ้น ด้วยเส้นสายที่ลดความเรียบง่าย และสื่อถึงอารมณ์มากกว่าเดิม จนเรียกได้ว่า
เมื่อมองไปยังรถยนต์โตโยต้ายุคใหม่ จะสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของตัวรถได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์
รุ่นใหม่ๆที่จะ
ปรับมาใช้แพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) กันมากขึ้น
สอดคล้องกับปรัชญา ‘Vibrant Clarity’ ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ส่วนแบรนด์ Lexus นั้น Toyota ตั้งใจใส่ความลื่นไหลเพื่อผสานงานดีไซน์และฟังก์ชันเข้าไปด้วยกัน
อย่างที่เห็นกันดีจากกระจังหน้าทรง Spindle Grille ที่มีลักษณะคล้ายทรงนาฬิกาทราย อันกลายเป็น
เอกลักษณ์งานออกแบบของ Lexus ไปเสียแล้ว
จุดเด่นของงานออกแบบกระจังหน้า Spindle Grille อยู่ที่การใช้รูปทรงหัวธนูมาดัดแปลงเป็นเส้นสาย
กราฟฟิคแบบ 3 มิติ บริเวณมุมของกระจังหน้า รวมทั้งเส้นตะแกรงกระจังหน้าที่มีมิติ สร้างความรู้สึก
ว่ากระแสลมไหลผ่านเข้ากระจังหน้าได้อย่างราบรื่น ส่วนงานออกแบบทั้งคันรถจะถูกใช้เส้นสาย
ตามปรัชญา ‘L Finesse’ ที่ประกอบด้วยแนวคิดหลัก 3 แนวคิดหลัก คือ ความเรียบง่ายแบบมีชั้นเชิง
(Incisive Simplicity) / ความเรียบลื่นไร้รอยต่อของเส้นสาย
(Seamless Anticipation) /การคำนึง
ถึงความประณีต สวยงาม (Intriguing Elegance) ซึ่งรถยนต์ครอสโอเวอร์ต้นแบบรุ่นล่าสุด Lexus
LF-NX ก็สื่อถึงแนวคิดข้างต้นทั้งหมด ออกมาได้เป็นอย่างดี (ความหมายของชื่อ LF-NX คือ
L Finesse-New Crossover)
ทิศทางรถยนต์ในอนาคต Toyota เขามองว่าจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วน
(EV) กลุ่มนี้จะเป็นยานพาหนะขนาดเล็ก เช่น เก้าอี้รถเข็น รถจักรยานไฟฟ้า ไปจนถึงยานพาหนะ
ส่วนตัว เป็นลูกผสมระหว่างรถยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งโตโยต้าได้พัฒนามาตั้งแต่ปี 2003 จนล่าสุด
ในปี 2013 ก็ได้เปิดตัวเวอร์ชันล่าสุด ในชื่อ Toyota i-ROAD Concept
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่พลังงานเชื้อเพลิง แก๊ส ทั่วๆไป ไปจนถึงพลังงานลูกผสม และรถยนต์แบบเสียบ
ปลั๊กไฟบ้านได้ หรือ Plug-in Hybrid ได้แก่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วๆไป
และกลุ่มที่ 3 คือบรรดารถบัสและรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งในอนาคตจะหันไปใช้พลังงาน Fuel Cell
แทน ทั้งหมดนี้ Toyota คิดว่าเป็นการแบ่งกลุ่มรถยนต์ในอนาคตตามประเภทพลังงานที่ลงตัวมากที่สุด
เสร็จสิ้นจากการบรรยายของ Fukuishi-san แล้ว ผมเลยถือโอกาสเดินชมพิพิธภัณฑ์นี้คร่าวๆ ส่วนที่
เตะตาที่สุดคงจะเป็นพื้นที่ฝั่งขวาของพิพิธภัณฑ์ ที่มีการขนเอารถยนต์ Toyota และ Lexus รุ่นใหม่ๆ
มาโชว์ตัวกันละลานตาเยี่ยงจัดโชว์รูม… นัยว่าอยากให้ช่วยซึมซับความตั้งใจการออกแบบและรู้จัก
รถยนต์ฝีมือพวกฉันให้ดีขึ้น
มีทั้งรุ่น Aqua (Prius C ในบ้านเรา), 86, Porte, Land Cruiser Prado, Estima Hybrid
ฯลฯ รวมถึงรถยนต์แต่งพิเศษอย่าง Mark X G’s Sport,Auris รุ่นตกแต่งคล้ายหุ่นยนต์ ฝั่ง Lexus
ก็นำ IS โฉมใหม่ มาจัดแสดงพร้อมกับ RX และ LS รุ่นปรับโฉม
จากการผุดลุกผุดนั่ง รถยนต์ที่ต้องตาผมมากที่สุดก็คือ Toyota SAI รุ่นปรับโฉม ที่มีรูปลักษณ์
ด้านหน้าอันโฉบเฉี่ยวล้ำอนาคต จนเหมือนลุดออกมาจาก
ภาพยนตร์ Star Wars หรือ TRON
Legacy เมื่อได้ลองสัมผัสคันจริงแล้วพบว่า Toyota พิถีพิถันกับ SAI มากเลยทีเดียว ก็แหงล่ะ
เป็นพี่น้องฝาแฝดกับ Lexus HS250h นี่นา ดังนั้นเส้นสายภายนอกจึงสะอาดสะอ้าน เรียบหรู
ลงตัว แบบที่ Toyota ไม่ค่อยจะมีบ่อยๆ แถมภายในยังเลือกใช้วัสดุชั้นดี คอนโซลบุนิ่ม เกรด
เนื้อพลาสติกก็ดูดีผิดปกติ เท่าๆกับที่ใช้ใน Crown เลย แถมผสมผสานความเป็น Modern
Japanese เข้ามาได้เป็นอย่างดี
อีกคันหนึ่งที่ผมชอบใจมากในด้านการออกแบบ คือ Toyota Porté แม้ตัวรถจะถูกออกแบบให้
เป็นรถยนต์คันเล็กราคาไม่สูงนัก แต่ผมกลับชื่นชอบงานออกแบบที่เน้นอรรถประโยชน์สำหรับ
สาวๆเสียเหลือเกิน Toyota ทำการบ้านมาดีมากเพื่อตีตลาดสาวๆให้แตกกระจุย เริ่มตั้งแต่การ
ออกแบบให้ประตูฝั่งหนึ่งเป็นแบบบานเลื่อน สะดวกต่อการขนของ การเข้า-ออกของผู้โดยสาร
แถมดูงานออกแบบภายในสิครับ ช่างดูเป็นมิตรกับสาวๆเสียเหลือเกิน
อีกทั้งรายละเอียดต่างๆ
ล้วนแต่เป็นรายละเอียดคิกขุๆ ที่สาวๆชอบ เช่น ที่หนีบภาพถ่ายหลังพวงมาลัย ที่ใส่กล่องทิชชู
ฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า หรือแม้กระทั่ง
ออกแบบชุดควบคุมระบบปรับอากาศให้มีปุ่ม Nano-e
เด่นกว่าชาวบ้านสืบเนื่องมาจากผู้หญิงจะชอบฟังก์ชัน Nano-e มาก เพราะจะช่วยให้คุณเธอ
มีผิวที่เนียนนุ่มขึ้นด้วยนั่นเอง
เสร็จจากการเดินชม เราก็พร้อมเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ได้แก่ Tajimi Training Center
ศูนย์อบรมการบริการหลังการขายแห่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ ห่างจากพิพิธภัณฑ์
Kaikan ราว 1 ชั่วโมง
Tajimi Training Center หรือศูนย์อบรมทาจิมิ ถูกสร้างขึ้นตามความมุ่งมั่นดั้งเดิมของ Toyota
ที่มีมาตั้งแต่ผลิตรถยนต์จำหน่าย นั่นก็คือต้องมีงานบริการหลังการขาย ดูแลรักษาลูกค้ารถยนต์
เป็นเยี่ยม มีเรื่องเล่าประวัติความเป็นมาย้อนไปไกลถึงสมัยที่ Toyota ผลิตรถยนต์กระบะ G1
ออกมาจำหน่าย (ก่อนจะผลิตรถนั่ง Model AA รุ่นแรกออกมาขายเสียอีก)
ด้วยจุดเด่นที่ราคาถูกกว่ารถกระบะอเมริกัน ทำให้ได้รับความนิยมมากในช่วงแรก แต่แล้วเมื่อ
มีการใช้งานไประยะหนึ่ง ผู้ใช้ Toyota G1 ก็เริ่มพบกับปัญหาต่างๆของตัวรถทำให้ลูกค้าเริ่ม
ไม่พอใจ เพราะต้องเสียเวลาซ่อมแซมตัวรถ
จนทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหายต่างๆตามมา
Kiichiro Toyoda ผู้ก่อตั้งรถยนต์ Toyota จึงมีปณิธานมั่นชัดเจนว่า ต่อไปนี้รถยนต์ Toyota
จะต้องมีการวิเคราะห์ ซ่อมแซม ที่รวดเร็ว แม่นยำ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของลูกค้า
ศูนย์อบรม Tajimi จึงเป็นผลผลิตล่าสุดที่ Toyota หวังว่าจะช่วยพัฒนางานดูแลซ่อมแซม
รถยนต์ของตนให้ดีขึ้นได้อีก ศูนย์อบรมนี้จะใช้ในการอบรมฝ่ายช่างและงานบริการหลัง
การขาย พวกเขาเลือกที่จะสร้างขึ้นในเมือง Tajimi เพื่อทดแทนศูนย์อบรมเดิมที่อยู่ใน
เมือง Nischin
บนพื้นที่กว่า 187,000 ตารางเมตร ที่มีภูมิทัศน์เป็นลักษณะหุบเขา Toyota ได้เนรมิตอาคาร
สูง 4 ชั้น พร้อมสนามประเมินผลยาว 1.3 กิโลเมตร เพื่อเป็นเครื่องมือ พัฒนาฝีมือช่างในการ
วิเคราะห์อาการรถยนต์ รวมถึงวิธีการซ่อมบำรุงรถยนต์ Toyota ได้ถูกต้องและสมบูรณ์มากที่สุด
ศูนย์อบรมนี้จะเป็นเหมือนอาจารย์ของช่างซ่อมรถยนต์ Toyota ทั่วโลก ทุกภูมิภาค กว่า 135
ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป หรือแม้แต่ประเทศไทยเรา ก็จะส่งบุคลากร
มาอบรมเพื่อถ่ายทอดวิชาให้แก่ช่าง Toyota ในโชว์รูมผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทยต่อไป
ชั้น 1 และชั้น 2 ของอาคารนั้น ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่การอบรมเป็นหลัก โดยจะแบ่งเป็น
ห้องเรียน และลานภายในอาคาร ใช้เป็นที่จอดรถยนต์ Toyota หรือ Lexus สำหรับทดลอง
ปฏิบัติงานจริง ที่น่าสนใจคือในส่วนลานภายในอาคารถูกออกแบบให้คำนึงถึงการฝึกอบรม
เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นการพยายามลดเสารับแรงของอาคารบริเวณช่องจอดรถ หรือการ
ออกแบบท่อต่อไอเสียของรถลงท่อใต้พื้นของลาน เพื่อบำบัดต่อไปและไม่ให้ไอเสียอบอวล
อยู่ภายในอาคาร
ส่วนชั้น 3 และชั้น 4 เป็นส่วนพื้นที่ออฟฟิศ ห้อง Audituriam สำหรับการบรรยาย ร้านขาย
ของชำ และโรงอาหารเต็มรูปแบบขนาดใหญ่ เนื่องจากในปัจจุบันแม้จะมีพนักงานประจำ
อยู่ที่ศูนย์อบรม Tajimi เพียง 70 คน แต่ในอนาคตจะเพิ่มจำนวนเป็นหลักหลายพันคน
ไฮไลท์ของศูนย์ฝีกนี้อยู่ที่สนามประเมินผลของรถ ความยาว 1.3 กิโลเมตร เพราะสนาม
แห่งนี้ไม่ใช่สนามสำหรับทดสอบรถยนต์แบบทั่วๆไป แต่มีการออกแบบให้ประกอบไป
ด้วยถนนที่แตกต่างกันถึง 13 รูปแบบ จำลองจากสภาพถนนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นถนน
ก้อนหินแบบยุโรป ถนนคลื่นลอน ถนนที่ถูกปะแบบแย่ๆ (เหมือนที่เห็นบ่อยในกทม.)
ไปจนถึงถนนหินกรวดและสภาพถนนลื่น
รูปแบบถนนที่แตกต่างกันนี้ จะช่วยให้บรรดาช่างฝึกหัดของ Toyota ได้สัมผัสถึงอาการ
ของตัวรถในสภาพถนนต่างๆได้อย่างแท้จริง ที่สำคัญที่สุด มันช่วย
ให้สามารถสัมผัส
ถึงอาการจากการขับขี่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับลูกค้า ช่วยทำให้จับอาการปกติและ
ผิดปกติของตัวรถได้แม่นยำขึ้น ส่งผลให้สามารถ
วิเคราะห์อาการเสียของตัวรถได้อย่าง
สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังช่วยวินิจฉัยเพื่อประเมินการซ่อมแซมได้ตรงจุดมากกว่าเดิม
ผมล่ะอยากจะบอกกับบรรดาวิศวกรของศูนย์อบรมทาจิมิจังเลย ว่าไม่ต้องเหนื่อยสร้าง
ศูนย์อบรมแห่งใหม่นี้หรอก แค่บินไปเมืองไทย จะพาไปขับผ่านถนนสุขุมวิททั้งเส้น
ตั้งแต่พญาไทถึงบางนา-ตราดเลย รับรอง ซึมซาบรสชาติถนนทุกรูปแบบแน่! (เผลอๆ
ช่วงล่างของรถจะหลวมเอาระหว่างทางไปอีก)
อย่างไรก็ตาม ศูนย์อบรมทาจิมิอันใหม่เอี่ยมกลิ่นสียังไม่จางนี้ เป็นสัญญาณที่ดีว่า
Toyota เอาจริงเอาจังเรื่องงานบริการหลังการขายอย่างมาก เพื่อลูกค้า Toyota
ทั่วโลก จะสบายใจได้ว่า รถยนต์โตโยต้าทุกคันจะถูกดูแลและซ่อมบำรุงเป็นมาตรฐาน
ระดับสูง เช่นเดียวกัน ทั่วโลก
แม้จะใช้เวลาอยู่ที่ศูนย์อบรมทาจิมินี้เพียง 3 ชั่วโมง แต่ก็ทำให้เห็นภาพได้ว่าปณิธาน
ดั้งเดิมของ Kiichiro Toyoda เมื่อราว 70 ปีที่แล้ว ยังคงถูกสืบทอดสู่คน Toyota
รุ่นหลังๆ อย่างครบถ้วน แถมยังถูกต่อยอดให้ไกลกว่าเดิมอีกต่างหาก
เวลา 16.00 น. คณะคนไทยขึ้นรถโค้ชเพื่อกลับเข้าเมือง Nagoya ทุกคนในรถ
เหมือนโดนยานอนหลับกันอีกแล้ว เพราะบั้นท้ายแตะเบาะรถโค้ช ก็สลบกันหมดทั้งคัน
เย็นนี้ทีม Toyota จะพาพวกเราไปรับประทานมื้อค่ำด้วยอาหารชุดจักรพรรดิ์!
สารภาพว่าแม้ทั้งเซ็ตจะมีอาหารอร่อยหลายอย่าง แต่ที่ติดใจมากที่สุดสำหรับผม คือชุด
ชาบูเนื้อมัตสึสะกะ เพียงแค่แกว่งเนื้อในถ้วยต้ม 3-4 สวิง เนื้อก็พร้อมจุ่มลงในน้ำจิ้มถั่ว
และละลายในปากแล้วเรียบร้อย แต่น่าเสียดายเพราะความเป็นจักรพรรดิ์เลยทำให้มีเนื้อ
อยู่เพียง 4 ชิ้น/คนเท่านั้น (เค้าให้กินแบบพอหอมปากหอมคอ สงวนสกุลแบบขุนนาง
ชั้นสูง แต่เราไม่แคร์ เพราะเป็นคนอยู่ชั้นล่างๆเลยขอเบิ้ลไปอีก 2 จานเบาๆ ฮิฮิ)
22 พฤศจิกายน 2556
07.08น.
ผมลืมตาตื่นขึ้น ด้วยความสลึมสะลือ งัวเงีย…
แต่พอเหลือบไปเห็นนาฬิกาเท่านั้นแหละ ตาก็โตเป็นไข่เป็ดเลยทันที
คุณพระ! บาบิก้อนช่วยด้วย รถโค้ชออก 07.15น.!!!! มันไม่ OK !!!!!!!!!!!!!!!!!!!
07.15น.
ผมซิ่งกระเป๋าเดินทางลงมาล็อบบี้ ทุกคนยังยืนคุยเล่นเฮฮาอยู่ที่ล็อบบี้ แสดงว่ายังไม่ถึง
เวลาขึ้นรถผมทักทายและยิ้มให้กับพี่ๆส่วนหนึ่ง พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่า ผม..ได้แต่…
แปรงฟัน…!
เหอๆๆๆ
ก็ถ้าพลาดกิจกรรมวันนี้ไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตนเอง เพราะวันนี้ Toyota เขาใจดีจัด
โปรแกรมให้ทดลองขับรถยนต์หลายรุ่นที่ไม่ได้ทำตลาดในไทย ณ สนามแข่งรถริมทะเล
Spa Nishiura Circuit แฟนๆ รีวิวรถของ พี่จิมมี่ ก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อของสนามแห่งนี้กัน
บ้างแล้ว เพราะพี่เขาเองก็เคยโผบินมายังสนามแห่งนี้เพื่อทดลองขับ Toyota Prius สั้นๆ
มาแล้วเมื่อปี 2010 ดังนั้น ขอสรุปสภาพสนามแห่งนี้ แบบพอสังเขปนะครับ
Spa Nishiura Circuit ถูกสร้างขึ้นข้างๆกับอ่าว Mikawa จังหวะไอจิ (Aichi) ครั้นเมื่อเท้าผม
แตะลงสนามแห่งนี้ ผมกลับไม่ได้หันไปมองพื้นที่สนาม แต่กลับต้องหันไปมองฝั่งตรงข้าม
อันเป็นภาพอ่าว Mikawa เจือแสงอาทิตย์แรงๆยามสาย เป็นภาพธรรมชาติที่สวยงามมากๆ
หันกลับมาฝั่งสนาม ผมกลับรู้สึกประหลาดใจมากกว่าที่คิดไว้ เพราะจากเดิมที่เห็นภาพสนาม
แห่งนี้ คิดว่าสนามแห่งนี้คงเป็นสนามที่ออกแบบมาอย่างธรรมดาๆ แต่เมื่อมาเห็นของจริง
ก็รู้สึกว่าเป็นสนามที่ท้าทายสมรรถนะของรถไม่น้อย เพราะมีโค้งมากถึง 11 โค้ง แถมมี
ความยาวรวมกว่า 1.6 กิโลเมตร
วันนี้ Toyota เตรียมรถยนต์ถึง 4 รุ่นมาให้ทดสอบกัน ซึ่ง 3 ใน 4 รุ่นนั้น เป็นรถยนต์ที่
ไม่มีขายในประเทศไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ซึบซับสัมผัสจากรถยนต์ญี่ปุ่นแท้ๆ
ไม่ว่าจะเป็น Toyota Aqua G Sport เวอร์ชันแต่งสปอร์ตโดยสำนักแต่ง GAZOO Racing
ที่เพิ่งเปิดตัวมาหมาดๆ, Toyota SAI รถยนต์ไฮบริด เนี้ยบ หรูสไตล์ญี่ปุ่น และ Toyota
Crown Athlete/Royal Saloon พี่ใหญ่ของค่ายที่มาพร้อมกับกระจังหน้าทรงแหวกแนว
และ Toyota 86 รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ที่หลายๆคนคุ้นเคยกันดี
แม้จะดูเหมือนได้ขับรถยนต์แบบพิเศษถึง 4 รุ่นด้วยกัน แต่ก็น่าเสียดายมากๆที่จะได้
ขับกันเพียงรุ่นละ 2 รอบสนามเท่านั้น เพราะด้วยข้อจำกัดด้านเวลา อีกทั้งยังต้องแบ่ง
ให้กลุ่มสื่อมวลชนประเทศอื่นๆได้ขับอีกด้วย ดังนั้นการทดลองขับรถครั้งนี้จึงเป็น
เหมือนทัวร์ชะเง้อ ได้จับสัมผัสรถเพียงสั้นๆ เบาๆ พอสังเขป
ตัวเลขเวลาอัตราเร่ง? ผมไม่ได้จับเวลามานะครับ เนื่องด้วยการขับขี่ที่ต้องตามกันเป็น
ขบวนและได้ขับเพียงคันละ 2 รอบสนาม ทำให้ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ Instructor
ระบุไว้อย่างเคร่งครัด
รถยนต์ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คัน กลุ่มแรก เป็น Toyota 86 เกียร์อัตโนมัติ
2 คัน, Toyota Crown Athlete และ Toyota Crown Royal Saloon ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็น
Toyota Aqua G Sport 2 คัน และ Toyota SAI 2 คัน ผมได้บัตรคิวเบอร์ 23 ก็ต้องยืน
หลบลม(หนาวๆแรงๆ) รอคิวกันไปก่อน
Toyota 86 (เกียร์อัตโนมัติ) : FUN TO DRIVE. AGAIN.
ส่วนตัวผม เคยขับ Toyota 86 มาแล้ว แถมยังใช้ถ่ายรายการใน The Coup Channel
อีกต่างหาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเวอร์ชันเกียร์ธรรมดา ที่ทำเอาผมติดใจในความสนุก ทั้ง
Gear Shift ที่กระชับ และบุคลิกตัวรถที่กระฉับกระเฉง แม้เป็นขุมพลังแบบไร้ระบบ
อัดอากาศก็ตาม สำหรับเวอร์ชันเกียร์อัตโนมัติ ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังแต่อย่างใด
แม้อัตราเร่งอาจไม่หลังติดเบาะเหมือนพวกคบหอย แต่เครื่องยนต์เบนซินรหัส
4U-GSE/FA20 แบบ 4 สูบนอน ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมระบบฉีดเชื้อเพลิงตรง D4-S
200 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที
ก็สามารถพาตัวรถดีดตัวออกไปได้เร็วเลยทีเดียว ต้องยกความดีความชอบให้กับเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะที่ดัดแปลงจากลูกที่ใช้ใน Lexus IS-F ซึ่งทำหน้าที่ของมันได้ดี
กว่าที่ผมคาดไว้ เพราะเกียร์มีความฉลาด ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ในหลายๆ
สถานการณ์เลยทีเดียว แถมยังเปลี่ยนเกียร์ได้ฉับไวมากอีกต่างหาก
การใช้เกียร์อัตโนมัติ ไม่ได้ทำให้บุคลิกของตัวรถเสียออกไปเลย ยังคงรักษาความสนุก
ดิบ ในการขับขี่ พร้อมการเข้าโค้งแบบเฉียบคม กริ๊บ! เอาไว้ได้อย่างดี การขับทั้ง 2 รอบ
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความรู้สึกสนุก ความตื่นเต้น จนผมสรุปให้เลยว่า นี่แหละ
รถยนต์ที่นิยามคำว่า ‘FUN TO DRIVE’ ของ Toyota ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
Toyota Crown Royal Hybrid : นุ่มไปนิด แต่เนี้ยบและแรงแบบสุขุม
เป็นรถยนต์ที่ดูหลุดคาแรคเตอร์ในกลุ่มที่ทดสอบมากที่สุด เพราะ Toyota 86 และ Crown
Athlete ต่างก็เป็นรถยนต์ที่เซ็ตเน้นสปอร์ตมาอยู่แล้ว แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้ลอง
สัมผัสกับรถยนต์ที่เป็นพี่คนโตของครอบครัว Toyota ซึ่งเปิดตัวอย่างฮือฮาไปเมื่อเดือน
ธันวาคมปีที่แล้ว พร้อมๆกับแคมเปญ ReBORN ใช้สีชมพูดอกซากูระในการเปิดตัว
หลายๆคนน่าจะจำภาพนั้นได้ดี
Toyota Crown รุ่นนี้ เป็นโฉมที่ 14 แล้ว และกลับมาเน้นภาพลักษณ์เน้นความหรูหราอีกครั้ง
หลังจากในรุ่นที่แล้วเน้นความสปอร์ตมากเป็นพิเศษ รุ่น Royal นี้ เป็นรุ่นย่อยของ Crown
ที่เน้นความสบายในการโดยสาร และตกแต่งให้ดูพรีเมี่ยม หรูหรา ในขณะที่รุ่น Athlete
จะเซ็ตรถเน้นความสปอร์ต ดังนั้นจะมีการเปลี่ยนกระจังหน้าให้ดูโฉบเฉี่ยว แปลกตา
คล้ายรูปทรงสายฟ้าฟาด และเปลี่ยนล้ออัลลอยให้มีขนาดใหญ่ พ่นสีรมดำ เซ็ตระบบ
กันสะเทือน เน้นความเกาะถนนมากกว่าความนุ่มสบาย ส่วนอีกรุ่นหนึ่งเป็นรุ่น Majesta
รุ่นขยายตัวถังให้กว้างและยาวกว่าปกติ ซึ่งจะถูกโปรโมตเป็นรุ่นสูงสุดของ Crown
รูปลักษณ์ด้านหน้าของ Crown Royal ถูกออกแบบใหม่ เน้นกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู
ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับช่องดักอากาศด้านล่าง แต่เมื่อดูแล้วมีความคล้ายคลึงกระจังหน้าของ
รถยนต์ Audi อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นการออกแบบที่ให้ความรู้สึกหรูหรา
Premium มากกว่ารุ่นก่อน ในขณะที่เส้นสายด้านข้างเน้นสันคมมากขึ้น เพิ่มส่วนผสมความ
หรูหราเข้ากับความสปอร์ตมากกว่าเดิม อันที่จริงแล้ว Crown Royal จะมีขุมพลังเบนซิน V6
DOHC 24 วาล์ว 2.5 ลิตร และขุมพลัง Hybrid ให้เลือกใช้
แต่คันที่อยู่ในขบวนทดสอบวันนี้ จะเป็นเวอร์ที่ใช้ขุมพลัง Hybrid Synergy Drive บล็อกใหม่
บล็อกเดียวกันกับที่ใช้ใน Lexus IS300h และ GS300h เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2AR-FSE
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.5 ลิตร ที่ถูกใส่ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงตรง D4-S ให้กำลังสูงสุด
175 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ผนวก
เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 143 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร จนมี
กำลังรวมมากถึง 220 แรงม้า (PS) เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
สัมผัสแรกเมื่อต้องเร่งออกไปและทำความเร็วเพื่อทำระยะห่างจากรถคันหน้า บอกได้เลยว่า
อัตราเร่งทำเอาหลังติดเบาะได้เบาๆ แต่ที่แน่ๆความรู้สึก
ที่ปลายเท้าขวารู้สึกได้เลยว่าพละ
กำลังเหลือเฟือมากในการฉุดน้ำหนักตัวรถที่หนักเกือบ 2 ตันเลยทีเดียว
แต่ที่จับความรู้สึกได้ชัดเจนกว่าพละกำลัง เป็นระบบช่วงล่างหน้าแบบปีกนกคู่ Double Wishbone
และระบบช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ที่เซ็ตมาเน้นนุ่ม เน้นความ
นิ่มนวลเป็นหลัก จึงทำให้การเข้าโค้งในย่านความเร็วสูงนั้นอาจจะไม่มั่นใจเท่าที่ควร ซึ่งไม่ใช่
เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะรุ่น Royal ถูกเซ็ตมาในแนวผู้ใหญ่นั่งเบาะหลัง อันเป็นกลุ่ม
ลูกค้าหลักของรุ่นนี้ ทำให้การสาดเข้าโค้งต่อเนื่องกันในสนาม Spa Nishiura Circuit ด้วย
ความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมต้องชะลอความเร็วด้วยการแตะเบรกช่วยเล็กน้อย
ซึ่งหากต้องการการเข้าโค้งที่มั่นใจในย่านความเร็วสูง คงต้องหันไปหา Crown Athlete ที่เซ็ตรถ
ในแนวสปอร์ตมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างการขับขี่ทั้ง 2 รอบ ชัดเจนว่า Toyota Crown
เก็บเสียงภายในห้องโดยสารได้ดีมาก เป็นความน่าประทับใจที่เกือบเทียบเคียงได้กับรถยนต์
Lexus เลยทีเดียว
Toyota AQUA G Sport : Prius ตัวถังเล็ก ติดสปอร์ต!
เป็นรถยนต์ที่ผมตั้งตารอคอยที่จะได้ทดลองขับมากที่สุด (เชื่อกันไหม?) เป็นเพราะผมอยากทราบ
ว่าเมื่อ Toyota กระโดดลงมาเล่นตลาด Sub-Compact Hybrid ที่มีคู่แข่งโดยตรงคือ Honda FIT/Jazz
Hybrid แล้ว จะทำผลงานได้น่าติดใจขนาดไหน
AQUA ถูกเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ผมถูกชะตากับงานออกแบบของตัวรถอยู่แล้ว ด้วยเส้นสายที่ดู
ขี้เล่นทั้งคัน เป็นมิตรกับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่คันที่เราจะได้ทดลองขับกันในวันนี้ เป็นเวอร์ชัน
ที่ถูกปรับจูนใหม่โดยสำนักแต่ง GAZOO Racing ซึ่งนอกจากจะทำการโมดิฟายกันชนหน้าใหม่
ออกแบบจนดูคล้ายใบหน้าของ Predator มีเส้นโครเมี่ยมพาดเรียงในแนวนอน ดูดุกว่าเวอร์ชัน
ปกติ รวมถึงเปลี่ยนล้ออัลลอยลายใหม่ 5 ก้านคู่ สีเทาดำสไตล์สปอร์ต
ส่วนภายในห้องโดยสาร เปลี่ยนเบาะนั่งเป็นทรงสปอร์ต พร้อมหุ้มหนังแท้และประทับโลโก้ G’s
ส่วนแผงแดชบอร์ด พวงมาลัย และหัวเกียร์ ยังถูกหุ้มหนังแท้
พร้อมการเดินด้ายสีขาว ให้อารมณ์
สปอร์ต ปิดท้ายด้วยปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สีแดง เสริมความร้อนแรงขึ้นไปอีก
ขุมพลังที่ใช้ยังคงเป็นขุมพลัง Hybrid Synergy Drive เช่นเดียวกับเวอร์ชันปกติ เป็นเครื่องยนต์
เบนซิน1NZ-FSE ขนาด 1,496 ซีซี DOHC แบบ Atkinson Cycle พร้อมกำลังอัด 13.0:1
76 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 115 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ผนวก
กับมอเตอร์ไฟฟ้า 60 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ให้กำลังรวมสูงสุด 100 แรงม้า
(PS) ส่งกำลังผ่านล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT หากตัวเลขสเปคจะคุ้นๆตากันก็ไม่ต้อง
แปลกใจเพราะนี่คือขุมพลังชุดเดียวกันกับที่เคยใช้ใน Toyota Prius โฉมที่ 2 นั่นเอง
เตรียมตัว ปรับเบาะ พวงมาลัย กระจกมองหลังและมองข้าง คาดเข็มขัดเสร็จ ผมก็ต้องเข้าเกียร์ D
และกดคันเร่งเกือบเต็มเพื่อทำความเร็ว เพราะ Toyota Corolla AXIO Hybrid ที่รูปลักษณ์ดูเชยและ
ออกแนวแม่บ้าน แต่ Instructor ใช้มานำขบวนและขับได้รวดเร็ว ขัดแย้งกับภาพลักษณ์รถมากๆ
(อารมณ์เหมือนเวลาเห็นแม่บ้านรีบพุ่งไปกระบะของลดราคาด้วยความเร็วสูงเลยทีเดียว!)
แต่นั่นก็เป็นข้อดี เพราะทำให้ผมจับความรู้สึกในการทำความเร็วของ AQUA ว่า คล่องแคล่ว
แม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แต่ด้วยตัวถังที่เล็ก
และเบากว่า ทำให้บุคลิคคล้าย Prius ใน
โหมด Sport แต่ที่แน่ๆ มันให้ชีวิตชีวามากกว่า Honda FIT/Jazz Hybrid รุ่นปัจจุบัน
นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตมากขึ้นแล้ว GAZOO Racing ยัง
ปรับจูนช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัต และระบบช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีมใหม่ให้
มีความหนึบแน่นมากกว่า AQUA เวอร์ชันปกติอีกด้วย การทรงตัวบนทางตรงที่ความเร็วระดับ
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง และการสาดโค้งในสนามด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึง
ให้ความมั่นใจ และสนุกมากกว่าที่ผมคาดไว้ จะว่าไปแล้วยังให้ความมั่นใจมากกว่า Crown
Royal เสียอีก
สรุปได้ว่าแม้ผมจะไม่ค่อยถูกจริตกับรูปลักษณ์ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นสไตล์นี้ แต่ผมถูกใจ
กับช่วงล่างที่เซ็ตมาแบบนี้มากๆ
Toyota SAI : หวือหวา ประณีตผิดปกติ จนแคลงใจว่านี่คือ Toyota จริงหรือ?
เมื่อ Toyota SAI (อ่านว่า ไซ) รุ่นปรับโฉมถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2013 ที่ผ่านมา สายตา
บนสังคมอินเทอร์เน็ตก็เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ Midsize-Hybrid รุ่นนี้อีกครั้งหลังจากรุ่นก่อน
ปรับโฉมถูกเปิดตัวในปี 2009 และทำตลาดแบบเงียบๆในญี่ปุ่นมาตลอด (Lexus HS250h ฝาแฝด
SAI ก็ขายออกแบบเงียบๆ เช่นกัน)
เหตุที่ทุกคนหันมาสนใจกันมากขึ้น ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ เพราะกลับมาคราวนี้ ทีมออกแบบ
ของ Toyota เหลาหน้าและบั้นท้ายของ SAI เสียใหม่ จนดูสวยโฉบเฉี่ยวผิดหูผิดตา จากเดิมที่มี
ดีไซน์เรียบๆ สะอาดสะอ้าน ถูกพลิกโฉมด้วยโคมไฟหน้าที่ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกับกระจังหน้า
เป็นเส้นยาว
ทำให้เมื่อเปิดไฟหน้า ดูสวยงามล้ำอนาคต ผิดหูผิดตา ไม่ใช่แค่แปลกไปจาก SAI
ก่อนปรับโฉม แต่ดูล้ำขึ้นจนผิดวิสัยรถยนต์ Toyota ในยุคนี้เลยล่ะ!
ส่วนด้านท้ายถูกออกแบบชุดโคมไฟท้ายให้ยาวเชื่อมต่อกับโลโก้ Toyota ด้วยเช่นกัน ช่วยปรับ
ภาพลักษณ์ให้ Toyota SAI โฉบเฉี่ยวและโดดเด่นในตลาดมากขึ้น อันที่จริง SAI ถือว่ามีมิติ
ตัวถังใกล้เคียงกันกับ Corolla ALTIS โฉมใหม่ที่จะเปิดตัวในบ้านเราช่วงต้นปีหน้านี้ แต่ด้วย
ตำแหน่งการตลาดที่ทับซ้อนกับ Prius ดังนั้น Toyota จึงดันให้ SAI ยกระดับขึ้นไปเอาใจกลุ่ม
ลูกค้าผู้ใหญ่ ที่เคยใช้ Toyota Corona / Carina / Premio และ Allion แต่อยากได้ความหรูหรา
พร้อมขุมพลัง Hybrid ที่แรงกว่า Prius พูดง่ายๆคือ วางตำแหน่งไว้เป็น Premium Compact
Hybrid Sedan นั่นเอง
ความหรูระดับ Premium นั้น สัมผัสได้ชัดเจนเมื่อเข้าไปภายในห้องโดยสารของ SAI แผง
หน้าปัดส่วนบนถูกหุ้มบุหนัง ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ส่วนเบาะนั่ง แม้จะเป็นเบาะหุ้มหนังแท้
สลับกับผ้า แต่ก็ถูกเลือกเนื้อผ้าชั้นดี และทรงเบาะนั่งยังถูกออกแบบให้ซัพพอร์ตส่วนหลังของ
ร่างกายได้อย่างดี ปุ่มควบคุมบนแผงคอนโซลล้วนให้สัมผัสที่เหมือนกับรถยนต์ Lexus แทบ
ไม่ผิดเพี้ยน เป็นความรู้สึกพรีเมี่ยมแบบเดียวกับที่สัมผัสได้จาก Crown
เครื่องยนต์ที่ใช้ใน SAI เป็นขุมพลัง Hybrid Synergy Drive บล็อกเดียวกันกับ Toyota Camry
Hybrid โฉมที่แล้ว ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2AZ-FXE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,362 ซีซี
150 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 187 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ผนวก
เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 143 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร เมื่อ
ผนึกกำลังรวมกันแล้วจะได้ 190 แรงม้า (PS) ใช้เกียร์อัตโนมัติ E-CVT ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า
สัมผัสที่ได้จากการขับขี่ของ SAI แม้การเร่งทำความเร็วจะให้ความรู้สึกเหมือนกับ Camry
Hybrid โฉมที่แล้ว แต่ด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่า ทำให้การเข้าโค้งไม่โยนตัว เท่ากับที่รู้สึกใน
Camry Hybrid อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่าเมื่อผมเข้าโค้งในสนามในหลายๆโค้ง
ระบบ VDIM จะช่วยทำงานให้ตลอด โดยส่งเสียงพร้อมกระพริบไฟสัญญาณการทำงานบน
หน้าจอมาตรวัดให้ทราบตลอด ส่วนฟีลลิ่งพวงมาลัย แม้จะไม่ได้ถูกเซ็ตมาคมในแนวสปอร์ต
แต่ก็กระชับ และให้ความมั่นใจในการขับขี่พอใช้ได้ และเซ็ตมาในแนวเดียวกับ Camry
แต่ภาพรวมจากการขับขี่ และสัมผัสที่ได้จากภายในห้องโดยสาร ทำให้ผมรู้สึกว่า SAI เป็น
รถยนต์ Premium Compact Hybrid ที่มีส่วนผสมทั้งความโฉบเฉี่ยว และความประณีตของ
ห้องโดยสาร ในแบบที่ไม่ได้เห็นในรถยนต์ Toyota มานานมากแล้ว
——————————–
เสร็จจากการทดลองขับรถยนต์ 4 รุ่น 4 แบบ Toyota ยังเชิญ Mr.Kiichiro Yokota บล็อกเกอร์
และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ผู้โด่งดังจากการใช้ Toyota Prius ตั้งแต่รุ่นแรก ในการเดินทาง
ทั่วโลกด้วยทริป ‘ECOMISSION‘ ของเขา มานั่งคุยกันกับเรา
Mr. Yokota เริ่มต้นภาระกิจ ของเขาตั้งแต่ปี 1999 โดยใช้ Toyota Prius โฉมแรกในการเดินทาง
ข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ไปในหลายๆสถานที่
สำคัญ เพื่อชี้ให้ผู้คนตระหนักถึงความ
โดดเด่นของรถยนต์ Hybrid ที่ทั้งประหยัดน้ำมันและทำร้ายสภาพแวดล้อมน้อยกว่ารถยนต์ปกติ
คุณลุง Yokota ยังร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางไปยังทวีปต่างๆ เพราะหลังจากประสบ
ความสำเร็จของทริปในปี 1999 คุณลุงยังใช้ Toyota Prius
ต่อเนื่องมายังรุ่นที่ 2 และใช้เดินทาง
ทั่วทวีปยุโรป และเขาเป็นคนแรกที่ได้นำเอารถยนต์ไปจอดถ่ายภาพได้ใกล้กับหอเอนเมืองปิซ่า
ในประเทศอิตาลี ได้ใกล้ที่สุด เพราะจากการเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ออกตัวด้วยพลังไฟฟ้า ทำให้
ตัวรถไม่มีเสียงเครื่องยนต์จึงไม่ทำให้ม้าที่อยู่ในบริเวณนั้นตื่น จึงสามารถนำรถ
เข้าไปใน
บริเวณที่ไม่เคยมีใครนำรถยนต์เข้าไปจอดมาก่อนได้
ที่สำคัญ จากการเดินทางตะลอนไปรอบโลกในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา คุณลุง Yokota กล่าวว่า
Prius ไม่เคยชำรุดหนักๆจนต้องหยุดการเดินทางเลย โดยมีเพียงการต้องเปลี่ยนยางอะไหล่
ระหว่างการเดินทางเท่านั้น และไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอีก! คุณลุง Yokota ย้ำชัดเจนว่า จาก
ประสบการณ์การขับ Prius ไปทั่วโลกแล้ว มันเป็นรถยนต์ที่ทนถึกกว่าที่เขาคาดไว้ จนทำให้
เขากลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Prius ไปแล้ว และใช้ Prius เป็นรถยนต์ส่วนตัว มาตลอด
ปัจจุบัน คุณลุงเปลี่ยนมาใช้ Toyota Prius PHEV เวอร์ชันเสียบปลั๊กไฟบ้านของ Prius และ
ใช้เดินทางไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคุณลุงอธิบายว่าด้วยจุดเด่นของการเป็นรถยนต์ที่เสียบชาร์จ
จากไฟบ้านได้ ทำให้รถยนต์คันนี้กลายเป็นเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน และทำให้
การเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะมีไฟฟ้าใช้สำหรับอุปกรณ์ต่างๆได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งงานนี้
คุณลุงก็ได้เตรียมเครื่องเป่าฟองอากาศไฟฟ้ามาโชว์ฟีเจอร์นี้ให้ดูอีกด้วย น่ารักทีเดียวเชียว
นอกจากนี้ Toyota ยังเปิดโอกาสให้ผมได้ทดลองใช้ Toyota WINGLET หนึ่งในยานพาหนะ
ส่วนตัว หรือ Personal Mobility แต่จะถูกออกแบบให้เดินทางในระยะสั้น เช่น ภายในอาคาร
หรือภายในสนามบิน โดย Winglet ถูกเผยโฉมมาตั้งแต่ปี 2008 มีลักษณะเป็นแท่นยืนขนาบ
ข้างด้วยล้อขนาดเล็ก 1 คู่
หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึง Segway เวอร์ชันย่อขนาดล้อลงนั่นล่ะครับ
การใช้งาน Winglet นั้น มีความสนุกและไม่ยากอย่างที่ผมคิดเลย โดยเริ่มต้นจากการกดปุ่ม
เปิดทำงาน ตัวเครื่องจะส่งเสียง บี๊บ! หนึ่งครั้ง แสดงว่า พร้อมจะให้ขึ้นมาเหยียบบนตัวฉัน
แล้วล่ะ จากนั้น ให้ขึ้นไปเหยียบบนแท่นยืนได้เลย แต่ในระยะแรกต้องใช้เวลาทรงตัว
นิดหน่อยครับ หลังจากนั้นต้อง “ห้ามเกร็ง” และปล่อยการทรงตัวให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หากต้องการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ให้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ถ้าเราโน้มตัวไปข้างหน้า
มากๆ ตัว Winglet ก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นเช่นกัน โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่เพียงแค่
6 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งนั่นถือว่าเร็วแล้ว สำหรับการเดินไปบนถนนปกติของมนุษย์
หากต้องการเลี้ยวซ้าย-ขวา ให้โน้มตัวแบบสบายๆด้วยเช่นกัน ห้ามเกร็ง เพราะการเกร็งตัว
จะทำให้ตัวเราไม่โน้มไปด้านข้าง และตัวรถจะจับการเคลื่อนไหวเราไม่ได้ และไม่เลี้ยวให้
จุดหนึ่งที่ทำให้ Winglet แตกต่างจาก Segway คือเมื่อเราโน้มตัวเพื่อทำการเลี้ยว Winglet
จะเอียงตัวไปทิศทางเดียวกับเรา ทำให้เกิดความรู้สึก
เป็นธรรมชาติและคล่องตัวมากกว่า
Segway ที่ไม่มีการช่วยเอียงเครื่องให้ระหว่างเลี้ยว
หากเดินทางจบแล้วและต้องการจะลงจากเครื่อง ทำได้ง่ายมากเพียงแค่หยุดยืนในลักษณะ
ตัวตรง และกดปุ่ม Stop ตัวเครื่องจะเอียงมาด้านหลังอัตโนมัติ ช่วยให้เราก้าวลงมาจากเครื่องไ
ด้ง่าย และแค่นั้นเลย!
จากการลองเล่น ในช่วงแรกผมต้องทำการปรับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ชินกับการโน้มตัว แต่เมื่อ
ปรับตัวได้แล้ว ผมก็สนุกมาก สามารถเลี้ยวหลบกรวย ที่ทางโตโยต้าจัดไว้ได้อย่างสบายๆ
เพราะ Winglet มีลักษณะเป็นธรรมชาติกับร่างกายมนุษย์มากทีเดียว จนผมต้องขอลองใช้
Winglet ถึง 2 รอบ ฮ่าๆ
และนั่นก็เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่สนาม Spa Nishiura Circuit ก่อนที่ผมจะต้องบอกลาสนาม
แห่งนี้ และทิวทัศน์อ่าว Mikawa เพื่อเดินทางไปยังท่าเรือของอ่าว Nishiura คราวนี้ Toyota
จะพาไปล่องเรือของพวกเขาเอง ชมอ่าวแห่งนี้
ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิดหรอก Toyota ผลิตเรือสำราญ ขนาดเล็กขายด้วย!
เรือสำราญของ Toyota นั้น จะใช้ชื่อในการทำตลาดว่า ‘PONAM‘ และมีหลายรุ่นให้เลือก
แต่สำหรับวันนี้ Toyota นำเอา PONAM-35 มาให้เราได้สัมผัสกัน ตัวเรือนั้นมีความหรูหรา
ระดับโรงแรมชั้นดีเลยทีเดียว มีการแบ่งห้องต่างๆและตกแต่งอย่างหรูหรา ห้องควบคุม
ยังถูกออกแบบด้วยอุปกรณ์ทันสมัยและควบคุมได้ง่าย และยังมีครีบท้ายเรือพิเศษ เพื่อ
ช่วยลดอาการเชิดของหัวเรือรวมถึงออกแบบระบบช่วยกันโคลงเมื่อเจอคลื่นใหญ่กระทบ
และมีระบบเปิด-ปิดปัดน้ำฝนอัตโนมัติอีกด้วย (ฮา)
ทีเด็ดอยู่ที่ขุมพลังที่ใช้กับเรือสำราญรุ่นนี้ เป็นขุมพลังดีเซล 1VD-FTV ซึ่งเป็นเครื่องยนต์
แบบเดียวกับที่ใช้ใน Toyota Land Cruiser Prado ใหม่! ขุมพลังนี้มีความจุ 4.4 ลิตร พร้อม
หัวฉีด Common-rail พ่วง Turbocharger 370 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที
จากการเดินทางชมอ่าว Nishiura ด้วยเรือลำนี้ พบว่ามีความนิ่มนวลมากกว่าที่เคยนั่งเรือมา
แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ลองเข้าไปชมห้องต่างๆของเรือ ได้แต่เพียงนั่งอยู่ในบริเวณ
ห้องนั่งเล่นของเรือ ตอนแรกผมว่าจะเข้าไปประเดิมใช้ห้องน้ำของเขาเสียหน่อย อิอิ เห็นว่า
สวยดี มีชักโครก ฉีดตูดอัตโนมัติให้อีกต่างหาก
—————————————–
19.00น.
ผมกลับมายืนในสถานีรถไฟ Tokyo อีกครั้ง พวกเราเพิ่งจะเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นสาย
NOZOMI 132 มาจากเมือง Nagoya และทาง Toyota จะให้เวลาเดินเล่นตามอัธยาศัยในคืนนี้
ก่อนจะเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น
ระหว่างทางที่นั่งรถไฟชินคันเซ็นมา ผมนั่งมองทิวทัศน์ข้างทางของประเทศญี่ปุ่น คิดว่า นี่แหละ
ประเทศญี่ปุ่น ผมมาเป็นครั้งที่ 6 แล้ว และกำลังจะต้องกลับไปมีชีวิตที่ประเทศไทยอีกครั้ง
แต่การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ของผม มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากทุกๆครั้งที่ผ่านมา เพราะการเดินทาง
ครั้งนี้เติมเต็มความฝันหลายๆอย่างของผม การได้เดินทางมางานแสดงรถยนต์เป็นครั้งแรกในชีวิต
และได้ทดลองขับรถยนต์ที่ไม่มีขายในประเทศไทย มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ใช่
ทริปนี้ จะมีโอกาสได้ขับรถยนต์เหล่านี้มั้ย หรือถ้ามี มันจะเมื่อไหร่กัน
ที่สำคัญ การเดินทางครั้งนี้ยังช่วยเปิดมุมมองที่ผมมีต่อรถยนต์ Toyota ให้กว้างขึ้น ได้มาเห็นความ
ตั้งใจในการพัฒนางานบริการหลังการขาย อีกทั้งยังได้มา สัมผัสรถยนต์ Toyota แบบที่คนญี่ปุ่น
ได้ใช้มาเป็นเวลานาน หลายรุ่น หลายรูปแบบ
Toyota กำลังอยู่ที่ในยุคที่พยายามปรับภาพลักษณ์ตนเองให้มีความสนุกมากขึ้น ลดภาพลักษณ์
รถยนต์อันน่าเบื่อทิ้งไป การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ช่วยพิสูจน์ได้ดีว่า นอกจาก Toyota จะพยายามบุกเบิก
เทคโนโลยีใหม่ๆให้วงการรถยนต์แล้ว พวกเขายังพยายามใส่ความสนุกสนานให้กับรถยนต์
ของเขามากขึ้น
ผมได้แต่หวังว่า รถยนต์ Toyota รุ่นใหม่ๆที่เตรียมเปิดตัวในประเทศไทย จะพกเอาความสนุก
แบบที่ Toyota ในญี่ปุ่น ได้มอบให้ผมไว้บ้าง เพราะจากที่ผมสัมผัสได้หาก Toyota จะพยายาม
ทำให้รถยนต์ขับสนุก พวกเขาก็ทำให้มันสนุกได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คำกล่าวลอยๆแบบที่
อั้ม พัชราภา พูดไว้ในโฆษณาทางทีวี
ผมเองก็จะรอดูว่า Toyota รุ่นใหม่ในเมืองไทย จะ FUN TO DRIVE. ได้ AGAIN. เหมือนที่
พวกเขาตั้งใจไหม?
ผมจะรอดูครับ
—————————–///——————————
ร่วมแสดงความคิดเห็น เชิญที่นี่
ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Toyota Motor Thailand จำกัด
ที่เอื้อเฟื้อ และให้การต้อนรับอย่างดี ตลอดการเดินทาง ในครั้งนี้
TOYD
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นผลงานของผู้เขียน และทางช่างภาพชาวญี่ปุ่น
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
2 ธันวาคม 2556
Copyright (c) 2013 Text and Pictures Except some shot from Japanesse photographer
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 2nd, 2013