คำเตือน
1. เน็ตไม่เร็วจริง ให้ปิดไปก่อน หา Wi-fi หรือเน็ตดีๆต่อค่อยมาอ่านเพราะรูปเยอะมากกกกก
2. รูปในบทความถ่ายโดยผม Commander Cheng, Tee@Abuser และบอม RhinoMango
เนื้อหาบทความก็เขียนเอง ใครแอบมักง่ายคัดลอกหรือนำไปใช้ นอกจากจะโดนแช่งให้เม่น
คลานออกจากรูทวาร(ถอยหลังด้วยเอ้า) จะโดนทุกอย่างที่กฏหมายสามารถจัดได้ โดยเฉพาะพวก
โจทก์เก่าที่เอาไปใช้ ไม่มีอ้างถึงที่มา ไม่มีให้เครดิตสักกะบรรทัด เราจำคุณได้ทุกราย วงการรถไม่ได้
กว้างจนข่าวไม่รู้ถึงขอบโต๊ะ
เปิดมันโหดๆแบบนี้แหละ เอ้า!ชม!
Tokyo Diary : Tokyo Auto Salon 2013!
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2013
ตื่นขึ้นมาตอนตีสาม ในห้องรับแขกบ้านของน้องสาวผม..นี่เรานอนไปทั้งๆที่ยังใส่เครื่องแบบทำงานอยู่
เพราะขี้เกียจที่จะอาบน้ำ ก็จะไปสนามบินทั้งเครื่องแบบนี่ล่ะ กระเป๋าเดินทางและสัมภาระต่างๆ
จัดใส่รถของเคี้ยง (แฟนน้องสาว)ไว้แล้ว ใช้เวลากับการส่งออกในห้องน้ำไม่นานเราก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
เคี้ยงขับรถจากพระราม 3 มาส่งพวกเราที่สุวรรณภูมิเพื่อจับเที่ยวบินที่ออกตั้งแต่เช้ามืด ส่วนไอ้ตี้นั้น
คุณพ่อกับคุณแม่มาส่งที่สนามบิน
สำหรับผม นี่คือการไปญี่ปุ่นเป็นรอบที่ห้าแล้ว แต่สำหรับบอมกับตี้ นี่จะเป็นการเยือนแดนอาทิตย์อุทัย
ครั้งแรกของพวกเขา ทริปของพวกเราในครั้งนี้เกิดขึ้นแบบฟลุ๊คๆ เพียงแค่บอมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าถ้าอยาก
จะไปญี่ปุ่นจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ พอผมบอกว่าสัก7-8หมื่น..บอมก็หายตัวไปครึ่งปีแล้วก็กลับมาบอกผมว่า
“พี่แพน บอมเก็บเงินได้แล้ว เราจะไปญี่ปุ่นกันได้ยังอ่ะ?”
ร้อนถึงศิษย์พี่อย่างผม..ชิบหาย เด็กมันเก็บเงินได้แล้วเรายังหมดตูดไปกับการทำเทอร์โบลง Tiida อยู่เลย
แล้วจะทำยังไงดีวะเนี่ย..สักพักตาก็เหลือบไปเห็น DVD พาเที่ยว Tokyo Autosalon ของX.O. ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ผมดีดนิ้วคิดอยู่สองสามวิก่อนจะตอบบอมไปว่า “เดือนมกราคมมี Autosalon เราไปกันช่วงนั้นไหม?”
ที่บอกไปอย่างนี้เพราะนั่นจะทำให้ผมมีเวลาเก็บเงินได้ 5 เดือนแบบไม่ตึงมากนัก ..ผมไม่ได้รวยอย่างที่
หลายคนมักจะคิด แค่เงินเดือนพนักงานธนาคาร(ที่จ่ายโบนัสไม่มากนัก)บวกกับค่าทำงานเว็บและงานแปล
นิดๆหน่อยๆ แต่หนี้เยอะ
เป็นอันว่าบอมตกลง แล้วพอย่างเข้าเดือนสิงหาคม ผมก็ปูดเรื่องนี้กับเจ้าตี้ Tee@Abuser ซึ่งนั่นก็ทำให้
ตาของมันลุกวาวพร้อมกับขอไปด้วยอีกคน ผมและบอมโอเค ก็เลยบอกให้มันเก็บเงินก้อนให้ได้แล้วกัน
เราผ่านเวลาช่วงนั้นมาแบบไม่รู้ตัว ผมเก็บเงินสู้กับภาระการซ่อมรถที่ดันขยันจะพังตอนที่ต้องการเก็บเงิน
ยาง Tiida ก็เกิดอยากโดนตะปูเจาะ ยางหน้าก็โล้น ผ้าเบรกก็อยากจะหมดซะตอนนั้น ส่วนไอ้ตี้ก็ทำงานพิเศษ
รวมถึงขายของแต่งรถสุดรักสุดหวงออกไปหลายอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งทริปในฝัน เราได้วีซ่ามา ผมจัดการ
ประสานงานเรื่องจองโรงแรม วางแผนโปรแกรมการท่องเที่ยวอยู่หลายคืนเพื่อให้ลงตัวกับวิถีทางแห่งการ
“เตร่” ประสาเด็กบ้ารถ 3 หน่อ แล้วทุกอย่างก็ลงตัวด้วยดี ทริปนี้ไม่รวมเงินช้อปปิ้ง
เราน่าจะใช้เงินกันราว 70,000 บาทจริงๆ
7.15น. เครื่องบิน 747-400 ของ United Airlines เที่ยวบิน UA838 ก็ทะยานขึ้นจากสุวรรณภูมิ
ชั้นประหยัดของเที่ยวบินนี้พื้นที่ระหว่างแนวที่นั่งค่อนข้างแคบ บางคนอาจจะบอกว่าแน่ล่ะ ไซส์หมีอย่างผม
เที่ยวบินไหนก็แคบ..แต่ไม่ใช่เพราะขนาดไอ้ตี้ยังบ่นนิดๆ จำได้ว่า ANA นั้นจะมีระยะห่างให้หายใจ
มากกว่านี้ เอาถาดอาหารกางลงแล้วไม่ติดพุง และมีจอส่วนตัว United นั้นมีให้ผมก็แค่เข็มขัดนิรภัย
ที่ยาวพอคาดเอวตอม่อผมได้พอดี ไม่ต้องต่อสายเหมือน ThaiSmile
พนักงานบนเครื่องนั้นจะเป็นด้านตรงข้ามกับ ThaiSmileคือจะมีแต่รุ่นพี่ ไม่ก็รุ่นพ่อแม่มาทำงาน
แต่ผมกลับชอบ เพราะการได้เห็นคนอายุมากๆทำงานอย่างยิ้มแย้มและคล่องแคล่วว่องไว
มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากในชีวิตประจำวัน พนักงานของ United คล่องและไวมากจริงๆ แม้จะอายุมาก
ก็คงเปรียบได้กับการดูรถเก่าอายุ30ปีซิ่งในสนามพีระนั่นล่ะ ราคาตั๋วไปกลับกทม.-นาริตะ วันที่ผม
ซื้อนั้นอยู่ใน 19,800 บาทบวกลบนิดหน่อย และสามารถเลือกเบอร์ที่นั่งได้ตั้งแต่ตอนจองบนเว็บเลย
ผมแนะนำสำหรับคนที่ไม่อยากใช้สายการบินชื่อไม่คุ้นแล้วยังอยากประหยัดงบ..แต่ผมว่าไม่เหมาะ
กับคนที่เรื่องมากจู้จี้เพราะสังเกตว่าพนักงานบางคนยังมีวิธีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมนัก ยกตัว
อย่างเช่นการเตือนให้ปิดมือถือ ถ้าเป็น ANA ป้าแอร์ฯจะโน้มตัวลงเต็มที่และพูดกับเราว่า
“Sir, could you please turn off the mobile phone for now”. แต่ United นั้น เจ้าหน้าที่เอามือ
พุ่งเฉียดหัวมาชี้จิกๆที่โทรศัพท์ ก่อนโบกนิ้วชี้ซ้ายขวาๆแล้วพูดว่า Turn off your phone สั้นๆห้วนๆ
เป็นผม ผมทนได้ แต่ถ้าเป็นพ่อผม ไอ้หมอนี่โดนด่าคาเครื่องแน่ (แต่ไม่โดนตบบ้องหูแน่นอน)
เราต้องบินกันไปเป็นเวลา 5 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ผมพยายามต่อสู้กับภาวะปวดตามข้อตามขา
เนื่องจากพื้นที่วางขานั้นน้อยมาก ผมเอากระเป๋ายัดไว้ใต้ที่นั่งและมีที่ให้กระดิกเท้าไปมาได้ประมาณ
4-5นิ้วโดยรอบ ข้อเท้าขวาที่เคยหักเริ่มแผลงฤทธิ์เล่นงานเป็นระยะๆแต่ก็พยายามบิดขาไปมาแก้ล้า
ส่วนลำตัวท่อนบนที่เกยๆกันกับไหล่ไอ้ตี้ก็คงต้องปล่อยมันไว้อย่างนั้น เราไม่มีเงินพอจะบินชั้นธุรกิจหรอก
เครื่องร่อนลงจอดที่นาริตะเวลา 14.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น เราเดินลงจากเครื่องแล้วไปผ่านขั้นตอน
การตรวจคนเข้าเมือง ผมจัดลำดับให้บอมเดินไปเข้าช่องข้างๆ เพราะมันพูดและฟังภาษาอังกฤษได้
ส่วนไอ้ตี้นั้นพูดไม่ได้ จึงให้เข้าไปก่อนหน้าผมคิวหนึ่ง เผื่อมีปัญหาด้านการสื่อสารจะได้กวักมือเรียก
ผมไปช่วยได้..แต่ด้วยความกุลีกุจอของทีมตรวจคนเข้าเมืองที่ดูราวกับว่า “อย่าให้เห็นช่องในมีคิวรอนะมึง”
พอเห็นผมยืนรอตี้ปั๊บ ก็ลากผมไปเขาอีกช่องที่ว่างอยู่ทันที ที่ช่องตรวจคนเข้าเมือง เมื่อสแกนพาสปอร์ต
แล้วเหมือนว่าเครื่องอ่านมันรู้ว่าเป็นพาสปอร์ตไทย ที่จอสำหรับแชะภาพหน้าตาเราจะเปลี่ยนภาษา
เป็นไทยให้เราอ่าน บอกวิธีการให้มองกล้อง ให้วางนิ้วชี้ เป็นภาษาไทยเข้าใจง่าย แถมยังมีแบ็คกราวนด์
เป็นลายสีชมพูการ์ตูนสวยงามอีกต่างหาก มีประเทศไหนแถวๆนี้อยากลองดูไหม?
จากนั้นลงมารับกระเป๋าเดินทาง แล้วก็เดินเข้าด่านศุลกากร (Custom) ผมคงมีหน้าตาและหุ่นที่ดูแล้ว
น่าเชื่อถือในสายตาคนญี่ปุ่น เลยผ่านเข้ามาได้ด้วยดี ส่วนไอ้ตี้นั้น เจ้าหน้าที่เรียกให้หยุด ผมจึง
หันกลับไปมองมัน มันก็ชี้ๆมาทางผม แล้วบอกว่า Come together, Come together เจ้าหน้าที่
ก็ปล่อยมันมาอย่างง่ายดาย
ส่วนไอ้บอม เนื่องจากหน้ามันนิ่งๆบึ้งตามปกติ แล้ววันนี้มันยังลืมโกนหนวดอีก ก็เลยถูกเรียกตัวไว้
สอบถามสองสามคำก่อนปล่อยออกมา
เชื่อไหมว่านับจากวินาทีที่ร่อนลง จนกระทั่งเราออกมาข้างนอกได้นั้นใช้เวลาแค่ 20 นาทีเศษเท่านั้น
แม้แต่กระเป๋าเช็คอิน ตอนที่เราเดินมาถึงสายพาน รอแค่ไม่กี่วินาทีกระเป๋าก็โผล่หน้ามาทักทายแล้ว
ผมเดินออกมาขึ้นรถบัสเข้าเมือง ซึ่งตอนนี้เขาเรียกมันว่า “Friendly Airport Limousine” ..คือจะเรียก
ว่าไงดีวะ? ลิโม่สนามบินผู้เป็นมิตรงั้นเรอะ..ช่างมันเถอะ ผมเดินเข้าไปซื้อตั๋วราคาคนละ 2,900เยน
พร้อมกับได้รับการแจ้งว่ารถจะออกเวลา 14.50น. แต่ระหว่างเดินทางไปขึ้นรถบัสมีทีมงานอะไรสักอย่าง
หอบกล้องมาสัมภาษณ์ ผมก็บอกไปแล้วว่า วาตะชิวะไกจินเดส No Japanese เขาก็ให้ล่ามผู้หญิง
พูดให้ แล้วก็ถามว่ามาจากไหน, จะไปเมืองไหน แล้วไปโตเกียวไปทำอะไร ถามอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ
ไอ้ผมก็ตอบเพลินจนสรุป เดินมาถึงทางออก ก็เห็นรถบัสเที่ยว 14.50 น. วิ่งออกไป..2,900เยนกู T T
แต่พอเราเดินไปถึงตรงนั้น ก็มีน้องผู้หญิงในเครื่องแบบบริษัทรถบัส 2 คน มาต้อนรับ แล้วพอดูตั๋วเสร็จ
เขาก็บอกว่ารถออกไปแล้ว แต่ก็บอกให้เรารอตรงนั้น แล้วเธอจะวิ่งไปเปลี่ยนเวลารถบนตั๋วให้ และเรา
สามารถจับรถเที่ยว 15.05 น. เข้าเมืองได้เลย..เจ๋งครับ แถมท่าทางที่เขาบริการเรานั้น ไม่ได้มีสีหน้า
หงุดหงิดหรือตำหนิ แต่กลับเป็นสีหน้าวิตกเหมือนจะโดนเราด่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับหลายคน
แล้วด้วยความช่วยเหลือของน้องผู้หญิงคนนั้น เราก็ได้ขึ้นรถ วิธีการขึ้นรถบัสลิโม่สนามบินผู้เป็นมิตร
ไม่ยากครับ ถ้าเรามีกระเป๋าใบใหญ่มา เขาจะถามเราว่าจะให้เอาเข้าใต้ท้องรถบัสไหม ถ้าเราตกลง
เขาจะเอาสายกระดาษที่มีเลขรหัสไปคาดหูหิ้วกระเป๋า แล้วฉีกหางที่มีเลขรหัสชุดเดียวกันมาให้เรา
สีสันของกระดาษนั้นจะสอดคล้องกับจุดหมายปลายทางที่เราจะลงจากรถ ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่
ที่สถานีปลายทางยกกระเป๋าลง จะไม่มีคำว่าญี่ปุ่นทำเกิน ส่วนเราก็แค่เอาหางที่มีรหัสยื่นให้คนยก
กระเป๋า เขาก็จะหากระเป๋ามาส่งให้เรารับ
การขึ้นรถบัส หรือรถไฟในญี่ปุ่น เขาจะขอให้เราปิดเสียงโทรศัพท์ และถ้าจะคุยโทรศัพท์ ก็ต้องคุยเงียบๆ
เพราะไม่ต้องการให้เสียงของเราไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่น อันนี้เป็นข้อควรจำครับ
ระหว่างนั่งรถ ผมซึ่งมาที่นี่บ่อยแล้วก็ไม่ตื่นเต้นอะไร แต่บอมกับตี้ที่นั่งอีกฝั่งดูจะตื่นเต้นกับการได้เห็น
รถแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตี้นั้นแทบจะถ่ายภาพเก็บไว้ทุกคันเลยก็ว่าได้ พอมีรถผ่านมาสักคัน
ก็จะหันมาเรียกผมให้ดู เจอ Aristo ก็เรียก เจอ Crown Athleteก็เรียก เจอ Belta ก็เรียก เจอ March
ก็เรียก ผมก็บอกว่า “กูอุตส่าห์หนีผีอีโค่คาร์มาถึงนี่มึงอย่าให้มันตามมาหลอกหลอนกูได้ไหม“
ถนนหนทางของเขาดูเป็นระเบียบ มีวินัยดีกว่าบ้านเรา ตลอดทางเข้าเมืองผมไม่เจอรถช้าเลนขวา
แม้แต่คันเดียว ไม่เจอรถแซงเลนซ้ายแม้แต่คันเดียว เลนขวามักถูกเปิดโล่งไว้ตลอด หากข้างหน้า
ไม่มีรถ คนขับจะตบเข้าเลนกลางเสมอ แต่ที่เลนกลางนั้นก็ยังมีคนขับช้าผิดปกติ (ช้ากว่าเลนซ้าย)
โผล่มาให้เห็นนานๆที แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะฉีกออกขวาแซงได้ง่ายมาก
วิวสองข้างทางบางช่วงก็สวย อย่างภาพนี้ถ่ายได้ช่วงเข้าเขตเมือง มองออกไปไกลๆจะเห็น
Tokyo Skytree ซึ่งเป็นหอโทรทัศน์วิทยุที่สูงที่สุดในโลก ราว 630เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี 2011
จากนั้นเราก็เข้ามาถึงสถานีรถบัส TCAT- Tokyo City Air Terminal เจ้าหน้าที่ขนกระเป๋าของพวกเรา
ลงหมดแล้ว เราก็ค่อยๆลากตัวเองเข้าไปอยู่ในอาคาร อุณหภูมิภายนอกตอนนี้ประมาณ 5 องศา
หนาวกว่าประเทศไทยแบบคนละเรื่อง แต่สำหรับผมลำพังเสื้อสองชั้นบวกแจ็คเก็ตและขายาว
ชั้นเดียวยังพออยู่ได้แบบสบายๆ ..แต่..ถ้าได้อยู่ในอาคารมันก็สบายตัวกว่าน่ะนะ
บอมกับตี้เข้าห้องน้ำเพื่อดูแลภาคส่งออก (ขี้ แอนด์ เยี่ยว) จากนั้นเราก็มาเดินสำรวจตู้กดน้ำซึ่งมี
ให้เลือกมากมายหลายแบบต่างจากบ้านเรา ..ก็โตเกียวเป็นเมืองหลวงของ Vending Machine
ตู้กดต่างๆมีมากมาย อย่านับแค่น้ำเลยครับ บะหมี่ ซุปร้อนๆ บุหรี่ ถุงยาง อะไรสารพัดจะนึกได้
ถ้าทำมาใส่ตู้กดได้ พี่ญี่ปุ่นแกทำหมด อย่างน้ำในตู้นี่มีกี่ยี่ห้อแล้วลองนับดู หลายยี่ห้อนี่ผมจำมันไม่ได้
แต่ที่ติดอยู่ในหัวมานานเลยก็มี อย่าง C.C. Lemon น้ำรสมะนาวอัดลมที่เหมือนเอามะนาวโซดาบ้านเรา
ไปผสมกับเมานท์เท่นดิวแล้วเพิ่มความเปรี้ยว ไอ้ Bikkle ที่รสชาติประมาณญาติๆกับยาคูลท์และ
กาแฟ Boss ที่รสชาติห่างชั้นความหอมและเข้มข้นของกาแฟกระป๋องบ้านเรามาก
กดน้ำจากตู้มาดื่มเล่นกันขำขำ แล้วก็ได้เวลาไปหาแท็กซี่กันเสียที ผมประกาศเอาไว้กับน้องๆแล้วว่า
มาญี่ปุ่นคราวนี้ กูจะต้องนั่งแท็กซี่ชั้นสูงอย่าง Crown Royal Saloon, Nissan Fuga หรือ Cima ให้จงได้
ดังนั้นถ้าเจอรถแท็กซี่ธรรมดาอย่าง Crown Comfort หรือ Cedric Crew ล่ะก็อย่าหวังซะให้ยาก
แล้วผมก็เดินมาที่ช่องขึ้นแท็กซี่เพียงเพื่อมาเห็นว่าแท็กซี่ Crown Majesta สีขาวน้ำเงินเพิ่งรับผู้โดยสาร
แล้ววิ่งออกจากช่องนั้นไป สิ่งที่ต่อคิวถัดมานั้นคือ..Toyota Prius
“เอาไหมพี่” บอมถาม ไอ้ผมก็รั้นตอบไปว่า “ไอ้บักห่า กูอุตส่าห์บินข้ามทะเลจีนใต้มาจะให้นั่ง
รถโลกเขียวที่บ้านกูมีวิ่งเยอะแยะ จะไปนั่งมันทำไมวะ” แล้วผมก็ยังเสียงแข็งที่จะยืนรอมันอยู่อย่างนั้น
เดี๋ยวก็มีคนมาเรียกมันไปเองแหละว่ะ
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาเรียกมันไปซะที ผมรอจนเริ่มขาเกร็งแล้วก็ไม่มีวี่แวว ไอ้แท็กซี่ Prius
นั่นก็หน้าทนเหลือเกิน ไม่มีคนขึ้นมึงก็รีบขับๆออกไปสิวะ คันอื่นจะได้เลื่อนเข้ามาแทนที่
สุดท้ายผมต้องยอมจำนน ลากกระเป๋าและเดินตามน้องๆไปขึ้นแท็กซี่ Prius อย่างเสียมิได้..เวรเอ้ย
ผมยื่นแผนที่ไปโรงแรม (ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น) ให้คนขับ พร้อมกับบอกว่า “โตคิวสเตย์ ซุ้ยโด่บาฉิ อิทาดากิ
มาเดะเดส” คนขับทำหน้าเหมือนจะงงๆ แต่พอรับแผนที่ไปดูแล้วก็พยักหน้าทำท่าทางเหมือนจะเข้าใจ
ชีวิตไม่ลำบากแล้วกู..ขนของขึ้นรถแล้วไปกันดีกว่า
ระหว่างทางวิ่งไปที่พัก ตี้ควักกล้องขึ้นมาถ่ายรถราไปตลอด ส่วนบอมมักจะถ่ายร้านรวงและผู้คน
ที่สัญจรไปตามริมถนน ผมไม่ถ่ายอะไร เพราะนี่มาเที่ยวเป็นครั้งที่ 5 แล้ว แต่ก็สังเกตได้ว่าคนขับ
ดูมีความช่ำชอง เลี้ยวรถไปมาดูรู้ทางดี แล้วทิวทิศน์ที่เริ่มคุ้นตาก็เข้ามาเรื่อยๆเมื่อเลี้ยวขวาเข้า
ถนน Hakusan Dori ผมจำร้านเซเว่นตรงซอยข้างๆมหาวิทยาลัย Nihon ได้ และแน่นอนว่าจำร้าน
Sex shop ฝั่งตรงข้ามกับอาคารเรียนและห้องประชุมได้เหมือนกัน จากนั้นรถเลี้ยวขวาเข้าตรอกเล็กๆ
แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เลยร้านสะดวกซื้อสีแดงที่ผมไม่รู้ชื่อ และโรงแรม Niwa Hotel มาหยุดลงตรงหน้า
โรงแรม Tokyu Stay Suidobashi ของเรา ค่าแท็กซี่ผมกะไว้ว่าประมาณ 3,000 เยน แต่เอาเข้าจริง
ความที่พี่คนขับชำนาญทาง เราจึงใช้เวลาน้อยและเสียเงินแค่เพียง 1,810 เยนเท่านั้น
การจ่ายเงินค่าแท็กซี่ในญี่ปุ่น คุณแค่วางเงินลงบนถาดรับเงินขนาดราวคืบกว่าๆ แล้วจากนั้น
คนขับจะรับเงิน และทอนเงินให้ ทีนี้ ไม่ต้องใจดีให้ทิปนะครับ เพราะในความคิดของคนญี่ปุ่นส่วนมาก
การให้ทิปนั้นเหมือนเป็นการดูถูกว่าเขาไม่มีเงินจะกิน เขาทอนมาเท่าไหร่เราก็รับมาเท่านั้น ถ้าอยาก
จะมารยาทดีก็แค่อะริกาโตและยิ้มให้เขาบ้างก็พอแล้วครับ
เราเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ ก็พบพนักงานหญิงสองคน เราจองห้องเอาไว้สองห้อง คือห้องสองเตียง
สำหรับตี้นอนกับบอม และห้องเดี่ยวสำหรับตัวผมเอง โชคดีว่าเราได้ห้องทั้งสองในชั้นเดียวกัน
และสำหรับค่านอน 7 คืน เราจ่ายเงินรวมทั้งสองห้องแค่เพียง 152,000 เยนโดยประมาณเท่านั้น
ผมถามหาอุปกรณ์ Portable Wi-fi ซึ่งผมได้ทำการสั่งเช่าจากกรุงเทพแล้วให้เขาส่งมาที่โรงแรม
(ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้เมล์มาแจ้งทางโรงแรมล่วงหน้าแล้วว่าจะมีพัสดุส่งมารอผม)
แต่เจ้าหน้าที่โรงแรมยังไม่เก่งภาษาอังกฤษนัก เลือกคำมาใช้หลายแบบไม่ว่าจะเป็น Parcel, Letter
Envelope จนสุดท้ายผมต้องใช้คำว่า little package เขาถึงเข้าใจและบอกว่ามันอยู่ในห้องผมแล้ว
เรากดลิฟท์ขึ้นมาชั้นเก้า และพาพวกน้องๆไปเช็คห้องของเขาดูก่อน สภาพของห้องคู่ยังเป็นเหมือน
สมัยที่ผมมากับพ่อปลายปี 2009 เด๊ะๆ
ห้องคู่นั้นมีขนาดค่อนข้างโตเมื่อเทียบกับโรงแรมอื่นๆที่ราคาเท่าๆกันในเขตตัวเมือง มีอุปกรณ์อำนวย
ความสะดวกให้ครบครัน ที่ผมชอบมากคือมีไมโครเวฟ มีตู้เย็น 2 ชั้น มีอ่างล้างจาน พร้อมอุปกรณ์
การกิน จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด เขียง เอาไว้ให้ใช้เผื่อซื้ออาหารข้างนอกมาทำกินเอง มีเครื่องซักผ้า
และอบแห้งในเครื่องเดียว ทำให้คุณจัดกระเป๋าใบเล็กลงได้ ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าติดตัวมาเยอะ
ส่วนห้องเดี่ยวของผม โดนตัดออพชั่นไปบ้าง เช่นทีวีจอ LCD จะเล็กกว่า ไม่มีเครื่องครัว
ไม่มีอ่างล้างจาน แต่ยังโชคดีที่มีเครื่องซักผ้า และไมโครเวฟมาให้
ผมเดินเอาซองพัสดุ Portable Wifi ไปให้ตี้ที่ห้องของสองหนุ่ม จากนั้นก็ให้เวลาพักผ่อน
ตามอัธยาศัยกัน 2 ชั่วโมงก่อนที่ผมจะนัดเจอกันอีกทีตอน 18.30 น. ผมกลับห้องไปแหก
ข้าวของให้กระจัดกระจาย และเอาของฝากที่พ่อผมซื้อมาแล้วฝากให้ผมนำไปให้เพื่อนเขา
มารวมๆกันไว้ในถุง แล้วก็จัดของฝาก (ช็อคโกแล็ต Godiva) ที่ซื้อมาอีก 3 ชุดเอาไว้ให้กับเพื่อน
ชาวญี่ปุ่นของพ่อทุกคนเพราะทริปนี้นั้น เราได้พวกเขานี่ล่ะในการช่วยประสานงานเรื่องที่พักให้
เนื่องจากเราพยายามจองเองผ่านเว็บไซต์แล้วพบว่าห้องเต็ม พอให้คนญี่ปุ่นโทรเช็คเองกลับมีห้องว่าง
นี่ก็เรื่องแปลกปุเลงเกงอย่างนึงของโรงแรมนี้
พอ 18.30 ผมเดินไปเคาะห้องเด็กๆ เรียกเตรียมตัวเดินไปหาเพื่อนพ่อผมกัน ..ไม่ผิดหวัง เพราะไม่เจอกัน
แค่ชั่วครู่เดียว สองคนนั้นเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในห้องจนหมดแล้ว ไอ้ตี้เองก็ศึกษาวิธีใช้ตัว
Portable Wifi แล้ว
เย้! ต่อไปนี้เราเดินทางไปไหนก็ได้ในญี่ปุ่น แล้วก็ยังจะมีอินเทอร์เน็ตใช้อยู่ อัพรูป
และคุยกับที่บ้านได้หมด ไม่ต้องพึ่งบริการ International Roaming ของบริษัทโทรศัพท์ไทยแล้ว ค่าเช่า
Wifi นี้ก็ถูกมาก 8 วัน 3,300 บาทเศษเท่านั้นเอง แต่ถ้าคุณทำมันหาย ..จ่าย 42,000 เยนนะครับ ฮ่าๆ
เราหยุดแวะกันที่หน้าร้านแดง (ไม่ใช่เครือข่ายทางการเมืองนะ..ผมหมายถึงร้านสะดวกซื้อใกล้ๆโรงแรม)
ผมพาน้องๆเข้าไปดูของในร้าน มีอะไรที่จำเป็นต้องใช้ คุณหาที่นี่ได้เกือบหมด อาหาร ขนม ไอติม ยาสูบ
ที่ตัดเล็บ แว่นกันแดด ร่ม ถุงมือกันหนาว หนังสือ นิตยสาร และอื่นๆอีกมาก จากนั้นก็เดินออกมาถนน
Hakusan Dori แล้วเลี้ยวซ้าย เดินผ่านตึกสำนักงานไปหลายคูหา ผ่านเด็กมหาวิทยาลัย วัยกำลังน่ารัก
น่าเตะไปหลายกลุ่ม อย่าลืมว่าบริเวณนี้คือที่ตั้งของหลายคณะในสังกัด Nihon University พอเดินไปสักพัก
เห็นเซเว่นอยู่หัวมุมถนนไกลๆก็เตรียมมองซ้ายไว้ สำนักงานของ NUPRI อยู่ก่อนถึงเซเว่นนั้น NUPRI นั้น
ย่อมาจาก Nihon University Population Research Institute ซึ่งวิจัยเรื่องคุณภาพประชากรเป็นหลักตามชื่อ
คุณพ่อของผมมาที่นี่บ่อยๆในฐานะวิทยากร และนักวิชาการรับเชิญ
ผมกดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 4F แล้วก็เริ่มขนลุกนิดหน่อย เพราะจำไม่ได้ว่าห้องทำงานของเพื่อนพ่อผม คุณ Rikiya
นั้นอยู่ที่ไหน ต้องอาศัยภาพความจำที่มีในหัวเมื่อ 3 ปีก่อน เลือกประตูที่จะเปิดเข้าไป พอโผล่หัวกระเหรี่ยงไทย
ดำๆเข้าไป ก็เจอกับสาวน้อยใส่แว่น Maki Ogawa ซึ่งเป็นอาจารย์และเป็นผู้ช่วยของ Rikiya นั่งทำงานอยู่
หล่อนจำผมได้ แม้ว่าเราจะเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อน Maki เชิญให้ผมนั่งที่โต๊ะกลางห้อง แล้วก็ไปตาม
Rikiya มา
ทำไมผมต้องเอาของฝากมาให้คนเหล่านี้? นอกเหนือจากที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องห้องให้เราแล้ว
Rikiya ยังเป็นเพื่อนกับพ่อผมมานานตั้งแต่ทาทายังออกอัลบั้มครบล้านตลับ จะว่าเพื่อนมันก็ไม่เชิงเพราะ
อายุต่างจากพ่อผมเกือบ30 ปีเห็นจะได้ แต่รู้จักกันเพราะพ่อผมเป็นเด็กนักเรียนทุน East-West Center
ที่ส่งนักเรียนไทยไปเรียนที่ฮาวายในยุค 60s พ่อผมเรียนจากตรีจนจบเอกที่นั่น มีเพื่อนหลายคน
รวมถึงดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี และชาวญี่ปุ่นอย่าง Professor Hiro Ogawa ซึ่งภายหลังก็มาเป็นอาจารย์
สอนที่นี่ Rikiya เป็นลูกศิษย์ของ Ogawa แล้วภายหลังก็มาทำงานเป็นผู้ช่วย ส่วน Maki Ogawa ก็คือหลาน
สายตรงของ Hiro ที่ไปๆมาๆก็ได้มาเป็นผู้ช่วย Rikiya งงมั้ย ถ้างง ช่างมันเถอะ ..แต่คนเหล่านี้มีน้ำใจต่อ
ผมและพ่อมาช้านาน ทุกครั้งที่มาญี่ปุ่น เขาจะต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ ดูแลชนิดถึงไหนถึงกัน บางครั้ง
พ่อผมยังออกอาการเกร็งเพราะเช็คบิลค่าอาหารออกมาตกคนละ 35,000 เยน! ก็เลยเป็นเรื่องปกติที่เวลา
คนเหล่านี้มาไทย พ่อผมจะดูแลอย่างดีเสมอชนิดให้ยืมบ้านยืมรถใช้กันได้เลย
ผมไม่ได้ถ่ายรูปสองคนนี้มาเลยสักรูป แต่ Rikiya นั้นเป็นชายวัย 40 ต้น ผิวขาว ร่างผอมค่อนไปทางท้วม
ส่วน Maki นั้นเป็นสาววัย 30 ต้นผิวขาว หน้าตาเป็นมิตร ผมยาวถึงท้ายทอย ใส่แว่นกรอบทอง ถ้าบอก
ประมาณนี้คุณอาจจะนึกออก
ทั้งสองคนยังต้องเคลียร์งานอีกสักพักก่อนที่จะออกไปหาข้าวเย็นทานกับเราได้ เขาเลยพาเราไปนั่งโต๊ะ
ระหว่างรอก็มีขนมจากฮอกไกโดมาให้แทนเล่น ชื่อขนม Corn Chocolate ของ Hori เป็นข้าวโพดอบกรอบ
อัดแท่งแล้วเคลือบช็อคโกแล็ตขาว รสชาติโคตรอร่อยเลยครับ น้องๆกินก็ชอบ Corn Choc มาเกือบสิบอัน
ผ่านไป 10 นาทีสลายตัวไปหมดด้วยฝีมือของพวกเรา
สักพัก Rikiya ก็เคลียร์งานเสร็จ แล้วบอกให้เราเดินตามเขาไป ส่วน Maki ยังต้องสอบสัมภาษณ์
นักเรียนอีก 2 คนเมื่อเสร็จแล้วก็จะตามเราไป พอเดินลงมาถึงถนนชั้นล่าง Rikiya ก็เริ่มจ้ำอ้าว
พวกเราคนไทยชินกับการเดินช้า ขนาดว่าเราพยายามเร่งความเร็วขึ้นแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ทันกับ
สปีดเร็วกว่านรกของ Rikiya บอมบอกว่ากูเริ่มเข้าใจ Japanese Walking Speed แล้ว ถ้าคนญี่ปุ่น
บอกคุณว่าใช้เวลาในการเดิน 5 นาที อย่าลืมแปลงมันเป็นหน่วยไทยด้วยการคูณสองเพราะ
คนไทยเดินช้ากว่า
เนื่องจากไอ้ตี้กินเนื้อไม่ได้ แผนการที่ Rikiya จะพาไปกินร้านสเต็คโตๆเลยเลิกไป แต่เขาก็พา
เราเดินขึ้นทางทิศเหนือ ผ่านประตูตะวันออกของสถานี Suidobashi ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม
Tokyo Meets Port แล้วก็เลี้ยวขวาหายลงไปในชั้นใต้ดิน
“This is Japanese antique restaurant. Very Japanese” เขาบอกผมพลางพาเดินลงกะได
ไปยังร้านที่ชื่อ Bodaigyu (โบไดกิว) เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น..แต่ไม่เป็นไร งานนี้ให้เจ้าภาพ
เขาจัดให้แล้วกัน
อาหารจานแรกมาเป็นแซมเมิ่น (ครับ Salmon ไม่ได้อ่านว่าแซลม่อน แต่อ่านว่าแซมเมิ่น
ไม่เชื่อไปเปิด Dict ดู) เหมือนจะนึ่งมาแบบข้างนอกสุก ข้างในส่วนมากดิบ แล้วก็ราดซอส
ที่มีรสเปรี้ยวกลมกล่อม จานนี้ผมฟาดเรียบ แต่ไอ้ตี้ไม่ยอมแตะ
อีกจานเป็นชุด…เชอร์โนบิลชุบแป้งทอด..ผมไม่รู้จะตั้งชื่อแม่งยังไงดีครับเพราะแต่ละอย่างในจาน
มันใหญ่ผิดหลักสากลโลกทั้งนั้น หอยนางรมตัวใหญ่เท่ากำปั้นเด็กประถม หม่ำคำเดียวไม่หมด
กุ้งที่เห็นนั่นก็ยาวกว่าฟุต ผมไม่แน่ใจว่ามันคือกุ้งหรือส่วนประกอบแชสซีส์รถกระบะกันแน่
แต่ยอมรับครับว่าใหญ่ สะใจ! และอร่อยโฮก! เนื้อกุ้งงี้แน่นเปรี๊ยะๆๆ กัดทีนึงนี่ฟันกรามกระหยิ่ม
ราวกับได้มีเซ็กส์กับกุ้งอยู่ในปากผมเลยทีเดียว จานนี้เด็กไทย 3 คนรุมแย่งกันจนเกลี้ยงครับ
จานที่เหลือ ก็มีน้ำซุปต้มที่คล้ายชาบู เขาจะมีหมูในกระบอกไม้ไผ่มาขูดๆลงไปต้ม มีผักแกล้ม
นิดหน่อย แล้วก็มีซุปเต้าหู้รสชาตินุ่มลิ้น ไอ้บอมและไอ้ตี้กินกันไปอย่างมีความสุข ผมเองก็ชอบ
เพราะไม่ยักกะรู้ว่ามีของวิเศษอย่างนี้อยู่ห่างโรงแรมไปไม่ถึงกิโลเมตร กินเสร็จเช็คบิลออกมา
5 คน 20,000 เยนเศษ ตกคนละ 4,000 เยน (1,400 บาทไทย) ซึ่งแพงกว่าอาหารมื้อตามร้านครอบครัว
หรือฟาสต์ฟู้ดแน่ๆ แต่เทียบกับคุณภาพของสิ่งที่เราบริโภคไปแล้ว บอมบอกว่าโคตรรรรคุ้ม!
ขากลับ เราบอก Rikiya ว่าจะไปซื้อไอติมกินที่เซเว่นหน่อย Rikiya มองหน้าเหมือนพวกผมบ้า แล้วบอกว่า
พรุ่งนี้อากาศ 3 องศา ยังอยากจะกินไอติมกันอยู่อีกเหรอ? ผมมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้า “เออ อยาก!”
คนญี่ปุ่นทั้งสองเลยพาเดินข้ามถนนไปที่ Tokyo Meets Port ซึ่งข้างใต้จะมีร้านเซเว่นอยู่ ผมก็ซื้อพวก
ขนม เครื่องดื่ม และไอศกรีมมาอย่างเยอะ ในขณะที่ไอ้ตี้ไปค้นเจอการ์ตูนเล่ม Initial D ภาษาญี่ปุ่น
ก็เลยซื้อมาทั้งๆที่อ่านไม่ออก Rikiya ยังถามเลยว่า “อ่านออกเหรอ? ถ้าอ่านไม่ออก แล้วจะซื้อไปทำไม?”
ไอ้ตี้ก็พยายามจะตอบเป็นภาษาอังกฤษ ผมตอบให้ว่ามันซื้อเพราะเป็นของสะสม การ์ตูนเรื่องนี้
ฮิตในหมู่นักเลงรถในไทย Rikiya ได้แต่ยักไหล่แล้วทำหน้างงๆ บอกว่าเขาไม่เคยอ่านและไม่รู้จัก
การ์ตูนเรื่องนี้ ไอ้ตี้ได้แต่บอกว่าเพราะการ์ตูนเนี่ยแหละ ราคารถ AE86 มือสองในไทยแม่งพุ่งกระฉูด
เราแยกกับ Rikiya และ Maki ที่หน้าสถานี Suidobashi เนื่องจากทั้งสองคนควรได้เวลากลับไปพักผ่อนแล้ว
ทีมสามหน่อของเราก็ควรที่จะกลับไปพักด้วยเช่นกัน เพราะพรุ่งนี้จะมีตารางแน่นเต็มวัน และเป็นตาราง
ที่ต้องอาศัยการเดินเป็นระยะเวลายาวนานแถมยังไกลอีกต่างหาก
ถนนบริเวณที่พักยามค่ำคืน ไม่จ้อกแจ้กจอแจมาก แถมเด็กมหาลัยเพียบ มันเลยเป็นเหตุผล
ที่ผมชอบโรงแรมแถบนี้ไงครับ
มาถึงญี่ปุ่นแล้ว คืนแรกก่อนนอน ขอจัดสแน็ค JDM เต็มๆสักชุดเถอะวะ ไอศกรีมทางซ้ายที่เห็น
ลองแล้ว อร่อยหมดทุกอย่าง ผมชอบ Coldstone ถ้วยที่รสชาติแย่กว่ากินเองที่ร้าน (ในไทย)
ไม่มากนัก และห่อสีขาวนั่นดูธรรมดา แต่เป็นไอติมวานิลลา ไส้ช็อคโกแล็ตแผ่น ห่อขนมปัง
และอันล่าง เป็นโมจิเย็นหนืดนุ่ม บอมกับตี้ชอบ แต่ผมไม่ชอบ..ส่วน Pepsi Special
กินแล้วก็ไม่เห็น Special ตรงไหน รู้สึกว่าน่าเอาไว้ไปขัดเครื่องเงินเครื่องทองมากกว่า
ไอ้ตี้ก็อัพรูปการ์ตูน Initial D ที่มันซื้อมาขึ้น Facebook ผลกรรมของสิ่งที่มันทำคือ
มีเพื่อนสั่งซื้ออีกหลายเล่ม แบกไปเหอะเมิงอ่ะ
เอนกายลงนอน เสียงฮีทเตอร์ดังวิ้งวิ้วตลอด..ตกลงกูต้องเลือกใช่มั้ยว่าจะทนเสียงมัน
หรือไม่ก็ทนหนาวเอา อย่างไรก็ตาม เชอะ..ช่างมัน อย่างน้อยก็พาตัวเองมาถึงญี่ปุ่นได้
พนักงานจนๆ หาเงินพาตัวเองมาเที่ยวทริปในฝันได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2013
ผมเดินเอามือกำท้องออกจากห้องน้ำเหมือนคนเพิ่งกลับจากสงคราม คาดว่าอาหารที่เรานำเข้าไป
เมื่อวานนั้นอาจจะมีปริมาณมากเกินความจำเป็นไปสักนิด แม้จะปฏิบัติกิจส่งออกไปตอนเช้ามืด
แล้วรอบนึงก็ตาม นี่ก็ยังปวดตุ่ยๆอยู่เลย
นั่งที่โต๊ะ แล้วเอาแผนที่รถไฟญี่ปุ่นมากาง เมื่อคืนตกลงกับพวกน้องๆเอาไว้ว่าเนื่องจาก Autosalon
รอบวันศุกร์นี้เป็นรอบ Special Preview ถ้าเราไม่มีบัตรสื่อมวลชนไป ก็จะเข้างานได้ตอนบ่ายโมง
ดังนั้นตอนเช้าก็ควรจะไปหาอะไรทำก่อน ในฐานะที่ทริปนี้เป็นทริปเด็กโข่งบ้ารถ ผมจึงเสนอว่าจะพา
ไปเที่ยวที่ Honda Welcome Plaza ใน Aoyama ก่อนในช่วงเช้าเป็นการฆ่าเวลา ซึ่งพวกเลือด Honda
อย่างไอ้ตี้น่ะยิ่งชอบอยู่แล้ว
ผมดูแผนที่รถไฟ..ไปไม่ยาก แค่ไปสถานี Suidobashi แล้วนั่งรถไฟไปทางทิศตะวันตก ไปลงสถานี
Shinanomachi แล้วเดินลงทิศใต้ยาวๆหน่อยก็ถึง
เราเตรียมตัวให้พร้อม พวกเด็กๆใส่ชุดกันหนาวกันค่อนข้างเต็มยศ เพราะเมื่อวานเจออากาศโตเกียว
มกราราตรีไปแล้วจึงรู้สึกถึงความหนาวที่ดอยในไทยทั้งหลายยังไม่อยากเทียบ ส่วนผม ก็แค่เสื้อ
สองชั้น แจ็คเก็ตตัวนึง และกางเกงขายาว เราเดินลงมาชั้นล่างและไปที่เซเว่นเจ้าเดิมแถว Meets Port
เพราะบอมกับตี้บอกว่าที่นั่นมีถุงมือกันหนาวขาย และเป็นประเภทที่ใส่แล้วเล่นสมาร์ทโฟนได้ด้วย
ผมเลยลองเอาถุงมือของตัวเองมาใส่แล้วเล่นๆดู เออ!กูเพิ่งสังเกตเว้ย ว่าใส่ถุงมือแล้วเล่นไม่ได้
ถ้างั้นราคาเท่าไหร่ล่ะไอ้ถุงมือนั่น? 780 เยน? เอามาเลยคู่นึง
ซื้อถุงมือเสร็จก็เดินข้ามถนนไปกินมื้อเช้าที่ McDonald ตัวร้านมีขนาดพื้นที่เล็กกว่า Mc ในไทยมาก
แน่นอนว่าไม่มีการมานั่งติวหนังสือหรือพรีเซนต์ของขายตรงแต่อย่างใด ผมเลือกสั่งมัฟฟินที่สอด
Sausage แผ่น มีชีสเหมือนบ้านเรา แต่ที่นี่ McDonald JDM มีเบค่อนครับพี่! แน่นอนว่าผมสั่งมาทั้งชุด
พร้อมทั้งกาแฟเย็นมาด้วย ส่วนน้องๆสองคนนั้นผมไม่สั่งอาหารให้ แต่ให้พวกเขาพยายามหาวิธีสั่ง
และสื่อสารกับคนขายเอง
การพยายามสื่อสารกับคนญี่ปุ่นนั้นออกจะมีปัญหาอยู่บ้างเพราะเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรา เราก็ไม่เข้าใจ
คำถามของเขา วิธีการคือสั่งอาหารอะไรก็ได้ที่เป็นชุดๆ แล้วมีภาพ ก็ใช้ชี้จิ้มไปที่ภาพเอา อยากได้อะไรเพิ่ม
ก็บอก ใช้ภาษาง่ายๆแบบอังกฤษเด็กประถมเอาไว้แล้วชีวิตจะดีเอง อย่างเช่นแทนที่ผมจะสั่งอาหารว่า
“I would like to have set No.5, but for drinks I’d like to change to Iced coffee please.”
ผมก็เปลี่ยนให้มันง่ายขึ้น “อาโหน่….เซตโตะนัมบ้ะไฟวฟ์” ส่วนไอ้ที่จะเปลี่ยนเครื่องดื่ม ก็บอกแค่ว่า
“For drinks, Iced Kohhee…Okedeska?”(โข่ฮี้คือกาแฟในภาษาญี่ปุ่น ส่วนโอเก๊เดสก๊ะนี่ผมมั่วๆเอา
ประมาณว่า โอเคมั้ยยะหล่อน)
ผมมานั่งที่โต๊ะแล้วสักพัก สองหนุ่มค่อยตามมา มาเข้าใจทีหลังว่าที่ใช้เวลาในการสั่งนานเพราะ
ไอ้ตี้ไม่ชอบกินกาแฟขมๆ อยากกินช็อคโกแลต สุดท้ายได้กาแฟม็อคค่ามาอยู่ดี จากนั้นพอเริ่ม
กิน Hash brown ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นมีซอสมะเขือเทศ ..ผมมองไปรอบๆร้านก็ไม่มีซอสมะเขือเทศ
ท้ายสุดถึงรู้ว่าถ้าอยากได้ ก็ต้องเดินไปขอที่เคาน์เตอร์ที่คุณสั่งอาหารนั่นล่ะ แล้วเวลาให้เขาก็จะ
ให้ทีละไม่มาก คุณต้องบอกเองว่าจะเอากี่แพ็ค เขาไม่นิยมการเทกระจาดซอสแบบกดเยอะๆแล้ว
กินไม่หมด นิสัยประหยัดแบบนี้แหละครับที่ช่วยให้มีกินมีใช้ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงแบบนี้ได้
กินเสร็จแล้วก็เดินมาจะจับรถไฟที่สถานี Suidobashi ก็พบว่าป้ายบอกสถานีกับราคานั้นเป็นภาษา
ญี่ปุ่นหมด พยายามเอาแผนที่รถไฟของตัวเองมากางแล้วเทียบกันก็พบว่ามันแปลกๆ (ภายหลังถึง
ทราบว่ามันมีแผนผังรถไฟในตัวเมืองอีกอันที่เราลืมดู ไอ้อันที่ผมไปกางแผนที่เทียบนั่นเป็นแผนผัง
แบบข้ามจังหวัด)
จะแก้สถานการณ์นี้ยังไง? ไม่เห็นยากเลยครับ เดินเข้า Ticket Office ได้เลยไม่ต้องกลัว
คนญี่ปุ่นที่ทำงานภาคบริการ เขาบริการแบบถึงใจอยู่แล้ว กะอีแค่กระเหรี่ยงไทยสามนายอย่างเรา
ที่อ่านญี่ปุ่นไม่ออก เขาไม่ว่าอะไรหรอก เดินเข้าไปเจอพี่แว่น ผมก็ถามเขาว่า
“สุมิมาเซ็ง ทิคเก็ตโตะ ทู ชินาโนมาชิสเตชั่นเดส…ฟอร์ ทรี พีเพิ่ล” (นี่คือลูกมั่วไฮบริดภาษาอังกฤษ
ญี่ปุ่น ขอแนะนำว่าให้ใช้ที่ประเทศนี้ และอย่าไปใช้ที่อื่น มันวิบัติภาษา)
เขาก็ตอบรับ “ฮ้อย! ฉิน๊าโน่มาฉิเดส” แล้วก็กดๆคอมพิวเตอร์สักพัก จากนั้นก็ย้ายมากดเครื่องคิดเลข
ให้ผมดู “Three people” (แก็กๆๆ) “450 Yen” ผมก็โค้งๆ “ไฮ้! Four hundred fifty yen”แล้วเอาเงินใส่ถาด
วางให้เขาเป็นแบงก์พันเยน เขาก็วางตั๋วมาให้และทอนเงิน 650 เยนมาให้ด้วย เห็นมั้ย ง่ายจะตายห่า
รับตั๋วรถไฟมาก็มองรางที่ไปขึ้นให้ถูกทาง สถานีรถไฟญี่ปุ่นมักมีป้ายบอกว่าชานชาลาไหน สำหรับ
รถสายอะไร และมันวิ่งไปสถานีไหน ส่วนมากมักบอกสถานีปลายทางด้วย ดังนั้นถ้าเราจะจำสถานี
ก็ควรไล่ดูไปด้วยครับว่าสายนั้นมันวิ่งไปถึงสถานีอะไร มันลดโอกาสขึ้นรถผิดคันได้มาก
อย่างเช้านี้ ผมจะขึ้นสายเหลือง Sobu Line (Local) for Shinjuku and Mitaka เมื่อดูแผนที่แล้วเห็นว่า
สถานี Shinanomachi ของเรามันวิ่งไปทางตะวันตก ทางที่ไป Shinjuku เราก็ขึ้นชานชาลา 1 ซ้ายมือ
ถูกต้องได้ทันที
คนไทยเราชินกับรถไฟโบราณวัตถุเคลื่อนที่ของรฟท.มานาน มาเจอความนุ่มเงียบ พลังไฟฟ้า
ของรถไฟญี่ปุ่นก็อึ้ง การจัดที่นั่งของรถไฟพวกนี้ก็จะไม่ใช้ที่นั่งแถวขวาง แต่จะเรียงแบบเดียวกับพวก
รถ BTS ซึ่งอัดคนได้เยอะกว่า ยิ่งช่วงชั่วโมงเร่งด่วนนี่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ช่วยผลักคนเข้าตู้ แน่นยิ่งกว่า
ปลากระป๋อง ยืนทรงตัวได้โดยไม่ต้องจับอะไรเพราะตัวคนเป็นร้อยๆนี่ล่ะดันและคานน้ำหนักกันไว้เอง
เรามาถึงสถานี Shinanomachi จากนั้นเมื่อออกจากสถานีก็เลี้ยวซ้ายและเดินไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆ
ตอนนี้มีอินเทอร์เน็ตจาก Portable Wifi ใช้แล้ว ไอ้ตี้เลยสามารถใช้ Map ของ iPhone หาตำแหน่ง
ได้อย่างสบาย เราก็แค่เดินตรงไปเรื่อยๆ
แถบนี้น่าจะมีคนรวยๆอยู่เยอะ รถแต่ละคันที่เห็นไม่ค่อยธรรมดา มีทั้ง XK,XJ,XF,เบนซ์
มากหลายรุ่น แต่คันที่ไอ้ตี้และผมควักกล้องออกมาถ่ายพร้อมกันเลยคือ
C126 S-Class Coupe สภาพโคตรแห้งคันนี้ครับ เป็นปลื้มเลยทีเดียว
จากจุดนั้นน่าจะไม่ถึงกิโลเมตรดี ก็จะมาถึงสี่แยก ข้ามถนนไปฝั่งขวา
แล้วข้ามไปข้างหน้าอีกต่อหนึ่งก็มาถึงแล้วครับ Honda Welcome Plaza Aoyama
ชั้นล่างของที่นี่จะมีรถจอดอยู่ข้างนอก รถพวกนี้บางคันจะไม่ได้ล็อคเอาไว้ ที่เด่นๆสุดก็เห็นจะเป็น Honda N-One
คันสีเหลืองน่ารัก แต่คันที่ผมเห็นแล้วสะดุดใจที่สุดเห็นจะเป็น Honda Stream เจนเนอเรชั่นใหม่ที่
ออกมานานแล้วแต่ไม่ได้มาขายในบ้านเรา น่าเสียดายมากเพราะรถคันจริงดูสวย กร้าว คม ดูแล้ว
เหมือนกับแค่เป็นแฮทช์แบ็คที่ต่อท้ายยาวมากกว่าที่จะเป็น MPV อย่างที่รุ่นเก่าเป็น
เข้ามาภายใน ไม่ต้องสืบเลยครับ ผมพุ่งตรงไปที่..
ส้วมครับ ส้วมเท่านั้น ผมแบกภาระสินค้าล้นสต็อกมาตั้งแต่ตอนอยู่บนรถไฟแล้วครับ ห้องน้ำของที่นี่
ก็ประทับใจสุดๆ นอกจากจะมีระบบหัวฉีด PGM-FI ล้างตูดและล้างพะนานีส์ของคุณผู้หญิงตามปกติ
แล้วยังมีฟังก์ชั่นเป่าแห้งให้ ยัง..ยังไม่พอ ลมเป่าแห้งยังเลือกได้อีกว่าจะเอาแอร์หน้าหรือหลัง สุดยอด!
ดูแลการระบายสต็อคเสร็จแล้วผมก็ออกมาชมรถในโชว์รูม ถ้าเป็นรถพวกนี้ไม่มีคำว่าล็อคประตูครับ
เชิญเดินเปิดเล่นนั่งเล่นได้ตามสบาย คันที่ผมพุ่งไปของลองนั่งเป็นอันดับแรกเลยคือ N-One
ชอบมาตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยแล้วครับ รถคันนี้เป็น K-Car ขนาดเล็ก มีเครื่อง 0.66 ลิตร เลือกได้ว่า
จะเอารุ่นNAหรือเทอร์โบ ขับหน้าหรือขับสี่
N-One มีหน้าตาน่ารักน่าเล่น กระจังหน้านั้นมีให้เลือกลายหลายแบบ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีราว 6 แบบ
หรือมากกว่า มีล้อให้เลือก 4-5 แบบ มีการตกแต่งสีสันราวกับจะแข่งกับ Mini เลยทีเดียว ห้องโดยสาร
ไม่ได้ดูแย่อย่างที่คิด วัสดุและการตกแต่งผมว่าแข่งกับ C-Segment บ้านเราได้เลย ดังนั้นอย่าถาม
ว่า Brio กับ N-One ใครมีห้องโดยสารที่ดูดีกว่ากัน อย่าง N-One คันที่จอดในศูนย์นี่วัสดุพลาสติก
เกรดเหมือน Civic มีการตกแต่งด้วยลายไม้เทียมเงา ที่พวงมาลัยมีแซมวัสดุดำ Gloss มี SmartKey
แอร์ออโต้ นี่รถจิ๋วนะครับ แต่ไม่เหนียวอุปกรณ์..บางทีอาจจะเป็นเพราะราคาแพงด้วย บอมบอกว่า
เทียบราคาดูแล้ว N-One รุ่นสูงๆนี่เกือบซื้อ Fit Shuttle ได้เลยครับ
พูดถึงห้องโดยสาร ผมก็ลองนั่งดูครับว่า K-Car กับคนไซส์ผมจะเป็นอย่างไร
ก็อย่างที่เห็นว่าคนสูง 183 ซ.ม.หนัก 138 ก.ก.อย่างผมสามารถนั่งเบาะหลัง โดยที่มีคนร่างปกติสูง 186
อย่างเจ้าบอมนั่งหน้า และดูท่าแล้วไม่ได้คับแคบอย่างที่คิดเลยครับ ติดแค่ตรงที่ลักษณะของตัวเบาะ
ไม่เอื้ออำนวยต่อการนั่งทางไกลเพราะเบาะพิงหลังมันเตี้ย แต่ถ้าให้นั่งไปๆมาๆในเมืองสักช.ม.นี่
สบายครับ
จากนั้นเห็น CR-Z Minorchange จอดอยู่ แล้วบอมบอกว่าเป็นเกียร์ธรรมดา! ป๊าดด! อย่างนี้ต้อง
ขอลองนั่งสักหน่อย พอเข้าไปนั่งแล้วดูๆไปมันก็คุ้นเหมือนกันที่ Headlightmag เคยเอามาลองขับ
แต่เมื่อลองสับเกียร์ดูแล้วก็ผิดหวังครับ ฟีลลิ่งและความกระชับมันไม่ได้เหมือนรถสปอร์ตหรือรถที่
ทำมาเพื่อการขับเอามันส์อย่างที่ผมนึกไว้ตอนแรก น้ำหนักและระยะเข้ามันเหมือนรถบ้านแบบ
Civic Dimension เกียร์ธรรมดามากๆ แถมเกียร์ถอยหลังเข้าขวา-ลง โดยไม่มีวงแหวนใต้หัวเกียร์
ให้ปลดล็อคเกียร์ก่อน สับเกียร์1-2-3-4 น่ะง่าย แต่พอ 4-5 เมื่อไหร่ จะเผลอไปเข้าร่องเกียร์ถอยหลัง
แล้วทำให้เข้าเกียร์พลาด ผมไม่รู้ว่าเวลารถมันวิ่งจริงๆจะมีกลไกอะไรป้องกันตรงนี้หรือเปล่า
ถ้าไม่มีผมก็คิดว่ามันแย่กว่าเกียร์ของ 86 ครับพูดตรงๆ
ส่วนคันนี้ Fit RS Hybrid ครับ ออพชั่นดูเต็มพิกัดกว่าบ้านเรา ไอ้ตี้วิ่งถ่ายรูปเก็บรอบคัน อนาคตเมื่อ
คิดจะทำตัวแต่ง JDM จะได้มีภาพตัวอย่างไว้อ้างอิง ผมไม่สังเกตเห็นอะไรมากไปกว่าจอที่คอนโซลกลาง
ซึ่งใหญ่โตผิดวิสัยจอรถทั่วไปมาก นึกว่าสนามเปตอง
เออ..ก็ได้ จริงๆมันก็ไม่สนามเปตองหรอก แต่ใหญ่ไหมล่ะนั่น ลองเทียบกับขนาดช่องแอร์ดูเอาเอง
ส่วนอีกคันก็เป็น Fit Shuttle รถที่ผมคิดว่าน่าใช้อีกคันถ้าเสา C-Pillar เขาเก็บดีไซน์ได้เนียนกว่านี้
มุมของที่ระลึก เราพากันเข้าไปขุดเอาของเช่นเข็มกลัดเน็คไท ที่เป็นรูป Integra DC5, N-One และอื่นๆ
เช่นรถโมเดล Tomica คันเล็กๆที่การเก็บงานไม่เห็นจะสวยเลยสักนิด แต่ชิ้นที่ชอบมากๆคือ
เข็มกลัดที่ทำเป็นรูปเครื่องยนต์ K20A ฝาแดง ผมสอยมาอันนึงแน่นอน เช้านี้ยังไม่ทันจะไปไหน
ก็หมดเงินไปกับของที่ระทึกตรงนี้ราว 10,000 เยนแล้ว ไอ้ตี้สิยิ่งหนักกว่าเพราะมันหยิบเอาๆ นับไปๆมาๆ
ได้มากกว่า 30,000 เยน เหตุผลคือบ้า Honda จัด เจ้าลัทธิของแท้ต้องบูชาเป็นวัตถุมงคลครับ
ดูแม่.มซื้อ..
มาลำบากนิดหน่อยก็ตรงที่ไอ้คุณตี้เขาจะจ่ายด้วยบัตรเครดิต แล้วเจ้าตัวก็เกิดสงสัยว่า
บัตรเครดิตที่นี่รูดแล้วชาร์จหรือเปล่า ผมก็เลยต้องนึกบทว่าจะถามสาวน้อยหน้ามนที่แคชเชียร์
ยังไงดี ผมเลยเดินเข้าไปหาเขาก่อน “สุมิมาเซ็ง..เอ่อ.. อะโหน่….. เครดิตโตะคาร์ดโอเก๊เดสก๊ะ?”
(มั่วรูปคำเอาเองอีกเช่นเคย) พอเขาตอบว่า “ไฮ๊ โอเก๊” ก็แปลว่าใช้ได้ รอดไปหนึ่งสเตจ ยังเหลือ
อีกสเตจที่จะถามว่าชาร์จไหม และชาร์จกี่เปอร์เซ็นต์
“If use Credit Card, do you have additional charge?” ผมยิงไปเป็นอังกฤษ สาวเจ้าก็ได้แต่งง
โอเคๆๆ เอาใหม่นะ “Credit Card..how much you charge extra?” ก็ยังงงเหมือนเดิม…
สามนาทีต่อมาถ้าใครผ่านไปแถวนั้นก็จะเห็นหมียักษ์แจ็คเก็ตเขียวแทบจะเต้นบัลเลต์ท่ารูด
บัตรเครดิตบวกกับท่าปล่อยแสงอุลตร้าแมน จนท้ายสุด เราเข้าใจกันด้วยคำถามว่า
“Credit Card used. Any fee? 5 percent? 10 percent?” ทีนี้เขาเข้าใจ และขอโทษเราที่ต้อง
ให้ลำบากอธิบายกันนานกว่าจะรู้ “เครดิตคาร์ดโดะ อิน เจแปน ไฟว์ฟ ปาร์เซ็นโตะมอร์”
เป็นคำตอบให้ไอ้ตี้ ซึ่งวินาทีนี้ผมบังคับมันให้รูดบัตร เพราะถามแม่งแทบจะเต้นคองก้า
เหนื่อยจะบ้าตาย ถ้าเปลี่ยนใจไปจ่ายสด มึงโดนตบแน่ครับ
จากนั้นเมื่อซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือมา ภาพลักษณ์ทางการเงินของเราจะดูดีมาก
เพื่อ..? ไปขอโบรชัวร์รถต่อไงครับ! ให้มันรู้ว่ากระเหรี่ยงไทยอย่างเรามีเงินนะเฟ้ย ไม่ได้มาขอ
แบบตลกแจกฟรี ผมเดินไปหาน้องคนที่ยืนเฝ้าเคาน์เตอร์อีกด้านนึง
“สุมิมาเซ็ง แคตาโระกุเด่สก๊ะ” (พูดแล้วเอานิ้วชี้ๆไปที่เคาน์เตอร์) พนักงานสาวก็ต้อนรับอย่างดี
พลางถามเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมหมดมุขที่จะใช้ภาษาญี่ปุ่นแล้วเลยบอกไปว่า “I want….
เอ็งวัง (N-One), ซีอารึซีห์ (CRZ)” เขาก็โค้งไฮ้ แล้วจัดแจงหยิบเอกสารออกมาวางเป็นชุด
ท่าทางการจัดเอกสารนั่นคุณเห็นแล้วจะเข่าอ่อนครับ คือเขาหยิบออกมาเรียงกันเป็นแผ่นๆ
ราวกับพิธีชงชาก็ไม่ปาน แล้วก็อธิบายว่าเล่มไหน คืออะไร เปิดใบราคาและออพชั่นให้ดู
จากนั้นนำวางซ้อนกัน แล้วถามว่า “Anything else” (แน่ะ รู้แล้วอ่ะดิว่าชั้นไม่ใช่ญี่ปุ่น)
“ชตรีมม..(Stream) แอนด์ ฟิตโตะ (Fit) คุดาไซ” สาวเจ้าก็โค้งแล้วก็เริ่มพิธีการจัดเอกสาร
อีกครั้ง ละเอียดและละเมียดเหมือนเดิมเป๊ะ จบพิธีด้วยการจัดเข้ากองอย่างเรียบร้อย
แล้วบรรจงใส่ซองกระดาษอย่างดี
คุณลองไปศูนย์จำหน่ายรถยนต์ในไทยที่เป็นแบรนด์ Mass Market แล้วช่วยหาหน่อยว่า
มีที่ไหนบ้างเอาใจใส่ลูกค้าจนตัวลอยได้ขนาดนี้!!
เราออกมาจาก Aoyama แล้วทีนี้ก็จับรถไฟยาวจากสถานี Shinanomachi ไปลงอีกทีก็สถานี
Kaihin Makuhari ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณจัดงาน Tokyo Autosalon เลย การซื้อตัว ก็ไม่ยากอีกเช่นเคย
ผมเดินเข้า Ticket Office แล้วบอกชื่อสถานี จากนั้นชูนิ้ว 3 นิ้ว (3 คน) ค่าตั๋ว ตกคนละ 620 เยน
ถ้าคุณดูในแผนผังรถไฟแล้วไม่เจอ Kaihin Makuhari แต่ดันเจอ Kaihimmakuhari ก็ไม่ต้องตกใจ
มันคืออันเดียวกัน เพียงแต่ส่วนมากมักเขียน Kaihin ในขณะที่บางที่จะเขียน Kaihim เช่นในแผนผัง
การเดินรถไฟบางเวอร์ชั่นครับ
วิธีการเดินทางคือเราต้องขึ้นรถสายเหลือง (Sobu Line) ไปที่สถานี Yotsuya จากนั้นลงสลับไปขึ้น
รถสีส้ม (Chuo Rapid Line) ซึ่งเป็นรถที่ไม่หยุดทุกสถานี (ถ้าเห็นคำว่า Rapid=ไม่หยุดที่บางสถานี
ส่วนคำว่า Local=หยุดทุกสถานี จำให้ขึ้นใจนะครับรถบางขบวนก็ไม่ได้หยุดตามสถานีที่แจ้งไว้
ในแผนที่การเดินรถไฟที่เป็นแผ่นพับ)
ลงรถสีเหลือง ขึ้นสะพานลอยข้ามรางรถไฟ มีคุณป้าคนนึงที่เดินออกจากรถพร้อมๆกับเรา
แต่ผมเดินช้าแค่ไม่กี่ก้าว รู้ตัวอีกที่ป้าแกจ้ำอ้าวข้ามสะพานไปโผล่ที่ชานชาลารถส้มแล้ว ทั้งที่ใส่กิโมโน
ทั้งตัว ป้าแม่ง..แรงเยอะจริงครับ เราเดินตามไปแต่ไม่ทันขบวนรถสีส้ม ก็ต้องรอขบวนถัดไป
หลังจากนั้นพอขึ้นรถเสร็จ ก็วิ่งมาเรื่อยๆ ตีโค้งขวาเข้าหาสถานี Kanda และเราต้องลงจากรถ
กันที่สถานี Tokyo Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่กว่าท่าอากาศยานนานาชาติบางแห่งซะอีก
ที่ Tokyo Station เราต้องลงจากรถ Chuo Line แล้วเดินหารถสายแดง Keiyo Line ซึ่งโชคดีชิบตรงที่
มันอยู่อีกฟากหนึ่งของสถานีเลยครับ ไอ้เราก็ต้องเดินจ้ำอ้าวไปเป็นระยะทาง 1 ก.ม. ไม่ได้ล้อเล่นครับ
เพราะเราเดินไปสักพักก็เจอป้ายบอกทางไปชานชาลารถสาย Keiyo 800 เมตร! เดินกันจนขาลาก
แล้วก็ลงบันไดไปชั้นใต้ดิน ถึงพบชานชาลา Keiyo Line แม้แต่ที่ชานชาลา ก็ดูให้ดีว่าเป็นรถสายอะไร
ดูจากเวลาออก (สมมติเขาเขียน 14.15 นั่นคือเวลาที่รถจะปิดประตูและออกนะครับ ไม่ใช่เวลาที่มันจอด)
และดูว่าเป็นรถสาย Local หรือ Rapid ผมเลือกนั่งสาย Rapid เพราะมันจะข้ามสถานีเล็กๆไป
หลายสถานี ประหยัดเวลาเราได้มาก
ออกจากสถานี Tokyo Station ราวบ่ายครึ่ง นั่งเพียงประมาณ 35 นาที เราก็มาถึงสถานี Kaihin Makuhari
เมื่อลงจากสถานีแล้วก็เจอโปสเตอร์รณรงค์ลดพฤติกรรมเวิ่นเว้อบนชานชาลาดังนี้ น่ารักดีครับ
เดินลงบันไดไปชั้นหนึ่ง เมื่อถึงพื้นราบด้านล่าง เดินตรงไปตามทางเดินในร่ม ซึ่งจะไปชนกับห้าง
เราเดินอ้อมขวา แล้วเลียบถนนมาสักพัก ก็จะมีบันไดสะพานลอยขนาดใหญ่ มีผู้ชายคอยตะโกน
โหวกเหวกเป็นภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลา ผมฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เห็นบัตร Autosalon Staff ห้อยคอ
ก็เกิดประหวั่นพรั่นพรึงนิดๆว่าแม่งจะเกี่ยวอะไรกับงานที่เรากำลังจะไปดูหรือเปล่า?ยกเลิก!?
ตั๋วหมด!? ช่างมัน ตอนนี้เป้าหมายคือเดินไปยังสถานีจัดงาน คือ Makuhari Messe ให้ได้ก่อน
เราขึ้นสะพานลอย แล้วก็เลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันตก ระหว่างทางเดินนั้นก็จะมีคนตะโกนขายตั๋วผี
สองข้างทางตลอด แต่ผมไม่ได้แวะถามว่าราคาเท่าไหร่ เดินตรงมาเรื่อยก็ถึงทางเข้าอาคาร Hall 9-11
ซึ่งจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ วันนี้เป็นรอบ Special Preview ดังนั้นราคาตั๋วจึงสูงถึง 3,000 เยน
รอบเช้ามีแต่สื่อกับบุคคลรับเชิญที่จะเข้าได้ ส่วนกระเหรี่ยงไทยอย่างพวกเรา เข้าได้ตอนบ่ายโมงครับ
พนักงานขายตั๋ว นอกจากหน้าตาน่ารักแล้ว ยังยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อผมยกนิ้วชี้บอก 1 Ticket เขาก็
ตอบรับอย่างขันแข็งแล้วรับเงินจากผมไปนับ และจัดตั๋วมาให้อย่างรวดเร็ว ก่อนลาจากยังแถม
มีการอวยพร (ภาษาญี่ปุ่น..ผมเดาว่าขอให้เดินให้สนุกนะคะ อะไรทำนองนั้น) แล้วก็โบกมือบ๊ายบาย
แบบที่คุณมักเห็นได้ตามพวกวิดิโอคาวาอิ พวกสาวแบ๊วญี่ปุ่นเกาหลีประมาณนั้น..แปลกดี
ถ้าเมืองไทยทำนะ รับรองว่ามีพวก Cobrahead ขอเบอร์อย่างแน่นอน
ได้ตั๋วเสร็จก็เดินเข้าอาคาร Hall 9 ก่อน ตรงทางเข้านั้นจะอยู่ชั้นสอง เมื่อเข้าไปแล้วมองลงมา
ผมก็เห็นภาพเป็นมุมกว้าง..แม่เจ้าโว้ย! นี่แค่พื้นที่ราว 1ใน4 ของงานมันยังใหญ่โตได้ครึ่งหนึ่ง
ของงานมอเตอร์โชว์บ้านเราแล้ว กวาดตามองไปเจอแต่รถแต่งในสไตล์ที่ไม่คุ้นตา บ้านเรา
มักจะมีแต่ Drag กับ Drift แต่อันนี้เป็นแนวที่เตี้ยชนิดที่ไม่มีวันวิ่งบนถนนเมืองไทยได้
บ้านเรามีรถแบบนี้อยู่ก็จริง แต่ไม่เยอะแน่นตาขนาดนี้
เดินลงมาชั้นล่าง ร้านแรกที่เจอเป็นบูธของนิตยสาร MotorFan ซึ่งมักจับรถทีละรุ่นมาเขียน
โดยมีรายละเอียดขั้นตอนการวิจัย ออกแบบ พัฒนา รวมถึงบทความการลองขับ เผยสเป็ครุ่น
ต่างๆแล้วบางทีก็มีขับเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แม้ผมจะอ่านไม่ออก แต่บางทีเอาแค่ตัวเลขกับรูป
ก็ใช้เขียนบทความได้เยอะแล้วครับ ผมเลยหยิบมาด้วยความลิงโลด รวมแล้วน่าจะเกิน 10 เล่ม
ขายในราคา 480 เยน แล้วก็มีเวอร์ชั่น Reprint ของเล่มเก่าๆยุค 80s กับ 90s ขายด้วย ผมก็สอย
Corolla/Sprinter AE92, Bluebird U12, Silvia S15, S2000 มาด้วย รวมแล้วเด้งเป็นยอดเงิน
10,000กว่าเยน จัดลงกระเป๋าทีตุงและเต็มจนไหล่ทรุด
เดินชมงานต่อครับ..ลากไอ้กระเป๋าตุงๆนั่นไปด้วย อ้อมมานิดหน่อยก็เจอรถ Pontiac Firebird
จากซีรีส์ Knight Rider อัศวินคอมพิวเตอร์ ใครที่เกิดในช่วงปลาย 70s ถึงต้น 80s แล้วจำซีรีส์
บ่ายช่องสามได้จะทราบครับ เห็นแล้วแทบคุกเข่ากราบ
Swift รุ่นเก่าคันนี้แต่งโหดทั้งคัน แถมส่องด้านหน้ามีอินเตอร์คูลเลอร์ด้วย แปลว่าเป็นเพศหญิง
ผลงานสำนัก D Language
นอกจาก Swift แล้วยังมี STi และ Evo X ด้วย รถที่เพิ่งเปิดตัวไปปลายปี 2012 อย่าง 86 ก็มี
ว่าแต่น้องสองคนนั่นบังหน้ารถจังเลยว่ะ
Chevrolet Camaro Z28 รุ่นก่อนเปลี่ยนศตวรรษ ผมเดาว่าแรงบันดาลใจน่าจะเกิดจากอุทกภัย
ปี 2011 ในบ้านเรานั่นแหละครับ ก็เหมาะดีสำหรับคนที่ชอบรถสปอร์ตแต่แถวบ้านน้ำท่วมบ่อย
ผลงานของ Quadruped Customs ครับ
Lexus GS ใหม่ก็มีเอามาแต่งกันให้เห็นเยอะแล้วครับที่นี่ คันนี้ใส่ชุดเบรก CSD ดูขนาดจานเบรก..
นอกจากแต่งแบบรถซิ่งทั่วไปแล้ว 86 แต่งในแบบแรลลี่ทางฝุ่นก็มีครับ ดูแล้วแปลกๆ มันไม่น่าจะใช่
สไตล์ของรถแบบนี้เท่าไหร่
ZERO Sports ทำช่วงล่างแต่ง BRZ มาขายแล้วนะ
งานนี้มีบูธที่สุดจะเป็น “ศูนย์รวมแห่ง 86/BRZ” แยกบริเวณเป็นของตัวเองต่างหาก
แล้วยังไม่พอ ยังมีการส่งสมุนน้อยแยกกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ไอ้บอมเดินมุมนี้หน้าเซ็งเหมือนเป็ดพะโล้ตากแห้ง เพราะมันมีนิสัยส่วนตัวคือ
อะไรที่มาเป็นกระแสในปริมาณมาก เยอะไป มันจะไม่ค่อยชอบ ส่วนผมกับตี้ ไม่ต้องห่วง
ยิ้มปากแทบฉีกเมื่อเดินเข้าบริเวณอันทรงอิทธิพลของรถสปอร์ต Boxer นี้
เฮดเดอร์ NA แบบ 4 รวม 1 สำหรับ 86/BRZ
Greddy มีมิเตอร์ Multi D/A สลับสี และโชว์ค่าได้บนจออนาล็อกและดิจิตอล รุ่นนี้มีขาย
ในบ้านเรามาสักพักแล้ว ส่วนอันเห็นแล้วอยากขโมยเลยคือตัวปรับบูสท์ไฟฟ้า Profec รุ่นใหม่
ที่หน้าตาน่าใช้กว่ารุ่นเก่าอย่าง Profec B มาก
รถคันนี้โชว์ชุดคิทเทอร์โบของ Greddy โดยใช้เทอร์โบ T518Z เป็นของที่ชาวสูบนอนบ้านเรา
ลองแล้วให้การตอบสนองค่อนข้างดีในเครื่องเทอร์โบกำลังอัดต่ำของ Impreza แต่พอมาอยู่ใน
86/BRZ จะเป็นอย่างไร?
เขาเคลมมาไว้เท่านี้ครับ เพิ่มแรงม้าจากเดิมอีก 100 ตัว แรงบิดที่ล้อไม่มีต่ำกว่า 25 ก.ก.ม.
ตั้งแต่ 3200 ไปจนถึง 7200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ล้อ 30.0 ก.ก.ม. มีมาให้ใช้ตั้งแต่
3,800 รอบต่อนาที ใช้บูสท์ 0.5ก.ก./ลูกบาศก์ซ.ม. (รู้สึกว่ามันจะไม่เท่ากับ 0.5 บาร์เด๊ะๆนะ
แต่ใกล้เคียงกันล่ะว่ะ) ถ้าลองคิดย้อนกลับเป็นพลังที่วัดจากฟลายวีล เครื่องตัวนี้ก็คงมี
พลังพอๆกับ Impreza WRX STi นั่นเลย รับรองว่าแก้ปัญหาขาดแรงบิดของรถเดิมๆได้แน่!
ชุดนี้ราคาประมาณ 185,000 บาทไทย แต่ไม่รู้ว่ารวมค่าติดตั้งหรือยังนะครับ แปลไม่ออก
ไม่ค่อยจะโปรโมทกันเท่าไหร่เล้ยย Toyota เอ๊ยย ไปดึงทาคุมิมาซะงั้น
ชุดเครื่องมือติดโลโก้ 86…งานนี้อะไรๆก็ดูเหมือนสร้างมาเพื่อต้อนรับ 86/BRZ เหลือเกิน
ถ้าคุณเกลียดรถสองรุ่นนี้แล้วมาเดินงานนี้ จะรู้สึกเหมือนถูกโกงค่าตั๋วไป 30% แน่นอนเพราะ
มีแต่สองรุ่นนี้ท่วมงาน ไป Hall ไหนก็เจอ เดินไปสามก้าวก็เหยียบ
บูธ Up Garage มีมาอยู่แล้วเป็นของตาย ผมก็เพิ่งรู้ว่า Up Garage ก็เหมือน Autobacs
แต่ขายของมือสอง รู้มาจากไอ้ตี้เนี่ยแหละครับ เห็นมั้ย คนแก่กว่าไม่ได้รู้มากกว่าเสมอไปหรอก
ไอ้พวกคนแก่ที่หยิ่งแล้วทำเป็นคุยกับเด็กไม่รู้เรื่อง คุณจะพลาดของดี
บูธในงานก็มีสินค้าพร้อมจำหน่ายมาเหมือนกัน ผมลองส่องๆดูแล้วก็พบว่าราคาของส่วนมาก
ใกล้เคียงกับของมือสองที่ขายตามเว็บรถซิ่งบ้านเรานั่นแหละครับ แต่เจอ Water Temp
ของ Defi ราคา 3,600บาทไทย สภาพสวยด้วย นี่ล่ะดูเหมือนน่าซื้อ ส่วนเทอร์โบแต่ง และเทอร์โบ
มือสอง ตั้งไว้หมื่นนิดๆ ซึ่งบ้านเรารู้สึกว่าถ้าหาดีๆจะได้ของราคาถูกกว่ามากด้วยซ้ำ
กรี๊ดเมื่อเจอคันนี้ Toyota Chaser Turbo รถซาลูนขับหลังในฝันของผมมาตลอดทศวรรษ
แต่ชาตินี้อย่าหวังได้เป็นเจ้าของเลย
บูธ NGK เอาหัวเทียนหลากหลายรุ่นมาโชว์ พร้อมกับรถแข่ง Formula 1 ของ Honda
จากยุคก่อน ที่ใช้หัวเทียน NGK มาโชว์ด้วย
หัวเทียนมีครบทุกแบบ ทั้งเบอร์ 4,5,6,7,8,9 เกลียวขัน 14,16,20 ม.ม.
…ถ้าคุณคิดว่าครีบบนฉลามที่เป็นของแต่งคลองถมทุกวันนี้น่าเบื่อ..ลองครีบฉลามด้านข้างๆ
แบบของ 86 TRD ดูมั้ยครับ สำหรับผมขอบายครับ ไม่กินหูฉลามว่ะ
GoPro ญี่ปุ่น จับเอา Suzuki Swift Sport มาแต่ง ถอดกระจกส่องข้างออกแล้วแทนที่ด้วย
กล้อง GoPro (เพื่อ?)
Toyota Crown Athlete ตกแต่งโดย Modelista ซึ่งก็เป็นชุดแต่งคู่ขวัญ Toyota เช่นเดียวกับ
TRD, Tom’s นั่นแหละครับ โบรชัวร์ Toyota ตามศูนย์จะแนบใบตัวอย่างชุดแต่ง
Modellista มาให้ด้วยเกือบจะเป็นเรื่องปกติ
Lamborghini Murcielago ลายเสือดาว แทนที่จะกินแล้วแก้ไอ กลายเป็นสำลักแทน
มองมุมนึง..แนวดี เจ๋ง..มองอีกมุม โคตรทำลายรถ แล้วแต่ว่าจะใช้ตาใครมอง
Ferrari F12 Berlinetta ตัวจริง ผมได้เห็นคันแรกในชีวิตก็บูธนี้ล่ะครับ
ส่วนสองคันนี้ ผมคิดว่าคงเป็นแฟชั่นจากชาวนาวีในหนังเรื่อง Avatar ฟ้าแบบ..สดแรงๆ
ไอ้บอมกำลังคิด นี่มันล้อรถ ล้อเกวียน ปีกกระหัง หรือล้อเครื่องบินวะ?
Skyline Coupe V35 สีสันแสบแบบญี่ปุ่นปนเม็กซิกัน
Skyline Coupe V37 สีน้ำตาลด้าน ทำให้รถดูสับสนระหว่างแก่ปนวัยรุ่น
Hyundai Genesis Coupe มาจอดหลบมุมอยู่ริม Hall 11 แบบงงๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอ
แถมมาจอดติดกับฝูง 86 ฝูงใหญ่ ทำให้เห็นเส้นสายบางส่วนของรถทั้งสองที่คล้ายกัน..และบอกตามตรง
เส้นด้านข้างของ Hyundai ออกแบบมาได้น่าตื่นตากว่าทั้งๆที่แก่กว่ากันตั้ง 3 ปี
ถ้าเครื่องไม่ฟิต สตาร์ทติดยาก ลองนี่! น้ำมันเครื่องตราหมาหอน ของแท้ต้องหอนคืนพระจันทร์เต็มดวง
มีให้เลือกตามเหมาะสมกับรถของท่าน ทั้งสูตรหมาหนุ่ม หมาวัยกลางๆ และหมาชราภาพ
ร้าน Hobby Japan ขนรถโมเดลทุกอัตราส่วนทุกขนาดทุกรุ่นมา เล่นเอาสองหนุ่มผุดลุกผุดนั่ง
อยู่ในร้านนานครึ่งชั่วโมง ผมได้ NSX สีแดงคันวิ่งทดสอบ Nurburgring มาคันนึง ส่วนบอมนั้น
ถึงแม้จะพยายามไม่ใช้เงินเลยและเป็นคนเก็บหอมรอมริบดีที่สุดในบรรดาพวกเรา ท้ายสุดพอเจอ
โมเดล 1:18 ของ Cadillac CTS-V เงินก็บินออกจากกระเป๋าบอมจนได้ครับ
ระหว่างเฝ้ากระเป๋าให้สองหนุ่มช้อปรถโมเดล ผมก็เหลือกตามองเวทีข้างหลัง ดูเหมือนเขา
ประกวดอะไรกันอยู่ไม่ทราบ น้องคนนี้ชนะการประกวดครับ พอพิธีกรให้กล่าวอะไรสักอย่าง
น้องเล่นพูดไปร้องไห้ไป ฟังแล้วอยากจะร้องไห้ตาม เสียดายแปลไม่ออกว่าพูดอะไร คงจะรำพัน
ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ต้องซ้อมเต้น ต้องซ้อมเดิน ลำบากลำบนขนาดไหน แล้วอาจจะมีขอบคุณ
พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนของน้อง คนขับรถของบ้านของเพื่อนของเพื่อนของน้อง กำนัน ผู้ใหญ่ลีอีก
ที่เซอร์ไพรส์สุดติ่งคือ A-Class girl ที่ชนะการประกวดจากงาน Bangkok Autosalon บ้านเรา
ก็บินมาถึงที่นี่ มาโชว์และประชาสัมพันธ์งานที่จะจัดในบ้านเราปี 2013 ด้วยครับ!
คนญี่ปุ่นสปิริตดีมาก เขากรี๊ดกร๊าด ยิ้ม ตะโกนให้กำลังใจคนไทยเราไม่แพ้คนญี่ปุ่นของเขาเลย
(ผมเดาว่าตะโกนชม..คงไม่ใช่ตะโกนด่าหรอกว่ะ..อย่ามาดราม่า)
สำนัก Bensopra เอา 180SX S13 มาลงเครื่อง VR38DETT จาก GT-R จากนั้นโมดิฟาย
เพิ่มเติมจนมีแรงม้าสูงถึง 1,100 แรงม้า เรียกมันว่า 380SX ก็คงไม่ผิด
สำนัก Rasty ทำ 86 พ่วงเทอร์โบเช่นกัน แต่แนวคิดต่างจากสำนักอื่นๆตรงที่ใช้อินเตอร์คูลเลอร์
แบบติดตั้งด้านบนเครื่องเหมือนพวก Subaru Impreza WRX ข้อดีของมันก็คือการลด
ความยาวท่อทางเดินไอดี ทำให้ตอบสนองได้ไว ด้านหน้ารถโล่งหม้อน้ำรับลมได้เต็ม
แต่ข้อเสียคือการระบายความร้อนทำได้ไม่ดี อุณหภูมิไอดีจะสูงกว่าอินเตอร์คูลเลอร์วางหน้า
และทำให้ได้แรงม้าน้อยกว่า
Swift ดำด้านกับคาร์บอน แบบนี้คิดว่าเมืองไทยคงมีทำไปบ้างแล้วล่ะ
มุมนี้ได้เห็น Soarer สวยๆกับ FD3S ลายฟ้า แต่ที่แปลกคือ Cresta ของรองอาจารย์ใหญ่อุจิยามาดะ
แต่งซิ่ง ปีกหลังราวตากเนื้อแดดเดียว หลังคา Canvas นี่สิ จะแซ่บไปไหน
รถซิ่งยุคพวกเราอย่างแท้จริง จอดรวมกันแบบนี้ เห็นแล้วนึกถึงสมัยที่ผมยังไม่แก่ไม่ล้า
เขาซิ่งกันที่ไหนก็ตามไปดู คลองห้ามีงานนี่อย่าให้กูรู้นะมึง ไปกับเขาหมด..ตอนนี้ไม่ไหว ยานไปหมด
++++++++++
มาถึงตอนนี้ สภาพร่างกายผมเหมือนกับควายป่าโดนรุมโทรมเป็นที่สุด ขาเขอ ไหล่เหล่ยนี่
แทบจะหลุดเป็นชิ้นๆ นี่ขนาดเดินแค่ Hall 9-11 เท่านั้นนะครับ แต่อีกสองหนุ่มนั้นยังมีแรง
เหลือเฟือตามประสาเด็กๆ
“เดี๋ยวลองเดินไป Hall 1-8 ดูละกันนะพี่วันนี้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น” ไอ้ตี้บอก
“ฮ๊าาาาาาา!!” (เสียงใครโอดครวญคงไม่ต้องบอก)
เดินถูลู่ถูกังมาที่อาคารใหญ่ (Hall 1-8) …ผมนั่งพักเอาแรงขาที่เก้าอี้ซึ่งเรียงรายอยู่แถบด้านนอก
ของ Hall ดูของที่ไอ้ตี้ได้มา ผมไม่รู้มันไปหอบเอาโบรชัวร์กับสินค้าบ้าบออะไรมาเยอะแยะ
ผมว่าของผมมีหนังสือ MotorFan สิบกว่าเล่มนี่น่าจะเยอะแล้ว ไอ้ตี้มีเยอะกว่าผมอีกสองสามเท่า
เราก็เลยมองหาล็อคเกอร์ แล้วก็พบว่าทางตามทางเดินที่มีตู้กดน้ำเรียงรายนั่นแหละ
มีตู้ล็อคเกอร์อยู่เต็มไปหมด เราเลือกตู้ที่ขนาดใหญ่ที่สุด เอาของยัดเข้าไปจนเต็ม ทั้งตัวเหลือแค่
สัมภาระเบาๆเท่านั้น จากนั้นศึกษาวิธีใช้ ซึ่งก็ไม่ยากเลย แค่ปิดตู้ให้สนิท จากนั้นก็หยอด
เหรียญร้อยเยนให้ครบ 4 เหรียญ (400 เยน) เราก็จะสามารถล็อคตู้และดึงกุญแจออกมาได้
อันนี้คนที่คิดจะมาเดิน Auto Salon ในภายภาคหน้าควรจำไว้ครับ บางทีคุณซื้อของมาเยอะแยะ
ก็ควรเดินหาล็อคเกอร์ใหญ่ๆเอาของไปใส่ไว้ก่อน เพื่อที่จะเดินชมงานตัวเบาๆสบายๆได้
แล้วค่อยมาหนักตอนขนของกลับทีเดียว วันนี้ผมเป็นไอ้โง่เดินแบกหนังสือกับของพะรุงพะรัง
ทั้งวันก็เพิ่งจะรู้ว่ามันมีล็อคเกอร์ให้เช่าเนี่ยแหละ
เก็บของเรียบร้อยแล้วก็โผล่หน้าเข้าไปดู Hall 7-8 หน่อยดีกว่า
เท่าที่ดู ขนาดไม่ได้เล็กไปกว่าบริเวณ Hall 9-11 ที่ไปเดินมาเลย แต่เวลาเหลือน้อยแล้ว
งาน Auto Salon นั้นเขาไม่ได้เปิดกันยันสามสี่ทุ่มแบบมอเตอร์โชว์บ้านเรานะครับ ที่นี่ พอ 6 โมง
งานก็ปิดแล้วครับ
แม่เจ้าโว้ย เมิงจะสีขาวอะไรกันนักกันหนาวะ! ขาวไปจะหมดทั้งงาน!
RK Design มี Corvette ZR1 คันนี้ที่ดูเตะตา การตกแต่งมีแค่บอดี้พาร์ทกับล้อ ไม่ได้ไปแตะต้อง
เครื่องยนต์ ซึ่งเดิมๆมันก็เข็น Ferrari หงิงแล้ว น่าเสียดายที่ไม่กี่คืนหลังจากวันนี้ไป Corvette
Stingray C7 ก็จะเปิดตัวแล้ว
นอกจากนั้นก็ยังมี Fuga ที่แต่งแบบผสมลักษณะสปอร์ตลงไป ดูกลายเป็นรถที่น่านั่งขึ้น
สำนัก Wurde มี VW Beetle ตัวใหม่ กับ Porsche Panamera สังเกตสีที่ดูราวกับ
Brush aluminium ของ Panamera นะครับ ตอนนี้การทำสีหรือหุ้มสติกเกอร์ในลักษณะนี้
เป็นเทรนด์ที่มาแรงในงานนี้ ไอ้บอมมันบอกว่าเดินไปมุมไหนก็เจอ
ค่าย Junction Produce มี Bentley Continental Flying Spur, Porsche Panamera มาโชว์
แต่คันที่ผมชอบที่สุด ต้องนี่เลยครับ Nissan Cima ตัวถังแรก Y31 ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริง
ก็ที่งานนี้แหละครับ สมัยนั้นนี่ Cima ขนาดตัวถังและสไตล์ยังอยู่คล้ายๆกับพวก Cedric
อยู่พอสมควร
บูธล้อ W Works มี 6-Series Gran Coupe มาโชว์แล้ว รถตัวจริงสวยครับ ยิ่งใส่กับล้อลายนี้
ยิ่งดูซิ่งสะใจ แต่เวลาเปลี่ยนยางทีคงเท่ากับตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ-ริโอเดอจาเนโรได้
Dodge Challenger โหดแบบเรียบๆของ ARTIS
ชั้นชอบที่หน้าเธอกลม..ชั้นชมเพราะเธอยิ้มหวาน..ไม่คิดอะไรถ้าเธอจะหน้าบาน..
รถ 86 คันนี้เห็นห้องเครื่องดูคับๆก็อย่าแปลกใจครับ นี่คือ NATS V86F และเครื่องที่วางอยู่นั่น
ก็คือเครื่อง 2UR-GSE จาก Lexus IS-F ที่ถูกนำมาโมดิฟายต่อด้วชุดแต่งเครื่องจาก Tomei
ใช้กล่อง MOTEC M800 คุม แรงม้าที่เคลมไว้คือ 600 แรงม้า ..นี่มันเข้าถิ่นซูเปอร์คาร์แล้วโว้ย
ถ่ายมาให้ดูว่าวาง V8 ใน 86 แล้วอย่าหวังตัวถังสภาพเดิม 100% อย่างที่เห็นนี่ต้องทุบคาน
หลบไปไม่น้อยเลย ไฟร์วอลล์ก็ต้องดันกลับหลังไปพอสมควร ใครใช้ 86 จะวาง V8 ต้องยอม
ที่จอดข้างๆกันก็คือ NATS R86 ซึ่งพยายามดัดแปลงความเป็น Audi R8 ใส่เข้าไปในตัวถัง
ของ 86 บอกตรงๆว่าถ้าเห็นคันจริง ดูยังไงก็ดูไม่เหมือน R8 ครับ แต่ถ้าใช้มุมกล้องกับเลนส์
Wide Angle ช่วย ก็ดูเป็นเยอรมันได้นิดๆเหมือนกัน
สำนัก FAB Design จัดบูธมาโหดมาก มีทางเดินตรงเข้าไปยังห้องรับรองใจกลางบูธ
แต่มีบอดี้การ์ดตัวเท่า Tokyo Skytree เฝ้าอยู่ ผมว่าจะลองไปกราบตีนขอเข้าหน่อย
จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำ กลัวเละเป็นเนื้อทุบสิงห์บุรีอยู่ตรงนั้น
McLaren MP4-12C Spyder ตัวจริงสวยกว่าในภาพครับ มิติและเส้นสายของมัน
ออกมาดูเด่นกว่าตัวสองประตูเสียด้วยซ้ำ
MP4-12C ตัวสองประตู
SLS FAB Design
Lexus LF-A Spyder
บูธ Subaru “Proud of Boxer” เอาตัวแข่งและรถเวอร์ชั่นถนนมาโชว์หลายคัน ที่จอดอยู่ข้างหน้าเลย
คือ BRZ ที่แต่งเรียบๆแต่ใช้สีเลื่อมผสม ออกประกาย เทา+เขียว+ม่วง
ตามมาด้วย Subaru XV แต่งสีส้มแจ๊ดราวกับจะไปช่วยบริษัท ING ขายประกันชีวิต แต่พวกเรา
สามคนลงความเห็นว่าล้อ Enkei RPF1 ใส่กับบอดี้ของเจ้า XV นั้น..ไม่เกิดครับ
บูธ Suzuki ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้าม ก็มี Wagon R และ Swift Sport มาโชว์ มีโบรชัวร์ให้เราฉกกันด้วย
ดีมาก ชั้นจะได้ไม่ต้องไปหาถึง Hamamatsu
โว้วววว!!! อันนี้นี่ขาแทบอ่อนระทวย เกิดมาไม่เคยมีโอกาสได้พบ Ferrari F40 จอดเรียงกัน 3 คัน
แบบนี้มาก่อนในชีวิต และครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น F40 ของจริงในชีวิตผม มันก็เมื่อ 10 ปีก่อนโน่น!
บูธนี้เจ้าของรถหวงรถนะครับ มี Security Guard เฝ้ารถด้วย ถ้าพยายามแหกคอกเข้าไปจับไปคลึง
จะโดนด่า
ลิโม่แบบสุดติ่ง ใครคิดจะขับไอ้คันนี้ในกทม. กรุณาไปซ้อมขับรถเมล์ก่อนละกัน
Cadillac CTS-V คูเป้ของจริง! ไอ้บอมเห็นแล้วแทบทรุดลงไปกราบงามๆ นี่ถ้าเราอยู่ในเมืองไทย
โดยไม่ไปประเทศอื่น อีกกี่ปีกี่ชาติจะได้เห็นวะครับเนี่ย
+++++++++
เสร็จจากบูธนี้ เสียงอินเตอร์คอมของงาน Autosalon ก็ประกาศเชิญผู้ชมกลับบ้านได้แล้วโว้ยครับ
ลูกเมียถามถึง อย่าเดินช้อปเพลิน (อันนี้เสริมเอง)
ผมกับตี้ เรียกได้ว่าหมดแรงที่จะเดินต่อแล้ว มีแต่บอมที่รู้สึกว่าขามึงนั้นแข็งแรงเหลือเกิน
รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ผ่านการฝึกทหารมาทำให้เรี่ยวแรงของขานั้นสามารถ
ทนได้อย่างเหลือเชื่อ แต่..ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการที่มันไม่ต้องแบกกระเป๋าและถุง
ที่เต็มไปด้วยเอกสารและหนังสือมากมายอย่างเราสองคนก็เป็นได้
เราสูบของออกจากล็อคเกอร์และดูให้แน่ใจว่าดูดเอาของตัวเองออกมาหมดแล้ว จากนั้นก็เดินออก
ทาง East Exit ของอาคาร ข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้ามแล้วเดินบนสิ่งที่น่าจะเป็นสะพานลอย
ขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างสี่แยก เดินผิดหรือถูกก็ไม่รู้แต่ Sense ในการบอกทิศของผมมักจะไม่พลาด
เดินไปสักพักก็เห็นป้ายห้าง Plena ….ไม่รู้ว่าอ่านว่ายังไงในสไตล์ญี่ปุ่น แต่กูเนี่ยล่ะจะอ่านว่า
ห้าง “เปิ้ลนะ” (คำว่านะให้ออกเสียงอ้อนๆหน่อยจะน่าเตะดี)
ผมมองนาฬิกาแล้วใกล้ทุ่มนึง..แถมยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่มื้อเช้าที่แมคโดนัลด์แล้ว
ช่วงนี้คงมีแต่คนออกันเป็นมดที่สถานีรถไฟเพื่อกลับบ้าน ผมเลยเอ่ยปากชวนสองหนุ่ม
ไปเดินหาอะไรกินในห้าง “เปิ้ลนะ”กันดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองคนก็เห็นพ้องต้องกัน
เราผลักประตูเดินเข้าห้างเปิ้ล ผ่านร้านฟาสต์ฟู้ด Lotteria แต่บอมออกความเห็นว่าอยากกิน
อะไรที่มันเป็นญี่ปุ่นๆหน่อย ก็เลยเดินลึกเข้าไปในห้างอีก พบทั้งร้านราเม็ง ร้านซูชิ และร้าน
ข้าวราดแกงกระหรี่ ซึ่งราคาไม่ใช่ถูกๆเลย กว่าจะจบมื้ออาจจะทะลุพันเยนไปไกลมาก
บอมเลยชวนเดินขึ้นไปชั้นสูงขึ้นไปอีก ซึ่งที่ชั้นสี่ก็จะมีร้านอาหารอีกหลายร้าน
แต่พอเดินขึ้นไปถึงชั้นสี่ ก็พบว่าราคาอาหารยิ่งสูงกว่าร้านชั้นล่างๆอีก เราเลยเดินกลับลงมา
วนชั้นล่างกันอีกรอบ เจอร้านโคโค่ อิชิบังยะ ซึ่งเป็นเชนข้าวกระหรี่ที่มีในไทย เราเกือบจะตกลง
ปลงใจไปกับร้านนี้แล้ว เพียงแต่ว่าที่นั่งในร้านนั้นเป็นเคาน์เตอร์ขนาดเล็ก นั่งบนเก้าอี้สูงและ
คับแคบมาก ผมก็ไม่ค่อยโอเคนัก ท้ายสุดก็ไปจบที่ฟาสต์ฟู้ด Lotteria ..เอาวะ ดีเหมือนกัน!
มาญี่ปุ่นกี่ครั้งๆก็ได้แต่เดินผ่าน ไม่เคยได้ลองกินดูเลยว่าเป็นอย่างไร
วิธีการสั่งอาหารของผมค่อนข้างง่าย อย่าเรื่องมาก เขาเอาเมนูมีภาพมาให้ดูก็บุญชิบหายแล้ว
อยากได้อะไรที่เป็นเซ็ต ผมก็จะสั่งว่า “เซ็ตโตะ นั้มบะ x” (แทนค่า x ด้วยเบอร์ของชุดที่เราต้องการกิน)
ส่วนเครื่องดื่มนั้น ผมไม่รู้ว่าเขามีอะไรเป็นน้ำดำๆเขียวๆเหลืองๆให้เลือก เลยใช้คำว่า “โคล่า”
ในการสื่อสาร ซึ่งพนักงานก็เข้าใจดี เมื่อสั่งเสร็จ เขาจะยื่นใบเสร็จมาให้ แล้วเชิญเราไปยืนรอข้างๆ
ที่แค้นคือ พอไอ้ตี้กับไอ้บอมสั่ง พนักงานกลับจกเอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้พวกมันเลือกกัน
อย่างถึงใจ..ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกวะ?
ผมสั่งชีสเบอร์เกอร์ง่ายๆมากิน …เฮ้ย!โดน! เนื้อเบอร์เกอร์ของเขามันจะร่วนๆ แต่เคี้ยวแล้วรู้ว่า
เป็นเนื้อ และไม่ใช่แป้งปั้นรสเนื้อละกัน ชีสหอมมันหยาดเยิ้ม ผสมกับกลิ่นเบอร์เกอร์ที่ออกรส
เครื่องเทศและพริกไทยอย่างชัดเจน ตรงสเป็คมากครับ
แต่มีดีก็มีชั่ว นักเก็ตเขารสชาติเปรียบได้ดั่งส้นเท้า แข็ง ทื่อ ไร้รสชาติ กินแล้วแม็คนักเก็ตสเป็คไทย
อร่อยกว่ากันเป็นไหนๆ
สรุปมื้อนี้ หลังจากที่สั่งชุดชีสเบอร์เกอร์ แล้วยังกลับไปเอานักเก็ตกับไก่ทอดมาอีกชิ้น แถมยังมีน้ำส้ม
อีกแก้ว ผมหมดเงินไป 1,240 เยนโดยประมาณ ก็คือ 400กว่าบาทบ้านเรา ถือว่าแพงถ้าเทียบกับ
ปริมาณที่กิน แต่ไม่ได้แพงกว่าบ้านเราไปมากนักในขณะที่น้องๆอีกสองคน กินแบบพอเพียงและพอดี
หมดกันไปคนละราว 7-800 เยน
ชื่อ Lotteria แปลว่าอะไร…ผมไม่รู้ อาจจะเป็นคำผสมระหว่าง Lottery และ Bacteria
พอผมบอกอย่างนี้เด็กสองคนนั่นก็ชะงักอยู่ครู่นึง
“ก็ถ้ามึงโชคดีมากๆ แดกๆมันไปก็จะได้ถูกหวยเจอชิ้นที่มีแบ็คทีเรีย ถ้ามึงโชคไม่ดีจริงก็ไม่เจอ”
ผมตอบ..แค่หวังว่าวันนี้ผมไม่ขอโชคดีขนาดนั้นก็ได้เพราะส่วนมากสะอาด และปรุงสุกทั้งนั้น
จากนั้นประมาณสองทุ่มครึ่ง เราก็เดินย่ำฝ่าอากาศหนาวเหน็บมาที่สถานี Kaihin Makuhari
ขากลับนี่พวกเราดูแผงผังป้ายรถไฟเป็นแล้ว แต่ผมยืนอึ้งกับไอ้เครื่องซื้อตั๋วอัตโนมัติ เพราะไม่รู้จะ
กดมันยังไง หน้าตาเมนูมันแปลกๆ แต่จู่ๆไอ้ตี้ ซึ่งไม่น่าจะรู้อะไร กลับเดินปร๊าดเอาเงินจากมือผมไป
แล้วก็กดมุมซ้ายบนของจอ จากนั้นกดตัวเลขค่าตั๋วและจำนวนคน ออกมาเป็นตั๋ว 3 ใบ ใบละ 540เยน
ได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนมันเคยอ่านที่ไหนมาก่อน
“ยืนอยู่เฉยๆไม่ได้อะไรพี่..ของอย่างนี้ต้องลองปฏิบัติ ตี้ยืนเล็งคนข้างหน้ามันกดจนรู้แล้ว”
บทเรียนอีกบท..แก่..หรืออาบน้ำร้อนมาก่อน..หรือมาเที่ยวญี่ปุ่นมาก่อนแล้วหลายครั้ง..ก็ไม่สู้
ความช่างสังเกต และความกล้าที่จะลอง เด็กน่ะหลายครั้งมันฉลาดกว่าผู้ใหญ่อย่างเราเยอะ
ขอให้มันได้ลองทำเถอะ เราเองก็อาจจะได้ประโยชน์จากความกล้าและบ้าของมัน
ที่สถานีรถไฟ ผมลองเล่น App. InstaWeather ดู ได้ตัวเลขอุณหภูมิ -1 เซลเซียส เห็นแล้วดีใจ
แทบล้มวัวเลี้ยงหมู่บ้าน เพราะผมไม่ได้สัมผัสความหนาวแบบนี้มานานแล้ว ครั้งสุดท้ายในชีวิต
ที่เจอติดลบ คือสมัยเรียนอยู่ Kansas เมื่อ 15 ปีก่อนโน้นเลย
นั่งรถไฟมาลงที่ Tokyo Station โดยเดินหอบสังขารที่เหมือน iPhoneแบตใกล้หมดไปยัง
ชานชาลาของรถสาย Chuo แต่กระนั้นระหว่างทาง ผมก็ขอน้องๆแวะร้านขนมที่มีอยู่มากมาย
ในสถานีเพื่อถามหาขนมยี่ห้อหนึ่งซึ่งต้องการซื้อไปฝากใครบางคน แต่ก็ต้องผิดหวัง
ถามร้านป้า ป้าบอก “No have No have” ถามร้านน้า น้าก็ส่ายหน้า ถามร้านน้อง น้องก็ขำ
แล้วบอกว่า “เว ด๊องท์ แฮฟ ดัท” (We don’t have that)
ก็ช่างแม่งละกัน..ผมไปหาที่อื่นก็ได้ รีบกลับก่อนดีกว่า
ลงรถสาย Chuo ที่สถานี Ochanomizu แล้วต่อรถเหลือง Sobu Line อีกป้าย ระหว่างนั่ง
เจอป้ายโฆษณาเครื่องดื่ม ดูท่าจะอร่อยรสมะนาวดี ..เรียกมันว่าน้ำ “แค้นชู้ฮิ”ละกัน
ห้ามออกเสียงเป็นอย่างอื่นนะโว้ยครับ
กลับมาถึงห้อง ไม่ต้องรวมหมู่ดูทีวีอะไรกันมากแล้วครับ ส้นตีนระบม ร้าว ล้า ผมพุ่งกลับ
ห้องตัวเองแล้วก็จัดแจงเปิดน้ำร้อนแช่ขาอย่างรวดเร็ว เมื่อค่อยยังชั่วแล้ว บอมก็เดินมาเคาะ
ประตูห้อง เอายานวด Voltaren มาให้ ซึ่งอันนี้ต้องขอบคุณบอมมาก ยานวดดันเป็นอย่างเดียว
ที่ผมลืมแพ็คใส่กระเป๋ามา…
หนังสือและเอกสารที่แบกมาในวันนี้ อย่าลืมว่ายังมีของเล่นจาก Honda และโบรชัวร์ของเขาอีก
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม
ตื่นเช้ามาโดยที่ขายังออกอาการปวดอยู่ไม่หาย ผม LINE บอกน้องๆให้ลงไปเจอกันที่ร้านแดง
เพราะคิดว่าคงซื้ออาหารเช้าอย่างง่ายกินที่นั่น
ข้าวปั้นกับน้ำอะไรก็ได้สักกล่อง ดูจะเป็นทางเลือกที่ดี เวลาเดินทางไม่อยากแบกของไว้ในท้องเยอะ
เพราะประเดี๋ยวมันก็จะเรียกร้องให้เราปฏิบัติการส่งออก แม้ว่าเวลาที่ญี่ปุ่นนั้นจะเร็วกว่าไทย
2 ช.ม.แต่ท้องของผมมักนึกว่ามันอยู่เมืองไทย และมักจะออกอาการตามใจมัน
ขึ้นรถไฟอีกครั้ง คราวนี้ดูแผนผังที่สถานี Suidobashi แล้วก็เกิดไม่แน่ใจอีกครั้งว่ามันเท่าไหร่กันแน่
เพราะมีสถานีใกล้ๆกันที่ค่าตั๋วไม่ถึง 540 เยน บอมนั้นเดาว่ายังไงเสียก็คงเท่ากับขามา คือ 540 นั่นล่ะ
แต่ผมเล่นง่ายโดยเดินเข้า Ticket Office ไปอุดหนุนพี่แว่นอีกครั้ง “Kaihinmakuharides, three people”
แล้วก็ยอดออกมา 540 เยนต่อคนจริงๆ ก่อนจะหยิบตั๋วจรออกมายังไม่ลืม “Arigato”ให้พี่แว่นขายตั๋วอีกที
งาน Autosalon วันนี้เป็นรอบทั่วไปที่ประชาชนหน้าไหนก็สามารถเข้าได้ เราเดินออกจากสถานีผ่าน
ห้างเปิ้ลนะอีกครั้ง ถ่ายมาให้ดูว่าเปิ้ลจริงๆ
ทิวทัศน์รอบๆ Makuhari Messe เหมือนจะเป็นย่านธุรกิจขนาดย่อมๆโดยมีส่วนจัดนิทรรศการ
อยู่ตรงกลาง ทางทิศเหนือเป็นสถานีรถไฟ Kaihin Makuhari ส่วนทางตะวันออกจะเต็มไปด้วย
โรงแรมมากมาย ผมแนะนำว่าใครที่จะมาปีหน้าแล้วต้องการเดิน Autosalon แบบถึงใจสุดๆ
คุณอาจจะอยากลองค้นๆราคาโรงแรมแถวนี้ก่อนว่ารับได้หรือไม่ เช่น APA Hotel & Resort,
Hotel New Otani Makuhari, Hotel Green Tower Makuhari อะไรพวกนี้ เพราะเช้าขึ้นมา
ก็เดินไปงาน 6 โมงเย็นงานปิดก็เดินหาอะไรกินแถวๆนี้ มีเยอะแยะ แล้วพอจบกับ Autosalon
ค่อยย้ายตัวเองไปนอนโรงแรมที่ชอบที่ชอบ
วันนี้รถซิ่งมาเยอะ ไอ้ตี้เลยปักหลักตรงสะพานลอย คอยส่องรถซิ่งที่วิ่งผ่านไปมา
วัยรุ่นซิ่งที่นี่ก็เกรียนเหมือนบ้านเราแหละครับ ถนนว่างนิดๆหน่อยๆไม่ได้ ต้องกดปรู๊ดปร๊าดกันเล่น
แต่ไม่ค่อยมีซัดยาวๆ ส่วนมากเอาแค่เกียร์เดียวจบ ไม่งั้นเจอตำรวจซิวจะเป็นเรื่องเอาได้
หน้าตาตั๋ว Autosalon วันก่อนเป็นใบเขียว วันนี้เป็นใบแดง ราคาตกจาก 3,000 มาอยู่ที่ 2,000เยน
เราเข้ามาเดิน Hall 1-6 กันในวันนี้หลังจากที่เมื่อวานล่อ 7-11 ไปแล้ว ไอ้ตี้ปราดตามองงาน
จากมุมสูงแล้วก็บอกว่า “สงสัยได้เสียเงินที่ Hall แถวๆเนี้ยแน่” มันพิจารณาเอาจากป้ายยี่ห้อ
สำนักและของแต่งต่างๆที่เห็น..
ล้อ XXR ที่กำลังฮิตในบ้านเราตอนนี้ เห็นแล้วอยากจะฉกไอ้ XXR913ห้าแฉกนั่นกลับไปใส่
NX Coupe ชะมัดยาดว่ะ..ราคาขาย 16,000 เยน ก็ตกราววงละ 5,700 บาท (100เยน=
36บาท อัตราแลกเปลี่ยน) ถ้ามาถึงไทยแล้วเก็บเงินไหวคงขอโดนสักชุดครับ
Silvia S13 ณ พ.ศ.นี้กลายเป็นรถที่เริ่มหาดูได้ยากแล้ว ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจริงๆ พ.ศ.นี้
เป็นยุคของ 86/BRZ แทน
สาบานให้หอกหักว่าผมไม่ทราบจริงๆว่านี่คือ Jeep Grand Cherokee ครับ!จนกระทั่ง
ไอ้บอมบอก..ผมนึกว่าเป็น SUV ยุโรปหรือไม่ก็นิวเกาหลีสักรุ่น รถคันจริงสวยมาก
เส้นสายมันง่าย แต่ไม่มักง่าย ทำไม M-Class ไม่ทำให้ได้แบบนี้บ้าง?
Daihatsu Copen สีแสบ แต่งแบบโหดจนแม้จะย้อมชมพูทั้งคัน ผู้ชายก็ยังขับได้ล่ะวะ
รถสามล้อหน้าตากุดๆพิลึก มาวิ่งเมืองไทยเจอสิบล้อขนาบข้างทีเยี่ยวเหนียวแน่นอน
Shu-Produce บอกว่ารถกระป๊อก็เท่ห์ได้นะคร้าบ
จะดูรถ หรือคน ก็แล้วแต่ แต่ Toyota Century เป็นซีดานที่หารถแต่งซิ่งดูได้ยากเพราะความพิเศษ
ของตัวรถที่แต่ก่อนมีแต่คนในวัง ข้าราชบริพารชั้นสูงหรือนักการเมืองระดับสูงเท่านั้นที่มีใช้กัน
ทุกวันนี้ เสร็จสังคมรถแต่งหมด จับมากดซะ..
สำหรับ Fuga แดงเดือดคันนี้ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งเหลือบเห็นท่อไอเสียแถวสเกิร์ตข้าง
Toyota Crown Athlete แต่ง
Lexus GS โฉมก่อน กับโฉมก่อนหน้านั้น..สงสัยจริงๆเอามาวิ่งกรุงเทพจะไปได้กี่กิโล
ให้เดาว่านี่คือรถอะไร?
เฉลย..มันคือ 86 G’s Sport ที่แต่งรอบคันเสียจนนึกว่า TVR หรือ Jaguar ครับ
ชุดแต่งแต่ละชุดนั้น เขาบอกว่าเป็น Original Parts ซึ่งน่าจะแปลว่าคุณสามารถเดินเข้า
โชว์รูม Toyota แล้วสั่งชุดแต่งพร้อมกับการซื้อ 86 ของคุณได้เลย เสียดายที่ยังไม่มี
เอกสารหรือโบรชัวร์ใดๆแจกให้ครับ
ระหว่างเดินอยู่ที่บูธ Toyota ก็เจอใครคนนึงลากกระเป๋าใบโตมา เดินสบตากัน..
เห้ย! นั่นมันพี่แมน ทัศไนย ไรวาที่เป็นบก. CAR นี่หว่า ผมทราบก่อนหน้านี้แล้วว่า
พี่แมนจะมาร่วมงานนี้ แต่ประหลาดใจตรงที่ท่ามกลางคนนับพันนับหมื่น ยังอุตส่าห์
เดินมาชนกันได้อีก พี่แมนคือคนที่หยิบยื่นโอกาสเล็กๆแต่มีความสำคัญให้ผมเมื่อ 5 ปีก่อน
โดยในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กปริญญาตรีเงินเดือนน้อยจนแทบไม่มีเงินเก็บนั้น พี่แมนเสนอให้ผมลอง
ทำงานแปลภาษาดู กลายเป็นว่างานนั้นทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นของตัวเอง ลืมตาอ้าปากได้
มีเงินไว้ซื้อของแต่งรถได้ ต้องขอบคุณพี่แมนคนนี้แหละครับ
ไปดูรถกันต่อ.. Aqua G’s Sport (ย้ำ..ห้ามตกตัว r) คันนี้ ไอ้บอมอัพรูปส่งให้เจ้าตอยด์ของเรา
ที่เมืองไทยดู แทบจะกรี๊ดสลบ ถือว่าแต่งได้ดีละกัน รถเดิมๆมาค่อนข้างเหมือนปลาไหลหน้าจืด
แต่พอใส่ชิ้นหน้าใหม่ ใส่ล้อโตๆ กลับดูน่าสนใจขึ้น ที่สำคัญ มองหน้ารถ แล้วมองตาลุงแว่น
ใส่หน้ากากปิดหน้าตรงนั้น..เหมือนมันสัมพันธ์กันยังไงแปลกๆ
นี่ก็ 86 อีกเหมือนกัน แต่ใส่ชุดแต่ง GRMN (GR นี่เดาว่าคือ Gazoo Racing) พยายามทำด้านหน้ารถ
จนดูแล้วนึกถึง Lotus Evora กลายเป็นรถที่แปลกไปอีกแบบ
ที่บูธ Toyota มันก็ต้องมีแต่ Toyota เอา 86 ไปอีก.. คันนี้ แต่งสไตล์ TRD
และอีกคันใส่ชุดแต่ง Modellista ที่ค่อนข้างเน้นความเรียบหรูมาแต่ไหนแต่ไร เวลาคุณขอโบรชัวร์
Toyota สิ่งที่มักแนบมาพร้อมๆกันเสมอก็คือพวกชุดแต่ง TRD กับ Modellista นี่ล่ะครับ
ว่าแต่ไฟ Daylight กับกันกระแทกที่ประตูดูแล้วโคตรไม่เข้ากับรถ..หรือผมคิดไปเองวะ
Toyota Vitz Turbo ซึ่ง..ไม่ต้องมาลุ้นเลย..ตัวถังนี้ TMT ไม่เอามาขายแน่ และรถที่จะเปิดตัว
ขายเป็น Ecocarบ้านเราก็ไม่ใช่ตัวถังนี้ โอเค๊? รถคันนี้ฟังชื่อดูแล้วแทบจะเจี๊ยกเป็นโจ๊กโอ้โฮ
แต่จริงๆแล้วใต้ฝากระโปรงมันก็คือเครื่อง 1NZ-FE ติดตั้งเทอร์โบ ซึ่งบ้านเราทำกันไปกี่คันแล้ว
ก็ไม่รู้ คันนี้เรี่ยวแรงเยอะกว่า Vios Turbo ที่บ้านเราขายช่วงปี 2005อยู่ เท่าที่ลองสำรวจดู
มี CAT มีหม้อพักครบ จุดเด่นคงมีที่แรงและสะอาด แต่ถ้าเป็นชิ้นงานและพลังที่ได้ บ้านเราสู้ได้ครับ
รถตู้ดริฟท์! ไม่ได้เขียนเล่นๆ เพราะข้างๆกันมีจอ LCD ใหญ่ โชว์ภาพรถตู้คันนี้ดริฟท์ล้อเล่น
กับ S15 อย่างสนุกสนาน ตี้บอกว่า ท่วงท่ามันไม่ได้สวย..แต่เมื่อเทียบว่ามันคือรถตู้..ต้องคำนับ
ผลงานจาก Essex
สำนัก DAD ก็มีรถขนเพชรสองคันนี้ที่คนรุมถ่ายรูปกัน แต่โดยส่วนตัวแล้วผมกลับมองว่าเฉยๆ
ที่ชอบคือไอ้ตัวน้อยทางซ้ายของภาพนี่ นอกจากจะถ่าย SLS คันนี้รอบคันแล้ว มันยังซูมเก็บรายละเอียด
หน้ายาง เบรก น็อตปีกหลัง จนผมไม่แน่ใจแล้วว่านี่อายุเท่าไหร่กัน สมัยผมเด็กๆยังไม่ละเอียดขนาดนี้
ผู้เป็นพ่อที่เดินมา ก็คุยกับลูกแล้วชี้ๆเหมือนจะอธิบายอะไรสักอย่างเกี่ยวกับรถคันนี้ ดูแล้วปลื้มครับ
งานมอเตอร์โชว์ไทยกับ Autosalon ที่นี่เหมือนกันอย่างคือบรรดาตากล้องจะวิ่งรุมตอมบูธที่เอา
พริตตี้ออกมายืน รุมกันแบบแออัดยัดเยียดเลย แถมบังไลน์กล้องจนอยากจะต่อยกันสักครั้ง
แต่หลายคนมารยาทดี เขาถ่ายๆอยู่ที่เดิมไม่นาน ก็เดินออกมาวงนอก แล้วให้คนอื่นเข้าไปผลัดกันถ่าย
จากนั้นตัวเองก็ค่อยกลับเข้าไปถ่ายอีกครั้ง ผมสังเกตหลายคนแล้วที่ทำอย่างนี้ ณ บูธ Pirelli
ตอนแรกนึกว่า Chrysler แต่เอ๊ะ..นี่มัน Teana J31! เดินไปดูคอนโซลแล้ว ฟันธง! J31 แน่ๆ
แปลงหน้าซะแทบจะหลอกผมได้สนิท
ยัง..ยังมีหน้าเอาไฟท้าย Jaguar XJ มาใส่อีก สรุปนี่เป็นการชุมนุมระดับชาติใช่ไหม
เอ็งจะเอาทั้งลุงแซม เชอร์ชิล และซามูไรใช่มั้ย!
มาที่บูธ Honda เอา N-One มาโชว์แน่นอน ตัวนี้มาแรง สัญชาติญาณบอก Honda
พยายามโปรโมทสุดๆแม้ว่าราคาตัวรถจะถือว่าแพงใช่เล่น เกือบซื้อ B-Segment กลางๆได้เลยนะ
กระจังหน้าตัวอย่าง 8 แบบ ถ้าจะไม่ผิดเลือกลายได้มากกว่านี้อีก มีคน comment ว่า
ดูหลากหลายดี เหมือนมือถือรุ่นเก่าๆที่เปลี่ยนกรอบสีสันต่างๆได้
CR-V ตัวใหม่ ก็ถูกจับใส่ชุดแต่งมาโชว์ สำหรับผมชิ้นที่โดนคือกระจังหน้าครับ นอกนั้น
ดูมันจะเยอะไปหน่อย
Modulo Climax S2000 ที่เอามาใส่ชุดแต่งใหม่เพื่อปรับโฉมจากรถยุค 90s ตอนปลาย
(ปีที่มันเปิดตัว) ให้กลายเป็นรถที่เข้ากับปี 2013 ได้แบบไม่เคอะเขิน เอาจริงๆนะ ถ้าจะเอา S2000
มาใส่กันชนหน้าตาแบบนี้ขายในปีนี้หน้าตาก็ใช่ว่าสู้เขาไม่ได้ ผมเชื่อว่ายังมีคนอยากได้อยู่
บูธ Impul ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน นี่ Nissan Note เพิ่งออกมาปลายปีที่แล้ว ก็มีชุดแต่งมาให้เสียเงินแล้ว
รายละเอียดของชุดแต่งแต่ละชิ้น กันชนหน้าดูแล้วน่าจะช่วยผู้ว่ากทม.สานนโยบายทำความสะอาด
ถนนกรุงเทพได้ไม่ยาก
บูธนี้เป็นของวิทยาลัยเทคนิค Toyota นำเอาผลงาน Toyota 2000GT มาโชว์แต่…
มันไม่ใช่ 2000GT ธรรมดาเพราะคันนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน ไม่มีเครื่อง!
ภายในแม้บางชิ้นจะมีรอยตำหนิบ้าง แต่อายุรถจะครึ่งศตวรรษอยู่แล้ว เก็บมาได้ดีขนาดนี้
ก็ขอคำนับแล้วครับ มีหลายคนลองนั่ง..ใช่! ลองนั่งเล่นดูได้ครับไม่ได้ห้ามเลย แต่ผมไม่กล้า
เพราะประตูมันเล็ก และช่องที่นั่งมันแคบมากครับ น่าจะมีแค่ Lotus Elise เท่านั้นที่เล็กและ
ดูนั่งยากกว่า 2000GT คันนี้
สำนัก DAMD (อ่านว่าไงไม่รู้ ผมเรียก ดำ-ดี)ละกัน เอา LFT86 มาโชว์
ที่เรียกว่า LFT86 เพราะดีไซน์ของชุดแต่งรถรุ่นนี้ ทำมาเพื่อเลียนแบบ Lexus LF-A ไงครับ
ลองสังเกตจุดออกของท่อไอเสีย กันชนหลัง และชิ้นกันชนหน้าดูสิครับ ส่วนด้านข้าง คงทำอะไร
ไม่ได้มาก ถึงอย่างไร ผมก็มองว่าสวยเข้าท่า แต่ในภาพรวม ผมให้คะแนนรถของ GRMNมากกว่า
Honda Fit ติดตั้งเทอร์โบ ประหลาดใจมากที่มางานนี้ไม่ค่อยเจอ Fit ที่โมดิฟายแบบนี้มากนัก
ส่วนคันนี้ ไอ้ตี้เข้าไปแงะแกะเกาอยู่สักพักก็ได้ความว่าขนาดเทอร์โบที่ใช้ค่อนข้างใหญ่กว่า
เทอร์โบที่พวกเรามักเลือกใส่กันในไทยอยู่พอสมควร ทั้งโข่งไอดีและไอเสีย
Volkswagen Up! (ชื่อรุ่นของแท้ ต้องมี “!” ลงท้าย…ไม่ต้องห่วง สื่อมวลชนฝั่งยุโรปเริ่ม
ดราม่าเรื่องชื่อรุ่นของมันไปแล้วว่าจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา) รถเล็กจากค่าย VW ที่
นำมาตกแต่งโดย Sporttechnic ดูแล้วพยายามจะเป็น Abarth ยังไงก็ไม่รู้..แล้วไอ้บูธ
Abarth ข้างๆนั่นมันไม่ว่าอะไรเหรอ
บูธ Goodyear ปีนี้เอาธีมรถอเมริกันยุคคลาสสิคมาโชว์ Corvette Gen I (ไมเนอร์เชนจ์)คันนี้สวยมาก
ส่วนชะนีที่ยืนข้างๆนั่นแล้วแต่พิจารณาครับ สำหรับผม พริตตี้ไทยดึงดูดหนุ่มไทยกว่า
86 ของ URAS ที่น้า Nomura Ken จะใช้แทน R34 คันเก่า เห็นข้างนอกผมเดินผ่านไปไม่ได้สนใจ
มาทราบตอนหลังจากไอ้ตี้ว่าที่เห็นเนี่ย วางเครื่อง 2JZ-GTE แล้วโมต่ออีกนะครับ ทำเอาเสียดาย
น่าไปขอเปิดกระโปรงถ่ายสักหน่อย
++++
จากนั้น ก็เป็นเวลาคล้อยบ่ายเข้าไปแล้ว ผมเริ่มปวดขาสะสมขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็หิวมาก
จึงถามน้องๆว่าจะกินอะไรที่ไหนดี ..สรุปก็คือเดินหลบฉากไปข้างหลัง Hall ก็จะมีร้าน
มาตั้งเป็นซุ้มขายอาหาร ดูแล้วน่าจะราคาถูก แต่เห็นราคาแล้วเกือบกรี๊ดเหมือนกัน
ข้าวหน้าไก่ธรรมดาๆ ยังจานละ 830 เยนเลยครับ ไส้กรอกอันละ 130 เยน แต่บอมบอกว่าไม่ต้อง
ไปหาที่อื่นกินหรอก เพราะขนาดซุ้มเล็กๆยังราคาขนาดนี้ ไอ้ร้านหรูๆที่อยู่ตรงทางเดินรอบนอก
นี่ไม่ต้องไปสืบว่าจะแพงขนาดไหน
นี่ล่ะครับ ..ผมจกข้าวหน้าเนื้อหน้าหมูหน้าไก่หน้าแย้อะไรก็ตามมาจากซุ้ม แล้วก็สั่งไส้กรอก
เพิ่มอีก 3 ดุ้น ไม่มีน้ำ..เดี๋ยวไปกดตู้น้ำเอา แค่นี้ อาหารสำหรับ 3 คนก็หมดเกือบคนละพันเยน
เดินไปหาโต๊ะนั่ง..คนเต็มเลย ไม่มีที่นั่ง นึกไม่ออกว่าจะไปตรงไหนดี เห็นพื้นปูนว่างๆหน้าห้องน้ำ
ห่างประตูไปประมาณ 5 เมตร ผมก็เลยแจวเรือไปปักหลักกันตรงนั้น คนเดินผ่านเข้าออก
ก็มองบ้าง แต่ผมไม่อายว่ะครับ ช่วยไม่ได้ ที่นั่งมันเต็ม ก็นั่งเอาตูดถูพื้นปูนหนาวๆเย็นๆ
มือก็จ้วงข้าวกินไป แล้วสักพักดูเหมือนผมจะเป็นคนเริ่มเทรนด์ หลายคนเริ่มมานั่งในบริเวณใกล้กัน
พอรู้ตัวอีกทีมีเพื่อนแช่ตูดร่วมอุดมการณ์เกินสิบไปแล้ว
กินเสร็จแล้วก็ต้องส่งออก เพราะตามเวลานาฬิกาไทย ทวารหนักจะตอกบัตรเวลานี้พอดี
ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ หลังจากสำรวจแล้วยืนยันว่าห้องน้ำที่ Makuhari Messe Main Halls
ไม่มีระบบหัวฉีดล้างตูด 32 Bit แต่ยังใจดีมีกระดาษชำระให้สองม้วนเต็มๆ และเป็นกระดาษ
คุณภาพดีเสียด้วย
เดินออกจากห้องน้ำ ตกใจเล็กน้อยเพราะเจอชายฉกรรจ์ปานยากูซ่ายืนเรียงแถวกันอยู่
ตรงทางเดินห้องน้ำ ไอ้ผมก็ตกใจว่าพวกมึงเป็นแย้อะไรกันวะเนี่ยเห้ย
อ้อ..โอเค ผู้ชายพวกนี้เขามารอคิวเข้าห้องส้วมต่อ..เจ๋งว่ะ เข้าแถวเรียง 6 ยังกะเครื่องJZ
พอมีคนเดินออกมาจากห้องสุขา เขาจะไม่เดินเหยียบตีนเบียดสวนเข้าไป แต่รอให้เราเดิน
เคลียร์บริเวณออกมาก่อนแล้วจากนั้นก็สบตาแล้วเดินก้มหน้าเข้าคิวทิ้งระเบิดต่อไป
ผมมาญี่ปุ่นหลายรอบ แต่ไม่เคยต้องเข้าห้องน้ำที่มีอัตราความหนาแน่นของประชากรปวดขี้สูง
เช่นห้องน้ำสาธารณะแบบนี้มาก่อน ดูแล้วมันเป็นระเบียบดีจัง ถ้าเป็นบ้านเราก็อาจจะมี
ยืนรอคิว แต่คงไม่เข้าแถวเรียงแบบนี้ และถ้ามีใครเปิดประตูห้องน้ำ ก็คงพุ่งตัวไปรอเสียบทันที
+++++
มาต่อที่ Hall อื่นๆกัน..แรงยังเหลือโว้ย
รถกระบะเล็กและเก่าก็ยังแต่งเท่ห์ได้ แหมถ้ามันวาง SR20DET S15 อีกด้วยล่ะก็เมิงงง
AE86 “The Original 86” – ณ วันนี้ที่งานออโต้ซาลอน กลายเป็นวัตถุโบราณหายาก เพราะ
86/BRZ มารับหน้าที่สานต่อแล้ว อย่างไรก็ตามการได้เห็นรถรุ่นนี้ตัวจริงกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดี
Wiz Custom Builder โชว์รถโฟล์คเต่าสีไมโลด้าน หั่นหลังคาจนเปรตหลั่งน้ำตาให้
แผ่นภาพอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ
ตกใจ! บูธ Renault โผล่มาอยู่กลางงานรถแต่งรถซิ่งญี่ปุ่นได้ไง ไม่เคยพบเคยเห็น
อ่านหนังสือมาหลายเล่มไม่ค่อยมีใครพูดถึง วันนี้เลยได้เห็น Clio Gordini ตัวจริง
โฉมนี้อาจเป็นตัวสุดท้ายที่ใช้เครื่องวางหน้าขับหน้า เพราะโฉมต่อไป จะพัฒนาร่วมกับ SMART
และใช้แพลทฟอร์มแบบเครื่องวางหลังขับหลังแล้วนะครับ
RenaultSport Megane RS เครื่องเทอร์โบ 265 แรงม้า ลองไปนั่งดูแล้ว ตำแหน่งการขับขี่
ใช้ได้ ให้ฟีลเหมือนเป็น “ซูเปอร์คาร์บ้านขับหน้า” จริงๆ น่าเสียดายที่ Renault ยุติการทำตลาดในไทย
ไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเวอร์ชั่นตอนพลังของ Megane อาจสร้างฐานรถแฮทช์แบ็คขับสนุกได้ดียิ่งกว่า
VW Golf GTi
บูธ Nismo นำเอารถมาโชว์มากมายภายใต้ธีม Personalization Concept
Nissan Note ใหม่ แต่งแบบ Personalization Concept สวยและน่าซื้ออย่างบอกไม่ถูก
รำคาญก็แต่เจ๊เจ้าหน้าที่ข้างรถซึ่งยืนขวางวิวกล้องตลอด ขนาดจ้องหน้าด่ายังไม่หลบ
รถถ่านอย่าง Nissan Leaf ก็มีรุ่น Nismo Personalization Concept ที่ทำให้รถไฟฟ้าจืดๆ
ดูมีเสน่ห์น่านำไปซิ่งมากขึ้น
แบบจำลองโมเดล Nismo Shop ศูนย์บริการของนิสสันพันธุ์แรง ใครจะลองดูแบบไปเปิด
เป็น Speedshop ในบ้านเราไหมครับ?
รถแข่งคลาส GT3 ซึ่งเป็นรุ่น GT-R จะเด็กจะแก่ก็มาตอมคันนี้หมด ทิ้ง Juke Nismo ข้างหลัง
ที่มีคนมาดูบ้าง แต่ไม่อุ่นหนาฝาคั่งเท่าคันอื่น
บูธ Bridgestone ดูทึมๆ ไม่อลังการวี๊ดวิ่วแบบ Goodyear มี LFA มาจอดเรียกความสนใจอยู่คันนึง
บูธ Nippon Seiki ผู้ผลิตมาตรวัด Defi ยอดนิยมของนักเลงรถและหัวขโมยในบ้านเรา ขนมิเตอร์
มาโชว์ครบทุกรุ่น แต่ที่น่าสนคือ Smart Adapter ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสียบต่อ OBD II แล้วแสดงผล
ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นมาตรวัดค่าแบบต่างๆ ซึ่งผมมองว่าถ้าหากสามารถนำไปใช้กับพวก Tabletได้
แล้วนำไปติดตั้งในคอนโซลให้ดี โลกของมาตรวัดอาจเปลี่ยนโฉมหน้าไปเลยก็ได้ (ถ้ามันทำงานไวจริงนะ)
Nissan President อัครยานยนต์รุ่นสูงสุดของ Nissan ในยุค 90s ตอนต้น ก็โดนจับมาแต่ง
แต่คันนี้ เรียบมากจนงงว่ามาโชว์อะไรกันแน่..ล้อ?
แล้วพอเดินมาไม่ทันไร ก็เจอรถ Infiniti Q45 ซึ่งก็โครงเดียวกับ President นั่นแหละ แต่อิคันแดงนี่
ต่างจาก President ขาวคันตะกี้ราวสวรรค์กับนรก
ลองส่องภายใน ผมขอความกรุณาอย่าสังเกตแถวมือจับเปิดประตูครับ เพราะมันใช้วัสดุสีสันหน้าตา
เหมือนกับหัวเกียร์นั่นแหละครับ
Mazda Atenza เพิ่งเปิดตัวไม่นาน ก็มาโชว์ตัวในบูธของ Mazda ครับ รถตัวจริงเส้นสาย
ด้านหน้าสวย แต่พอเข้าไปนั่งข้างในแล้วกลับรู้สึกธรรมดาครับ ส่วน CX-5 ผมเองก็ได้ลองนั่ง
พบว่าไม่แคบอย่างที่คิด แต่แค่ไม่โอ่โถงแบบ CR-V
ที่แอบฮาคือไอ้ตี้เดินไปร้านขายของที่ระลึกบูธ Mazda ว่าจะไปซื้อป้าย Mazda “Axela” แท้ๆ
ไปฝากเพื่อนที่ใช้ Mazda 3…สักพักมันก็เดินไหล่ตกกลับมาบอกว่า “บ้าชิบหาย กะจะซื้อป้าย
Axela ให้เพื่อน ปรากฏว่าที่นี่มีขายแต่ป้าย “Mazda 3” เล่นเอาผมแอบฮาปนสมน้ำหน้า
86 กับชุดซูเปอร์ชาร์จ Centrifugal ของ HKS ซูเปอร์ชาร์จแบบนี้ก็มีโข่งไอดีเหมือนเทอร์โบ
แต่แทนที่จะใช้ไอเสียปั่น ก็ใช้การต่อสายพานรับแรงขับจากเครื่องยนต์แทน
บูธ Blitz กับสารพักชุดแต่ง อแด็ปเตอร์ และข้อต่อสำหรับออยล์คูลเลอร์ บูธนี้เอาของมาจัดเรียงไว้
น่าดู บอกราคาแต่ละชิ้นเสร็จสรรพ ไม่เหมือนพวกขายของบนเว็บในไทยบางราย ขายของมากมาย
บอกเบอร์ แต่ไม่ยอมบอกราคา
เทอร์โบแต่ง Blitz สำหรับ Mitsubishi Colt Ralliart Ver R. ราคา 189,000 เยน หรือ 68,000 บาทไทย
ใครรักใครชอบ ปี 2014 เตรียมเงินมาขนกลับบ้านกันเอานะครับ ส่วนกระเหรี่ยงไทยยาจกแบบผม
ขอใช้เทอร์โบเซียงกงเทียบไซส์ราคาไม่เกินหมื่นบาทต่อไปดีกว่า ไม่มีเงิน
ปิดท้ายรูปในงาน Tokyo Autosalon 2013 ด้วย Toyota 86 เทอร์โบ ของ Blitz
ไว้เจอกันใหม่นะคะ (ชั้นรักคอสตูมหล่อนเหลือเกินนน)
++++++
สารภาพตามตรงว่า ณ จุดนี้ แรงขาแทบไม่เหลือแล้ว ผลของการสะสมมาตั้งแต่เมื่อวาน
ทำให้วันนี้ร้าวเร็วเป็นพิเศษ แม้ว่าจะพยายามนั่งบ่อยๆแล้วก็ตาม ยังมีบริเวณงานอีกมากที่ผมยัง
ไม่ได้ไป รู้สึกว่าไม่ได้ออกไปดู Event ข้างนอกเลย และยังมีบูธใน Hall 1-2 อีกมากที่ไม่ได้แวะไป
อย่างเช่นบูธของ Signal แต่ไอ้ตี้อาศัยความไวและน้ำหนักที่เบากว่าในการเดินสำรวจไปทั่ว
มันกลับมาเจอผมที่จุดนัดพบพร้อมกับถุงมากมาย มีทั้งของแต่งและชุดมาตรวัด มิเตอร์ Defi!!
“มึงไปเอามาจากไหนวะ!!” ผมถาม
“ตรงซอกใกล้ๆบูธ Defi แหละพี่..เดินเข้าไปมีขายเพียบเลย ของมือหนึ่งสภาพดีมาก
ขายในราคาที่แพงกว่าของมือสองประเทศไทยไม่มากเลย”
ดูมัน…ซื้อมาทั้ง Water Temp Defi หน้าขาว Vac. หน้าขาว วัด Pressure หน้าขาว
แล้วที่จะบ้าตายห่าที่สุดคือเกจ์วัดสำหรับติดช่องวิทยุ DIN-Gauge เข็มแดงตัวเลขแดง
ซึ่งมันได้มาในราคาที่ถ้าผมทราบ..ผมจะวิ่งกลับไปซื้อแต่งานแม่งปิดไปละ
แต่เวรกรรมก็เล่นงานตี้ขากลับ เพราะในขณะที่ผมกับบอมมีโบรชัวร์กันคนละไม่กี่ใบ
ไอ้ตี้มีสินค้ามากมายจนเต็มเป้ แล้วยังต้องขยายรากออกมาใส่ถุงใบโตอีก เห็นแล้ว
ถ้าหากเกิดปรากฏการณ์ถุงแตก รับรองว่างานเข้ายาวแน่ครับ
เดินกลับกันดีกว่า ใช้เส้นทางเดินเท้าเดิม ข้ามสะพานลอยมาอีกฟากของถนน
แล้วก็เดินผ่านห้างเปิ้ลนะมา จากนั้นก็เดินดิ่งเข้าสถานีรถไฟเลย ไม่ได้แวะกินข้าว
เพราะคิดว่ายังไม่หิวกันนัก เดี๋ยวไปกินแถวๆใกล้ที่พักเอาแล้วกัน
นั่งรถไฟขากลับ ..ผมกับตี้นั่งเบียดกันไป เพราะความที่ตัวใหญ่มาก เวลาผมนั่งลง
คนญี่ปุ่นมักจะเลือกไม่นั่งติดกับผม เพื่อเว้นช่องแห่งความสบายเอาไว้ ไอ้ผมก็ไม่ได้นั่ง
แบบสบายใจนัก..ก็ใช้วิธีนั่งเบียดกับเสาให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะเอามือเกาะเสาแนบตัวติด
เอาไว้ พยายามกินที่คนข้างๆน้อยที่สุด คนที่นั่งข้างผมไปเป็นชายวัยกลางคน หมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์
ส่วนไอ้บอมน่ะ โชคเข้าข้างมันมั้ง คนที่ยืนเบียดมันอยู่เป็นสาวขาวสวยหมวยเก๋เท่ห์เป็นธรรมชาติ
ผมชี้ให้ไอ้ตี้ดูพลางด่าในใจ “ไอ้โชคดี!”
ผมลืมเม้าท์ไปใช่ไหมว่าไอ้บอมมันยืน? ใช่! มีที่นั่งดีๆให้นั่งมันไม่นั่ง มันยืน..ยืนขากลับ
เกือบจะตลอด ถ้าจำไม่ผิดขามาตอนเช้ามันก็ยืน ขาแข็งแรงมาก น่าเอาไปเป็นลูกหาบปีนเขา
หิมาลัยชะมัด
กลับมาถึงบริเวณ Suidobashi แล้ว ผมก็เริ่มถามไอเดียว่าอยากกินอะไรกันวะมื้อเย็น
คุณๆสังเกตกันไหม..การเดินทางไปเป็นหมู่คณะ มันจะมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่..เอายาสีฟัน
กับแชมพูไปเสมอ และเมื่อมีการประชุมคณะว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น คุณจะได้คำตอบว่า
“อะไรก็ได้” แล้วพอเราบอกชื่อร้านไปสักร้าน คุณจะได้อาการลังเลและครุ่นคิดก่อนจะอิดออด
และ “กินอะไรง่ายๆกว่านั้นมั้ย” หรือ “เอาอิ่มๆเต็มๆกว่านั้นไหม” หรือ “ไม่อยากกินไอ้นั่นไอ้นี่”
เรื่องปกติ แต่วันนี้ กู Commander CHENG เผด็จการ มาถึงญี่ปุ่น กู-จะ-ต้อง-กิน-ซูชิ ให้ได้!
ฝั่งตรงข้ามซอยที่ทะลุเข้าหลังโรงแรม มีร้านหนึ่งที่ชั้นล่างไม่มีอะไรเลย เห็นแต่ป้ายโชว์รูป
ซูชิกับอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ แล้วก็บันไดที่พาขึ้นไปชั้นสองเท่านั้น ผมไม่ฟังอีร้าดราม่าอีรมแล้วครับ
พุ่งตัวลากขาที่ปวดทุรนทุรายนั้นขึ้นไปทันที พอถึงชั้นสองก็มีประตูกดเปิด มีเสียงต้อนรับ
“อิรัชเชียมาเสะะะ” เป็นอันว่าร้านเปิด ใช้ได้ ผมยกมือชูสามนิ้ว อันหมายถึงสามที่นั่ง แล้วบริก๊อย
สาวก็พาไปนั่งที่ริมหน้าต่าง
ผมลงมือสั่ง “มาถึงถิ่น! กูต้องกินแซมเมิ่น กับไข่แซมเมิ่นอันเป็นจานโปรดของกูให้ได้!”
ไม่ต้องอะไรมาก! ผมสั่งเลย “ซุมิมาเซ็ง แซมเมิ่นซู้ฉิ แอนด์ อิคุหระซู้ฉิคุดะไซ”
(ใช้เวิร์บทูมั่ว สั่งไปตามฟอร์ม)
ปรากฏว่า บริก๊อยสาวแว่นทำท่าชะงัก…ผมก็เลยมองหน้า แล้วก็มองซ้ายขวาหาเมนู
ก็เจอเมนูเป็นกระดาษแปะไว้บนฝาผนัง ก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่รูปซูชิปลาแซมเมิ่น และไข่ปลาแซมเมิ่น
ปรากฏว่าที่เขาอึ้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจหรอกครับ แต่มันหมดครับ!!
Ai-Wayne Oey!!!! นี่ตูลากสังขารบ้าๆของตูขึ้นมาเนี่ยนะ เพื่อมากินสองอย่างนี่ แล้วไม่ได้กิน
แล้วจะทำยังไง รัฐบาลญี่ปุ่นชดใช้ตูได้มั้ย!!ไม่ได้!!! แล้วเอาไง!!! ก็นั่งกินต่อแหละ ฮ่วย!!
ด้วยความอารมณ์เสีย ก็เลยสั่ง “ชิเมะซาบะ” (อันนี้พูดคำเดียวเข้าใจ เพราะปกติเป็นคนที่
ขยันกินซูชิ/ซาชิมิในปริมาณมหาศาลและบ่อยมากอยู่แล้วตอนอยู่ไทย) มากระแทกสักที่ แล้วก็สั่ง
ซูชิเซ็ตโตะอีก รวมกับซาชิมิเซ็ตโตะ
พอผมสั่งเสร็จ บริก๊อยสาวแว่นก็เดินหายไป พวกเรามองหน้ากันอึ้งๆ..ไอ้นี่..เรายังสั่งไม่ทันเสร็จ
จะรีบไปไหนของมันวะ สักพัก..ก็อ๋อออออ…เขาไปหยิบเอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้
ผมนั่งหน้านิ่วด้วยความแค้นเล็กๆในขณะที่ไอ้สองคนนั่นสั่งอาหารจากเมนูภาษาอังกฤษอย่าง
สบายใจเฉิบ แล้วดิฉันล่ะ!! ตอนดิฉันสั่ง รู้ก็รู้ว่าพูดญี่ปุ่นผิดๆถูกๆ ไม่เอาเมนูอังกฤษมาให้แต่แรก!!
นี่มันไม่ใช่เดจาวูแล้ว ต้องเป็นวูจาเด มันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งเหมือนตอนกินร้าน Lotteria
แล้วอาหารก็ทยอยมาส่ง เรียกน้ำลายให้มารอใต้ลิ้นได้ไม่ยาก ผมลงมือฉีกซองตะเกียบ
อย่างกระหื่นกระหายราวสัตว์ป่าล่าเหยื่อ แล้วก็เริ่มลงมือกินอย่างอสูรกาย
รสชาติของชิเมะซาบะ หรือซาบะดิบดองน้ำส้มสายชูนั้น ต่างจากที่เคยกินมาทั้งหมดทั้งมวล
ในไทยโดยสิ้นเชิง แถมยังไม่เหมือนกับซาบะดองที่ผมเคยกิน ณ เกียวโตกับโกเบอีกด้วย
กลิ่นคาวปลาจะแรงกว่า แต่กลบด้วยสาหร่ายที่โปะบนเนื้อปลามาให้ ความเปรี้ยวน้อยกว่า
ซาบะดองสเป็คไทย แต่มีความมันมากกว่าและออกรสหวานชัดกว่า ส่วนซูชิปลาหลากหลายชนิด
และซาชิมินั้น ผมคิดว่ากุ้ง (เอบิ) ปลาหมึกดิบ (อิกะ) และปลาหมึกยักษ์ (ทาโกะ) มีรสชาติ
เหมือนกับซูชิที่กินมาที่อื่นๆ แต่มากูโระ (ทูน่า) กลิ่นคาวจัด ซาร์ดีนก็ค่อนข้างคาวเหมือนกัน
เนื้อปลาที่ให้ค่อนข้างเท่ากับร้านในไทย ในภาพรวมคือ ..อร่อยกลางๆ ผมรู้สึกว่ากินที่นี่
กับร้าน Sushi Den เซ็นทรัลลาดพร้าว หรือ Imoya ซ.สุขุมวิท 24 ที่ผมไปกินประจำ ร้านนี้
ไม่ได้ทำอร่อยกว่า..แต่อาจเป็นเพราะผมวัดด้วยลิ้นของคนไทยก็ได้นะ
กินปลาดิบแล้วฝืดคอ สั่งโอเด้งมาซดร้อนๆประกอบฉากไปด้วย โอเด้งนี่ ถ้าให้อธิบาย
มันก็คือน้ำล้างจาน (น้ำซุปที่ไม่ได้อลังการ พ่อผมจับเรียกน้ำล้างจานหมดแหละครับ) ต้มกับ
หัวไชเท้า ลูกชิ้นปลา หรืออย่างอื่นแล้วแต่จะมี รสชาติเปรียบได้กับแกงจืดฟักบวกกับ
น้ำต้มสุกี้ของไทย แต่ในเวลาที่อากาศแบบนี้ การได้ซดน้ำอะไรอุ่นๆปากมันก็รู้สึกดีเหมือนกัน
บอมมีความรู้เรื่องโอเด้งมาก่อนผมอีก มันบอกว่าโอเด้งสามารถซื้อได้ตามร้านเซเว่น ใช้วิธี
คีบหรือตักเลือกเครื่องที่ต้องการ แล้วยื่นให้พนักงานห่อ แล้วก็มีน้ำซุปแยกหรือเทรวม เอากลับบ้าน
ความฝันของมันที่จะกินโอเด้งมาตลอดชีวิต ได้เป็นจริงในวันนี้ ผมงงมากว่าในเมื่อไม่เคยกิน
แล้วมันรู้ได้ไงว่ามีโอเด้งขายตามเซเว่น (และมันก็มีจริงๆ!) บอมบอกว่า อ่านจากหนังสือการ์ตูนล้วนๆ
กินเสร็จ..เรายังมีปัญหาการสื่อสารกับบริก๊อยพอสมควร เพราะแค่จะเติมน้ำเพิ่ม พูดคำว่า
Water เขาก็ดูเหมือนไม่เข้าใจ ก็เลยใช้วิธียกแก้วขึ้นแล้วชี้นิ้วรูดจากก้นแก้วมาปากแก้ว
ก็เป็นอันว่าเข้าใจ “เติมน้ำย่ะหล่อน เร็ว!”
เวลากินตามร้านญี่ปุ่น ให้สังเกตให้ดี เวลาเช็คบิล บางที่จะมาโค้งคิดเงินให้ถึงที่โต๊ะ
แต่หลายร้านเลยที่จะมีแคชเชียร์ เครื่องคิดเงินอยู่ที่หน้าร้านใกล้ทางเข้าออก เรามีหน้าที่
เอาบิลที่เขาเหน็บไว้ เดินไปจ่าย แต่ไอ้บริก๊อยคนนี้มันไม่เอาบิลมาให้โต๊ะเรา ผมเลยแกล้ง
ด้วยการเดินไปแคชเชียร์โดยไม่มีบิล พอคิดเงินผมก็บอกแค่ว่า “Table Nine” แล้วมันก็ไป
ตามหาบิลกันให้หัวหงอกเอง
มื้อนี้กินสามคน หมดไป 5,100 เยน หรือราว 1,800 บาท ที่ถูกมากเพราะไอ้ตี้กินปลาดิบไม่เป็น
กินเนื้อก็ไม่ได้ ทั้งปีทั้งชาติกินเป็นแต่หมูกับไก่ พอมานั่งร้านแบบนี้มันจึงสั่งแต่ซูชิไข่หวาน
แล้วล่อไปหลายสิบชิ้นแทน
เดินกลับที่พัก..แวะร้านแดง ซื้อที่ตัดเล็บราคา 460 เยน เพราะทนไม่ไหวแล้วกับเล็บเท้าที่ยาว
จนทิ่มบุในรองเท้าเวลาเดิน ถ้าไม่ตัดให้สั้น วันอื่นๆจะเดินลำบากแน่ นอกจากนี้ก็ไม่ลืม
ซื้อไอศกรีมของ Morinaga มาลองด้วย
ไม่ต้องแปลกใจ ผมกินมันหมดนี่แหละครับ อยากจะบอกว่าอันล่างขวานั้นรสชาติดีที่สุด (เคยกินแล้ว)
ในขณะที่อันล่างซ้ายไม่ค่อยได้เรื่องเลย แต่ไอติมมันอันละ200เยนไม่เกิน คุณๆที่ไปเที่ยวกัน
อยากลองซื้อกินให้หลากหลายยี่ห้อก็ไม่ว่ากัน
คืนนี้นอนกันค่อนข้างดึก เราไปนั่งสุมหัวกันอยู่ที่ห้องทวินเบอร์ 919 ของบอมกับตี้ ดูทีวีโชว์
ญี่ปุ่นทั้งๆที่ไม่รู้เรื่อง ดูโฆษณาฮาๆ เคล้าไอศกรีม ผมบอกเด็กๆว่าพรุ่งนี้วันอาทิตย์ เอาแบบ
สบายๆนะ เที่ยวสบายๆ ไม่ต้องเดินเยอะมาก เราจะไปเจอรุ่นน้องของผมสมัยเรียนอยู่ที่
วิทยาลัยนานาชาติมหิดล ชื่อน้องเหมียว และก่อนที่จะเจอเหมียว เราก็จะไปสุสานยานากะ
ไปทำไม? เดี๋ยวก็รู้..
ผมปิดไฟนอนท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ
ร่างกาย อุ่นด้วยผ้าห่มกับฮีทเตอร์ที่ส่งเสียงวี้ไปตลอดคืน
ใจ อุ่นด้วยการคิดถึงคนที่เราคิดถึง และคิดว่าสักวันจะลากเขามาเที่ยวให้สนุกแบบนี้
คิดอีกทีไม่อ่ะ..สนุกของเราอาจจะไม่ใช่สนุกของเขา..มั้ง..คิดอะไรวะ?
[To be Continue ตอนต่อไป Tokyo Diary:3 เกลอท่องโตเกียว]