Toyota Fortuner 2.8 Legender 4WD (Minorchange) แพง แต่แรง ช่วงล่าง และออพชั่น ดีขึ้นกว่าเดิมจนปรบมือให้กับความพยายาม
1,839,000 บาท
Likes: พละกำลังดีขึ้น ช่วงล่างเกาะเกือบเท่า TRD เดิมแต่นุ่มที่สุดเท่าที่ Fortuner เคยมีมา Safety Equipment ให้มาจนใกล้เคียงคู่แข่งมากขึ้น
Dislikes: แพงกว่า Everest Bi-Turbo 40,000 บาท แอร์ออโต้ไม่แยกโซนซ้าย/ขวา อาการสะเทือนดุดๆสไตล์ Fortuner ยังเหลือให้รู้สึกบ้างโดยเฉพาะด้านหลัง
แต่ไหนแต่ไรมา ถ้ามีใครพูดถึง Toyota Fortuner เจนเนอเรชั่นปัจจุบัน สิ่งที่ผมจะจำได้ก็คือ มันเป็นรถที่ทำมาดีในหลายด้าน ยกเว้นช่วงล่าง ไม่ใช่ว่าไม่เกาะถนน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมวิศวกร Toyota ถึงเลือกที่จะเซ็ตช่วงล่างของ Fortuner ให้ดึ๋งดั๋งดุดดุจรถกระบะ แทนที่จะก้าวไปหาความสบายในสไตล์ SUV ซึ่งทั้ง Ford, Mitsubishi และค่ายอื่นๆเขาทำได้กันหมดแล้ว ถ้าผมต้องซื้อรถรุ่นนี้ใช้ ผมจะไม่ขออยู่กับโช้คอัพชุดเดิมนานเกินเดือน ต้องเปลี่ยนใหม่แน่นอน ส่วนรุ่น TRD Sportivo ที่ตามมาในภายหลัง แม้ว่าอาการดึ๋งดุดยังมีอยู่ แต่แลกกับความหนึบของช่วงล่างที่สาดโค้งได้มั่นใจขึ้น ก็ยังพอให้อภัยได้
แล้วในปี 2020 นี้เอง เหมือน Toyota นึกขึ้นได้ว่า This is an SUV ..Fortuner ควรทำตัวเป็นรถเสี่ยนั่งสบายได้ ลุยได้ ไม่ใช่ดุดๆๆเหมือนรถใช้แหนบ ทางวิศวกรช่วงล่างได้พิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าพวกเขาตั้งใจทำให้มันดี และถ้าฝ่ายบัญชีกับผู้บริหารโอเค พวกเขาก็ทำได้
เริ่มต้นจากชุดช่วงล่างสปริงแดงที่มีสเป็คคล้ายกับของรุ่น TRD ก่อนไมเนอร์เชนจ์ ทางทีมช่วงล่างได้ปรับสเป็คจากโช้คอัพ/สปริงชุดนั้น (พวกเขาไม่ยอมบอกตรงๆว่าสปริงเปลี่ยนค่า K เป็นเท่าไหร่ โช้คเน้นหนืดหรือนุ่มขึ้น) โดยมุ่งหวังให้มีความนุ่มนวลขึ้น ผลที่ได้จากการลองขับคือ มันนุ่มขึ้น อาการดุดๆๆๆที่พบเวลาวิ่งถนนปูนเร็วๆลดทอนลงไป จากเดิมที่ “น่ารำคาญโคตร” เหลือ “รู้สึกรำคาญนิดๆแต่พอลืมๆมันได้” นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการยวบของตัวถังได้ดี จังหวะโดดสะพานแตกต่างจากรุ่น 2.8V ก่อนไมเนอร์เชนจ์ชัดเจน ในช่วงความเร็วสูงกับการเล่นโค้ง Legender ใหม่ยังให้ความมั่นใจได้ 90% ของรุ่น TRD เดิม ซึ่งในความเห็นผม นี่คือ Fortuner รุ่นแรก ที่ถ้าหากให้ผมใช้ ผมก็สามารถใช้แบบเดิมๆ ไม่ไปทำช่วงล่างเพิ่ม
แต่ระวังไว้นิด..ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นรถที่นุ่มนวลชวนฝันนะครับ Pajero Sport กับ Everest ก็นุ่มกว่าอยู่ดี แต่ ณ วันนี้ Fortuner Legender มีช่วงล่างแบบที่ผมรับได้แล้ว อย่างไรก็ตาม Fortuner รุ่นปกติ (ที่ไม่ใช่ Legender) คุณไม่ได้ใช้ช่วงล่างชุดนี้นะครับเตือนไว้ก่อนเดี๋ยวลั่น
อัตราเร่งและการตอบสนอง ก็ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมแบบชัดเจน รับรู้ได้ตั้งแต่ช่วง 2,000 รอบต่อนาที ใช้คันเร่งเพียงครึ่งเดียวก็ทะยานดังใจ Fortuner 2.8 เดิมนั้น มีคาแรคเตอร์เครื่องแบบที่ผู้ใหญ่ชอบอยู่แล้ว รอบต่ำและกลาง ยืดหยุ่นดี ไม่ต้องกดคันเร่งลึกก็พุ่ง แต่รอบปลายจะแห้งเหี่ยวชวนนึกถึงชีวิตหลังเกษียณ ในรุ่นใหม่นี้ กราฟแรงบิดยกขึ้นทุกช่วง และด้วยเทอร์โบที่ปรับปรุงใหม่ ทำให้รอบปลายลากแล้วลื่นขึ้น ดุขึ้น ช่วงส่งต่อเกียร์รถโดดไปข้างหน้า เป็นที่ปลาบปลื้มแก่วัยรุ่นตีนหนัก (รวมถึงวัยแก่คะนองเดชอย่างผม) การทำงานของคันเร่ง ประสานกันกับเกียร์ คาดเดาง่าย มันอาจจะไม่แสนรู้เท่าเกียร์ 10 จังหวะของ Ford แต่ไปชนะตรงที่มีโหมด Manual พร้อม Paddle shift ที่เข้าใจง่าย ทำตามสั่งตรงไปตรงมา
นอกจากแรงขึ้นแล้ว เครื่องยนต์ 1GD-FTV 2.8 Generation II “เฉพาะใน Fortuner เท่านั้น” มีการติดตั้ง Balance Shaft เพลาถ่วงสมดุลย์ที่ตอนล่างของเครื่อง ที่ทำให้ความสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ลดลงจากเดิม เรียกได้ว่าจะด้านบู๊หรือด้านบุ๋น คุณได้สิ่งที่ดีทั้งคู่ จุดนี้คือสิ่งที่ผมขอชมเชยอีกจุดใน Fortuner รุ่นใหม่นี้
ส่วนพวงมาลัยที่มาพร้อมกับระบบแปรผันน้ำมันเพาเวอร์เพื่อการควบคุมน้ำหนัก (น้ำหนักพวงมาลัย ไม่ใช่คอร์สไดเอ็ท) Variable Flow Control นั้น ผมรู้สึกถึงการทำงานของมันมากกว่าระบบที่อยู่ใน Hilux Revo เสียอีก อาจจะเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักรถและขนาดล้อและยาง แต่โดยรวม มันเป็นพวงมาลัยที่มีน้ำหนักดี ที่ความเร็วต่ำไม่ได้เบานัก ที่ความเร็วสูงค่อนข้างแน่น อาจจะมีความรู้สึกประหลาดนิดๆกับระยะฟรีพวงมาลัยแต่ผมมองว่าโดยรวมก็ยังดีกว่า Pajero Sport และไปแพ้พวงมาลัยไฟฟ้าของ Everest ตรงเรื่องการส่งแรงกระแทกจากถนนมาถึงมือ ซึ่ง Ford จะซับเก็บได้มาก เบามากที่ความเร็วต่ำ หนักแน่นที่ความเร็วสูง เป็นที่หนึ่งในคลาส (เฉพาะพวงมาลัย..ไม่ใช่เกียร์หรือเครื่อง)
ส่วนภายในนั้น แม้จะมีรูปทรงของเบาะนั่งและแดชบอร์ดคล้ายเดิม แต่ก็เปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยในหลายส่วน เช่น จอภาพคอนโซลกลาง 9 นิ้ว พร้อมเครื่องเสียง JBL ที่ให้คุณภาพเสียงดี มีฟังก์ชั่นกล้องรอบคันที่ปรับส่องได้หลายมุม ระบบมัลติมีเดียรองรับ Apple CarPlay และมาพร้อมระบบ T-Connect ที่ใช้สมาร์ทโฟนสื่อสารกับตัวรถ ตรวจสอบสถานะรถ รวมถึงสามารถค้นหาตำแหน่งรถได้ (เคสนี้เพิ่งดังไปเมื่อวานที่มีคนโดนขโมย C-HR แล้วใช้ระบบนี้ตามรถจนดักจับคนร้ายได้) แผงมาตรวัด ลดความสปอร์ตลง แต่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ส่วนภายในสีดำตัดขาวนั้น จะมีเฉพาะตัว 2.8 Legender 4WD เท่านั้น รุ่น Legender 2.8 ขับหลัง, 2.4 ทั้งขับสี่และขับหลังจะเป็นสีดำตัดแดง
แต่อุปกรณ์ที่ยินดีต้อนรับมากๆ ก็เห็นจะเป็น Toyota Safety Sense ที่มีระบบ Pre-collision System ระบบ Lane Departure Alert พร้อมดึงพวงมาลัยเข้าเส้นทาง และระบบ Dynamic Radar Cruise Control ซึ่งแม้จะไม่ได้มาพร้อมฟังก์ชั่นชะลอหยุดและกด RES ไปต่อได้แบบ Corolla Altis แต่ก็ยังดีกว่าไม่ให้ระบบเรดาร์อะไรมาเลย
เบาะนั่งยังสบายเหมือนเดิม ตัวเบาะมีขนาดใหญ่แมนไซส์ พนักพิงศีรษะไม่ดันมาข้างหน้ามากนัก เบาะหลังสามารถปรับเลื่อนหน้าถอยหลัง และยังเอนได้เกินพอ ในรายละเอียดของเบาะและพื้นที่จุสัมภาระนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปจากรุ่นเดิม ซึ่งก็เป็นจุดที่ผมไม่ได้อยากให้เปลี่ยนอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้ Fortuner มีความน่าสนใจมากขึ้น กล่าวคือ จุดแข็งที่เดิมดีอยู่แล้ว ก็ดีขึ้น จุดอ่อนที่เคยมี ก็พัฒนาจนทัดเทียมคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในด้านอุปกรณ์นั้น ต่อให้มีการเพิ่มมาหลายรายการ แต่บางอย่างก็เป็นการ “ไล่ให้ทันคู่แข่ง” มากกว่า นอกจากนี้ สิ่งต่างๆที่เพิ่มมา ก็ไม่ได้ให้มาฟรี แต่แลกกับค่าตัวรถที่เพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 บาท ทำให้การปรับปรุงตัวครั้งใหญ่ของ Fortuner ไม่ใช่การปรับเพื่อเอาใจลูกค้า แต่เป็นการปรับเพื่อเอาเงินลูกค้าเสียมากกว่า ในตลาดรถ SUV พื้นฐานจากกระบะ รถที่แพงอันดับรองลงไปคือ Ford Everest 2.0 Bi-turbo 213 แรงม้า ที่วางราคาไว้ 1,799,000 บาท ถูกกว่า Fortuner 2.8 Legender 4WD ถึง 40,000 บาท โดยที่ประสิทธิภาพตัวรถนั้น มีหลายด้านที่เท่าเทียมกันหรือเหนือกว่า ขับสบายกว่า เป็นทางเลือกที่น่าสน ถ้าคุณไม่กังวลกับชื่อเสียงของ Ford ในช่วงหลังๆที่รักรถยกมากกว่าเจ้าของ
และด้วยราคาขนาดนี้นั่นล่ะ ที่ทำให้ Pajero Sport ยังมีที่ยืน สำหรับคนที่แคร์เรื่องราคาขายต่อกับความทนทานน้อยลง และสนใจเรื่องสิ่งที่รถมีให้เมื่อเทียบกับราคา Pajero Sport มีอุปกรณ์มาให้มากไม่แพ้ Fortuner แต่ขนาดรุ่น Elite ตัวท้อปที่เป็นรุ่นพิเศษแล้ว ก็ยังถูกกว่า Legender 2.8 4WD กว่าสองแสนบาท แม้ว่าการตกแต่งภายในจะดูพลาสติกกว่า แต่หน้าปัดก็เป็นจอสีแบบเต็ม และยังได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4 ที่ปรับเป็นขับสี่แบบวิ่งถนนยางมะตอยยาวๆได้ และมี Diff-lock ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ Fortuner ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่เห็นหลายปีที่ผ่านมา ก็คงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยังไง Fortuner ก็ยังครองแชมป์ในตลาดเซกเมนต์นี้ และน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน แต่สิ่งที่ดีก็คือในขณะนี้ ไม่ได้มีแค่ยอดขายไว้บลัฟคู่แข่ง แต่สมรรถนะของรถ การขับขี่ และอุปกรณ์ก็ดีขึ้นจนไม่น่าถูกด่าง่ายๆแล้ว เพียงแต่คุณจะสู้ราคามันหรือเปล่า เท่านั้นเองครับ