Honda City 1.0 TURBO SV – 665,000 บาท

Likes:  อัตราเร่งเหลือเฟือ ห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย ช่วงล่างก็นุ่มสบาย เกือบเหมือนรุ่น RS ในหลายด้านในราคาที่ยิ้มออก

Dislikes : เข็มขัดปรับสูงต่ำไม่ได้ อุปกรณ์เซฟตี้ระดับสูง น้อยกว่าเพื่อนๆในราคาเดียวกัน ตัดของออกจากรุ่น RS ไปเยอะ

City นั้นแต่เดิมเป็นรถที่เกิดมาอยู่ B-segment 1.5 ลิตร และรถรุ่นเดิมตัวท้อปก็ขายในราคาเจ็ดแสนกว่าบาท การมาของรถรุ่นใหม่ ในตัวท้อป 1.0 TURBO RS ที่มีราคา 739,000 บาท นั้นจึงถือว่า “ถูก” น่าซื้อมาก แต่ในขณะเดียวกัน คนอีกกลุ่มอาจจะบอกว่าแพง เพราะ Almera Turbo VL ถูกกว่ากันอยู่แสนบาท ซึ่งหลายคนจะบอกว่าเทียบกันไม่ได้ เพราะ Almera เป็นอีโคคาร์ สำหรับเรื่องนี้ ก็อยากจะบอกว่า City ก็เหมือน Mazda 2 ที่เคยเป็นรถ B-segment แต่ปรับตัว ปรับเครื่องยนต์จนสามารถรับภาษีสรรพสามิต Eco car -Phase 2 ได้

แต่จะเป็นรถ Segment ไหน สำหรับผมไม่ใช่ปัญหา เพราะท้ายสุด มันอยู่ที่รถนั้นตอบสนองความต้องการเราได้เพียงใด แม้บางคนจะมองว่าเสียสรรพสามิตถูกลงแต่ทำไมราคาไม่ถูกลง..ตัวกินต้นทุนน่ะอยู่ใต้ฝากระโปรงครับ และเครื่องยนต์ P10 1.0 ลิตรของเจ้า City นี้ ในสายตาผม มันก็ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในบรรดาอีโคคาร์ทั้งหมด หากเราตัด Mazda 2 ดีเซลออกไป เราไม่ค่อยมีอีโคคาร์เบนซินที่จี๊ดจ๊าดแซ่บลิ้นให้เลือกนอกจากจะไปเล่นรุ่นเกียร์ธรรมดา (ว่ากันที่รถเดิมโรงงานนะครับ อย่าเอารถโมดิฟายมาพูดแล้วบอกว่าพันสองก็แรงเท่ากัน) เจ้า City นี่ไม่เพียงแต่ออกตัวได้แรงเหลือพอ อัตราเร่งตอนแซงก็เหลือพอเช่นกัน)

ที่สำคัญคือ นิสัยของเครื่องยนต์และเกียร์ในการขับใช้งานแบบมนุษย์ปกติ มันก็ทำได้ดีสำหรับเครื่องยนต์สามสูบ คุณอาจเลี่ยงอาการเดินเบาสั่นไม่ได้ แต่ผมชอบอาการสั่นแบบคลื่นยาวมาไม่ถี่ของ City มากกว่าการสั่นแบบถี่ชัดเจนของ Almera เช่นเดียวกับการเซ็ตเกียร์และเครื่องยนต์ให้ทำงานด้วยกันได้ค่อนข้างดีทีเดียวสำหรับรถสามสูบ CVT ถ้าคุณเอาเครื่อง P10 นี่ออกแล้วใส่เครื่อง Brio 1.2 ลิตรลงไป ต่อให้ขายถูกลงห้าหมื่นผมก็ยังเลือก 1.0 เทอร์โบล่ะครับ ได้สมรรถนะดีเหมือนเอาเครื่อง 1.8 ของ Civic มาวาง แต่วิ่งทางไกลแบบรักสงบ ก็เห็นตัวเลข 18 กิโลเมตรต่อลิตรได้

 

ทีนี้ เราทราบไปแล้วว่าคุณจะซื้อ City รุ่นย่อยไหน คุณก็ได้พลัง VTEC TURBO อันแสนน่ารักนี่..คำถามคือ แล้วถ้าผมตัดสินใจไม่จ่าย 739,000 บาทให้รุ่น RS แล้วไปเอารุ่น SV ที่ราคา 665,000 บาทแทนล่ะ คันไหนจะคุ้มกว่า? ผมตอบยากมากครับเพราะมันมีบางอย่างที่รุ่น SV น่าจะมี เช่น Paddle Shift หรืออย่างน้อยถ้าจะไม่ให้ Paddle Shift ก็ทำเกียร์ให้ลง L ดึงแรงหน่วงเครื่องมาใช้ตอนลงเนินได้หน่อยก็ดี เพราะเมื่อเจอเนินเขาที่ชันจริงจัง แค่ใส่ S รถมันยังไหลอยู่ เทียบกับรุ่น RS ที่ใช้ Paddle ดึงเกียร์ต่ำได้ หรือ Almera ที่มีเกียร์ L ที่หน่วงสุดๆ..City SV ก็ยังไหลกว่า ทำให้ไม่มั่นใจเท่า ในความเห็นผม ถ้ามี Paddle Shift หรือมี L ได้ ผมจะเลือกรุ่น SV ทันที เพราะชีวิตผมต้องการแค่นี้ (ถ้าได้ Cruise Control อีกอย่าง..เลิฟเลย)

แต่เนื่องจากผมกับคุณผู้อ่าน ไม่ได้มีความต้องการเหมือนกันเป๊ะ ดังนั้น ถ้าเราจะดูแบบละเอียด ผมลองทำรายการมาให้ว่ารุ่น SV ต่างจากรุ่น RS อย่างไร

ภายนอก

  • ไม่มีชุดแต่งบูชาของดำ และสปอยเลอร์แบบรุ่น RS
  • ล้อ จาก 16 เหลือ 15 นิ้ว ยางแก้มหนาขึ้น
  • ไฟหน้าแบบตาแตกคล้ายของ Civic RS เปลี่ยนเป็น Projector ฮาโลเจน

ภายใน

  • เปลี่ยนเบาะจากแบบสปอร์ตแซมหนังกลับ เป็นหนังทั้งตัว ลายการตัดเย็บเปลี่ยน พนักรองศีรษะแผ่กว้างขึ้น
  • เปลี่ยนโทนภายใน จากสีดำล้วนตัดด้ายแดง เป็นดำตัดกับสีขาวงาช้าง (แต่เบาะเป็นสีดำ)
  • หน้าปัด เปลี่ยนจากขอบมาตรวัดแสงสีแดง เข็มสีแดง เป็นขอบขาว เข็มสีขาว
  • ตัด Paddle Shift ออก
  • ตัด Cruise Control ออก
  • ตัดระบบ Honda CONNECT ออก
  • เครื่องเสียง ลดจำนวนลำโพงจาก 8 เหลือ 4
  • ตัดกระจกแต่งหน้าพร้อมฝาปิดที่ฝั่งคนนั่งออก
  • ตัดที่เท้าแขนเบาะหลังออก
  • ตัดช่องชาร์จไฟ 12V ด้านหลังออก

และจำนวนถุงลมนิรภัย ลดลงจาก 6 ใบเหลือ 4 ใบ

จากรายการทั้งหมดข้างบน คุณต้องลองดูว่ามันคือสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับคุณมากหรือไม่ แต่ผมพิจารณาแล้วคิดว่าลูกค้าที่ซื้อรถมาเพื่อใช้งานทั่วไป ไม่ได้ขับขึ้นลงเขา หรือปกติขับขึ้นลงเขาก็ไม่เคยเล่นเกียร์อยู่แล้ว และคุณไม่ได้เชี่ยวชาญการใช้สมาร์ทโฟน ไม่ได้แคร์ Look ดุๆของรุ่น RS คุณอาจจะอยากเซฟ 74,000 บาทแล้วไปเล่นรุ่น SV ก็ได้

ซึ่งถ้าคุณเลือกแบบนั้น ก็ไม่ผิด ผมเองก็รู้สึกว่ากระจังหน้าโครเมียม และล้อ 15 นิ้วในบอดี้นี้ก็ดูหรูหราแบบไม่ตะโกนโหวกเหวกดี สุภาพเป็นผู้ใหญ่ และความแตกต่างในการขับเท่าที่รู้สึก ก็ไม่ได้มาก คุณได้พลังและการตอบสนองที่เกือบเหมือนกับรุ่น RS ช่วงล่างก็ออกไปทางเผื่อนุ่มสำหรับลูกค้าทั้งผู้ที่เพิ่งได้ใบขับขี่ และคนที่ใช้ใบขับขี่ใบสุดท้าย มันไม่ได้ให้ความมั่นใจในทุกลีลาบู๊ แต่ในการขับใช้งานส่วนใหญ่ วิ่งในเมือง วิ่งตรงๆ 110-120 นิสัยมันจะเรียบร้อยเป็นกันเองกว่า Almera ความต่างที่มีจากรุ่น RS ก็เกิดจากแก้มยางที่หนากว่า ทำให้เวลาหักเลี้ยวแรงๆซ้ายและขวาสลับกัน ความรู้สึกในการดีดคืนที่ของตัวรถ จะไม่กระชับเท่า

การเก็บเสียง มันไม่ควรจะแตกต่าง แต่สำหรับรถ SV คันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นแค่คันเดียวหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะเก็บเสียงลมไม่ดีเท่า RS คันที่ขับในเชียงราย แต่ยังอยู่ในข่ายที่รับได้สำหรับรถราคาระดับนี้

และถ้านำไปเทียบกับ Almera ตัวท้อป 639,000 บาทล่ะ? ก็อาจจะสรุปได้ดังนี้ครับ

City SV ได้เรื่องอัตราเร่ง การตอบสนอง ความเรียบร้อยเวลาขับใช้งานปกติ ความนุ่มนวลของช่วงล่าง เนื้อที่แหกแข้งขาของผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดังนั้นมันจึงเป็นรถสำหรับคนที่ใช้ขับ และขับ โดยมองรถยนต์เป็นพาหนะจากจุดสู่จุด และยังเหมาะกับวัยรุ่น เพราะถึงแม้ช่วงล่างจะไม่เป๊ะเวลาบู๊ แต่อีกไม่นาน ช่วงล่างแต่งจะมีให้เลือกเยอะแน่ เมื่อจับยัดใส่ เปลี่ยนยางเกรดดี ผ้าเบรกสปอร์ต จะเป็นรถที่ถูกใจวัยรุ่นสายสมรรถนะได้

Almera VL ได้เรื่อง ราคาที่ถูกกว่า อุปกรณ์เยอะกว่า โดยเฉพาะอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีตั้งแต่ระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ระบบเตือนชนรถคันหน้า กล้องรอบคัน ช่วงล่างแบบเดิมๆ สามารถขับใช้งานที่ความเร็วสูง (ในที่ไม่มีลม) ได้นิ่งกว่า กระนั้นในภาพรวมออกมา มันคือรถสำหรับคนที่ศึกษาเปรียบเทียบสเป็คก่อนซื้อ ให้ความสำคัญกับทุกด้านของรถเท่าๆกัน และต้องการรถที่ให้ของมากในราคาที่ถูกกว่า สำหรับวัยรุ่น ถ้าจะแต่งเน้นสวย ไม่เน้นแรงม้า Almera เปลี่ยนล้อ โหลดนิดๆก็สวยได้เหมือนกัน

ก็คงต้องเลือกกันดู แต่สำหรับตัวผมเอง ถ้ามีเจ็ดแสนบาท ผมไม่ซื้อทั้งคู่ครับ ฮ่าๆ อันที่จริง ค่อนข้างเอนเอียงไปทาง City SV เพราะเครื่องแรงและผมนั่งขับสบายตัวสบายขากว่า ผมนั่งขับคนเดียว 95% ไม่มีลูก ไม่มีเมีย สามีก็ไม่มี แต่มันขาดแค่ Paddle Shift ตามที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้ล่ะครับ ส่วน Almera ถ้าเครื่องสั่นน้อยกว่านี้และคอนโซลกลางเบียดเข่าน้อยกว่านี้ City ก็คงไม่ได้เงินผมเหมือนกันเพราะบางทีความคุ้มค่าในภาพรวมก็ชนะความแรงได้

การเลือกรถ ระวังอย่าให้ถูกใจคนอื่นแต่ผิดใจตัวเองก็พอครับ สำคัญคือ รถเหมือนเสื้อผ้า อยู่บนคนอื่นมันอาจจะดูดี แต่อยู่บนตัวคุณ คุณโอเคกับมันหรือไม่