Toyota C-HR 1.8 Hybrid S (เวอร์ชั่นญี่ปุ่น)
มันคงมีโอกาสไม่บ่อยนัก ที่เราจะยอมจัดกันถึงขนาดนี้ แต่ในเมื่อใจสั่งมา เราก็เลือกที่จะยอมควักเงินส่วนตัวเพื่อเช่ารถคันนี้ขับเอง ซึ่งมีข้อดีตรงที่เราสามารถเลือกเส้นทางที่จะขับได้เอง และเลือกวิธีการขับได้ตามใจ เลือกผู้โดยสารรวมถึงถ่ายคลิปได้ตามใจ สังเกตดูได้ว่าปกติ The Clip จะมีแต่ถ่ายกลางคืน มีคลิปนี้ล่ะครับที่ถ่ายกลางวัน
รถรุ่นที่เรานำมาลอง คือ C-HR 1.8 Hybrid S ซึ่งถือว่าถ้ามองเฉพาะรุ่นที่เป็นไฮบริด รุ่นนี้ถือว่าเป็นตัวล่างๆ ล้อขอบ 17 แต่คันที่เราเช่ามานี้ มีระบบนำทางภาษาอังกฤษ มี Adaptive Cruise Control และมีระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลนมาให้
ถ้าไม่ใช่ว่าคุณชอบดีไซน์ภายนอกภายในที่กล้าได้กล้าเสี่ยง ผมคิดว่าส่วนที่เหลือมันก็คือครอสโอเวอร์ธรรมดาที่ทำตามแนวทางของ Toyota ที่พยายามจะ “สายกลาง” ไปเสียทุกอย่าง
ขุมพลังไฮบริด แรงเครื่องกับมอเตอร์รวมกันได้ 122 ม้า น้อยกว่า Prius 2011 ลงไปอีก 10 ตัว บวกกับล้อ 17 ยางแก้มหนา แถมน้ำหนักตัวเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนั้น หนักอึ้งระดับ 1,440 กิโลกรัม (หนักกว่า Mazda CX-3 ประมาณ 200 กิโลกรัม) อัตราเร่งที่ได้นั้นก็ขอให้นึกถึงรถบ้านพันห้าแล้วกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เรารับรถจาก Shimbashi แล้ววิ่งไป Kawaguchiko พร้อมทั้งขับหาโลเกชั่นถ่ายภาพ แล้วขับกลับตอนกลางคืน ใช้ความเร็ว 80 บ้าง 110 บ้าง และ 120 บ้าง ขึ้นอยู่กับ Flow การจราจรและการขับของคนส่วนใหญ่บนทางด่วนขณะนั้น (บางช่วงลองกดเล่นๆบ้าง) เราวิ่งไปประมาณกว่า 300 กิโลเมตร และเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองออกมาได้ประมาณ 21 กิโลลิตร ซึ่ง ประหยัดมาก อย่าลืมว่า 60% ของการเดินทางนั้น เราบรรทุกคนเยอะกว่ามาตรฐานปกติ (ตอนจับอัตราเร่ง เป็นจิมมี่+เติ้ง, นอกนั้นนั่ง 3-4 คน)
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อสมรรถนะ คืออากาศที่เย็นมากกว่าบ้านเรา ซึ่งช่วยเรื่องสมรรถนะ และอัตราการสิ้นเปลืองเพราะคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ต้องทำงานบ่อย แต่น้ำมันออคเทน 89 ที่่ต่ำกว่าบ้านเราก็อาจมาหักล้างพละกำลังส่วนที่ควรจะได้ไป เพราะบ้านเราออคเทนสูงกว่า และปกติเราจะเติมเบนซิน 95 ในการทดสอบที่ประเทศไทย
ตอยตั้งข้อสังเกตว่า Toyota รุ่นใหม่ๆ ที่เป็น Hybrid นี้สามารถวิ่งใน EV mode ได้นานกว่าสมัย Prius โดยเฉพาะในอากาศเย็นๆแบบนี้ เมื่อใช้ความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถอยู่ใน EV Mode เงียบๆได้นานมากกว่าเครื่องยนต์จะติด
พวงมาลัยเบาๆ ที่ความเร็วต่ำ แต่พอวิ่งเร็วๆแล้วก็ตึงมือขึ้นระดับหนึ่ง สำหรับคนรักพวงมาลัยไฮดรอลิกแบบผม..มันเบาไป และหุ่นยนต์ไปนิดๆ แต่สำหรับคนที่ชินกับพวงมาลัยไฟฟ้า และสาวๆ ผมว่ามันน่าจะพอดีสำหรับพวกเขา อัตราทดไวกว่าพวกอัลติสและวิออส ช่วงล่างวิ่งตรงๆ เหมือนจะแข็งและแน่นแต่โยกเปลี่ยนเลนแล้วยวบ..แต่ไม่เท่า HRV เบรกเบาระยะเหยียบยาว ฟีลลิ่งแสนจะไฮบริด
ภายใน มีพื้นที่มากกว่า CX3 แต่ต้องก้มหัวตอนเข้ารถมาก เบาะหลังมีที่แค่พอให้ไม่แมวดิ้นตายแต่ทัศนวิสัยดูอึดอัด การตกแต่งภายในสวยงามสมประเภทรถ รุ่นไฮบริด S นี้เป็นตัวล่างของไฮบริด แต่มี Lane Daparture Assist และ Adaptive Cruise Control มาให้
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย กว้างโตกว่า CX3 แต่ไม่เท่า HR-V มองด้วยตาเผินๆเหมือนจะเยอะ แต่กะด้วยรูปทรงของพื้นที่แล้ว จะไม่สูงเท่าของ Subaru XV
โดยสรุปแล้วมันเป็นรถที่สุดโต่งทางรูปลักษณ์ แต่มักสายกลางในเรื่องอื่นๆทั้งหมด พอขับเสร็จแล้วกลับรู้สึกรักอีเจ้า Noah ที่เป็นรถ Escort ประจำทริปมากกว่าเสียอีก แต่่บอกไว้ก่อนว่าผมเป็นคนที่เอาเรื่องดีไซน์ไว้ข้างหลังความสบายและความสนุกเวลาขับ ดังนั้น ก็อย่างที่เรียนไว้ตอนต้นว่า ถ้าคุณชอบดีไซน์รถคันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะกลายเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้เองครับ
LIKES
- สไตล์และดีไซน์ กล้าที่จะหลุดจากวังวน Toyota
- ช่วงล่าง นุ่มพอ และเกาะพอ แค่ไม่ถึงกับซิ่ง
- ประหยัดเชื้อเพลิงใช้ได้สำหรับรถที่หนักขนาดนี้
DISLIKES
- พนักพิงศีรษะเบาะหน้าแข็งและดันหัวสุดๆ ขนาด Moo Cnoe ปกติไม่ค่อยบ่น ยังบ่น
- พื้นที่ภายในไม่ถือว่ากว้างนัก เบาะหลังไม่แคบแมวดิ้นตาย แต่บรรยากาศ และ ช่องหน้าต่างมันทึบๆ
- อย่าคาดหวังเรื่องอัตราเร่งมากเกินไปสำหรับสเป็คญี่ปุ่น 122 ม้า
ชมคลิปกันได้เลย
—///—-
แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >> community.headlightmag.com/61956
บทความน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง : Exclusive First Impression : ทดลองขับ Toyota C-HR (1.8 Hybrid S CVT 2WD) : เช่ารถเพื่อลองขับในญี่ปุ่นไปเลยแล้วกัน ! >> http://www.headlightmag.com/exclusive-first-impression-toyota-c-hr-1-8-hybrid-s-cvt-2wd/