MAZDA CX-30
- รุ่น 2.0 S (คันที่ขับ) 1,099,000 บาท
- รุ่น 2.0 SP (ใช้รีวิวภายนอก และภายใน) 1,199,000 บาท
Likes: มันคือสิ่งที่ CX-3 ควรจะเป็นมาแต่แรก ขับสนุก ช่วงล่างเป๊ะหนึบกำลังดี เหลือความนุ่มให้ขับได้ทุกวัย ภายในสวยเรียบ เก็บเสียงดี
Dislikes: เบาะหลังมีพื้นที่วางขาสั้น ห้องเก็บสัมภาระเล็ก ช่วงล่างหลังโยนซ้าย/ขวามากกว่า C-HR เวลาถนนไม่เรียบ
รูปทรงของ CX-30 นั้นดูเหมือนจะตอบโจทย์คนที่ซื้อรถประเภทนี้ใช้ได้อย่างจริงจัง ไม่อวกาศเกินไป และไม่น่าเบื่อเวลาต้องมองนานๆ อันที่จริงหากคุณสามารถทำสายตาให้ชินกับมิตินูนเว้าด้านข้างของรถ (ที่เหมือนมีใครขับรถมาเบียดบุบ) ทุกอย่างที่เหลือดูลงตัว CX-30 นั้นไม่ได้มาทำตลาดแทน CX-3 แต่มาเพื่อสอดตรงกลางระหว่าง CX-3 และ CX-5…ในอนาคตไม่แน่ แต่ ณ วันนี้ มันจะยังเป็นเช่นนี้อยู่
การที่ Mazda ตัดสินใจเลือกขนาดตัวรถใกล้เคียงกับคู่แข่งและขยายพื้นที่ด้านหลังให้มากขึ้น เป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะ CX-3 นั้น ขนาดคนไซส์ปกติหลายคนนั่งแล้วยังรู้สึกแคบ ดังนั้น กลุ่มตลาดที่มีจึงค่อนข้างจำกัด แค่วัยรุ่นเท่านั้น และพื้นที่ในห้องโดยสารมักจะเป็นเหตุผลหลักหนึ่งข้อที่ทำให้หลายคนที่อยากซื้อ Mazda ใช้ จำต้องไปคบกับรถจากแบรนด์อื่นๆ ดังนั้น เรามาพูดกันเรื่องห้องโดยสารก่อนนะครับ
พื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ผมไม่มีปัญหาเลย แม้เสาประตูจะลาด แต่ด้วยความสูงของรถที่มากกว่า Mazda 3 ทำให้ขึ้นลงได้ไม่ยาก เมื่อนั่งแล้ว ก็รู้สึกสบายโล่งกว่า Mazda 3 ทั้งๆที่มันไม่ควรจะต่างกันขนาดนั้น ตำแหน่งการติดตั้งเบาะ ทำมาสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ใช้รูปทรงกับความนุ่มของเบาะเหมือนกับ Mazda 3 ลักษณะคอนโซลตอนล่างที่ปาดจนเรียบทำให้นั่งแหกแข้งขาได้กว้างกว่า ดังนั้นความสบายจากการนั่งขับจึงไม่เป็นรองใคร ส่วนด้านหลังนั้น ตัวเบาะดี พื้นที่เหนือศีรษะพอสำหรับคนตัวสูงสบาย แต่เนื้อที่วางขาจะน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง HR-V ชัดเจน ผมคิดว่าหากเพิ่มความยาวเนื้อที่วางขาได้อีก 2 นิ้ว ความต่างจะน้อยลง และรองรับการใช้งานได้ แม้จะเป็นลูกค้าที่มีครอบครัวแล้ว
ห้องโดยสาร ดูเหมือน Mazda 3 มาก แต่ที่จริง ช่องลมแอร์ และแผงประตูไม่เหมือนกัน บรรยากาศจะดูสวยเรียบเหมือนนั่งมองคนหัวล้านสกินเฮด แต่บังเอิญดันเป็นเป็นสกินเฮดแบบ Keanu Reeves ทำให้มันน่ามอง จอกลางไม่เป็นทัชสกรีนแล้วหันไปใช้สวิตช์หมุนควบคุมแบบ Mazda 3 ใหม่แทน ยอมสละ..เพื่อให้จอสามารถติดตั้งในระดับใกล้สายตาขึ้น หน้าปัดไม่มีลูกเล่นอะไรมากมาย แต่ใช้ง่ายและดูดี มีจอส่วนกลางที่ปรับการแสดงค่าได้ทั้งแบบเข็มและแบบตัวเลข เบาะไฟฟ้า มีเฉพาะฝั่งคนขับ แต่ให้ระบบ Memory 2 Set มาด้วย
เมื่อลองขับ อัตราเร่งและการตอบสนองที่ได้ไม่ต่างจาก Mazda 3 มากนักในช่วงความเร็วต่ำ เพราะแม้ตัวรถจะหนักและล้อจะโตกว่า 3 แต่ Mazda ก็ปรับอัตราทดเฟืองท้ายให้จัดขึ้นเพื่อชดเชยกัน CX-30 อาจจะมีอัตราเร่งที่ไม่ได้ฉีกจาก HR-V มากมาย แต่อรรถรสในการขับและความคมในการตอบสนองของคันเร่งนั้น ถูกใจวัยรุ่นมากกว่า เสียงเครื่องยนต์แม้จะดังสไตล์ 4 สูบแต่ก็มีโทนที่ออกเร้าใจอยู่บ้าง
ช่วงล่างไม่แข็งหนึบจนช่างแม่งกับความสบายอย่าง Mazda 3 แต่ก็มีความมั่นคง หนึบแน่นมั่นใจกว่า CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ทั้งที่รถใหญ่และหนักกว่า CX-30 มี ความแข็งแบบที่ซับทอนเอาความสะเทือนอันไม่จำเป็นออกไป มันอาจจะไม่ได้นุ่มเป็นสำลี แต่อย่างน้อยคนแก่ก็พอนั่งได้ Mazda ยังจูนช่วงล่างในสไตล์ “บัมพ์แรงทีเดียวแล้วจบ ไม่ยึกยึ้ยต่อ” ทำให้มันรู้สึกกระชับ มีความคล้ายกับ C-HR แต่ต่างกันที่ ด้านหน้า CX-30 จะแข็งกว่า แต่พอถนนแย่มากๆ C-HR กลับคุมการโยกของบอดี้ด้านท้ายได้ดีกว่า โดยรวมแล้ว C-HR มีช่วงล่างที่ดีกว่า แต่ถ้าเป็นการขับบู๊บนพื้นเรียบ ผมชอบ Mazda มากกว่า
จากคุณสมบัติของ CX-30 ที่สัมผัสมา ทำให้ผมกล้าพูดเลยว่า Mazda คิดถูกแล้วที่ยอมสละความเป็นตัวของตัวเองตามเอกลักษณ์ของค่าย แล้วหันมาคิดเรื่องพื้นที่ใช้สอยแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเขาทำกันบ้าง แม้ว่ายังมีเบาะหลังที่ไม่กว้างเท่าคู่แข่ง แต่อย่างน้อย ลูกค้าที่เคยปฏิเสธ CX-3 เพราะพื้นที่ภายใน ก็อาจกลับมาซื้อ CX-30 ได้ แม้แต่ผมเองก็เถอะ เวลานี้ ถ้าให้เลือกระหว่าง Mazda 3 Sedan/Hatchback ที่สวยเอ็กซ์เซ็กซี่ ขับสนุกช่วงล่างแน่นปั้ก กับเจ้า CX-30 ที่ดูจะพยายามคิดถึงการขับในชีวิตประจำวันมากขึ้น…ผมใช้เวลาคิด 2 วินาทีแล้วเลือก CX-30 อย่างไม่ลังเล แม้สมรรถนะการขับขี่จะด้อยกว่า 3 แต่มันก็ยังขับเอามันส์ในโค้งได้อยู่ และเวลารถติดในเมืองตอนเย็น..หรือพาพ่อแม่ไปกินข้าวกับพี่สาว.. หรือขับบนถนนที่ทำห้าสิบชาติสภาพก็ยังจิ้งจกตลอดศกอย่างเส้นพระรามสอง..มันคือช่วงเวลาที่ CX-30 จะให้ความสุขกับผมได้มากกว่า 3
สำหรับคนที่กำลังมองรถระดับนี้อยู่ หากคุณเป็นคนที่สนใจด้านเทคโนโลยี ชอบเรื่องการออกแบบ เป็นคนขับรถเร็ว เน้นอัตราเร่ง CX-30 ก็คือรถแบบที่ตอบโจทย์คุณได้ดีที่สุด แต่ถ้าคุณแค่ต้องการรถใต้ท้องสูง ขับในเมืองง่าย เน้นความสบายจากพื้นที่ภายใน และเน้นพื้นที่จุสัมภาระ หรือคนที่ขับรถแบบปกติ และมีผู้โดยสารเต็มคันบ่อยๆ แบบนั้น Honda HR-V 1.8 RS น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า โดยเฉพาะเบาะหลังซึ่งเหยียดขาได้ยาวกว่า และยังมีราคาถูกกว่า CX-30 2.0 SP อีกด้วย ในขณะที่ C-HR นั้น เรื่องช่วงล่าง คุมอาการโยกบนถนนแย่ๆได้ดี ขับได้มั่นใจเท่ากัน แต่มันเอาของเล่นดีๆไปกองในตัวไฮบริด ซึ่งก็ไม่แรง ไอ้รุ่นเบนซินที่แรงกว่า ก็ขาดของไฮเทคไปเยอะ แต่ถ้าคุณต้องการบาลานซ์เรื่องพื้นที่ใช้สอย กับช่วงล่างแบบ 50:50 C-HR จะเป็นคำตอบที่ดีกว่า CX-30 แม้ว่ากระจกประตูหลังจะทำให้นั่งแล้วดูอึดอัดก็ตาม
ยอดขายล่าสุด แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติ COVID-19 แต่ CX-30 ก็มียอดทะลุ 2,000 คันไปเรียบร้อยแล้ว น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีว่า ลูกค้า Mazda รอรถอย่างนี้มานานขนาดไหน หากเพียง Mazda ไม่ติดเรื่องปัญหา Defect ต่างๆกับตัวรถที่ผ่านมาใน 2 กับ CX-5 กับปัญหาในบางศูนย์ที่แก้รถแล้วไม่จบ หรือจบแบบลูกค้าเหนื่อย ผมว่าคู่แข่งคงหาที่ยืนได้ยากในเมื่อตัวรถให้มาดีขนาดนี้ แม้แต่ในโลกของรถยนต์มันก็มีธรรมชาติที่ถ่วงดุลย์กันเองในลักษณะนี้ล่ะครับ ไม่มีใครทำรถดีครบทุกอย่างขายในราคาถูกแบบคนทั่วไปซื้อได้