“เอามาขายทำไมกันเนี่ย? มันก็คือไอ้ Lexus เอาเครื่องยนต์ Camry Hybrid
มาวางแหมะลงไปบนพื้นตัวถัง Camry แค่นั้นแหละ”

คิดอย่างนี้กันอยู่ใช่ไหมครับ?

อย่าว่าแต่คุณผู้อ่านเลย ผมก็คิดแบบนี้ในตอนแรกเหมือนกัน
อย่าว่าแต่ผมเลย ตาแพน Commander CHENG ของเรา ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
อย่าว่าแต่เรา 2 คนเลย น้องๆ ใน The Coup Team ของเรา ก็คิดแบบนี้เช่นกัน
อย่าว่าแต่ทีมเว็บ Headlighmag.com ทุกคนเลย คุณผู้อ่านของเราก็คิดเหมือนกัน

อย่าว่าแต่คุณผู้อ่าน และพวกเราทั้งหมดที่เอ่ยมาข้างต้นนี้เลย…

ผู้บริหาร Toyota Motor Thailand บางคน รวมทั้ง พนักงานจำนวนไม่น้อย…
ทั้งที่สำโรง Gateway บ้านโพธิ์ และ All Season…รวมทั้งผู้คนที่เกี่ยวข้อง

ต่างก็…พากัน…คิดแบบนี้…

เ ห มื อ น กั น เ ป๊ ะ !!!

แต่…ท่ามกลางผู้คนมากมาย
มีผู้ชายคนหนึ่ง กล้าพูดว่า…เขาไม่เชื่อเช่นนั้น…

“คุณ J!MMY ครับ ผมยืนยันว่า มันต่างครับ…แต่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ทุกคน
ได้รับรู้…คือรถรุ่นเนี้ย..มันต้องลองขับเองเท่านั้น สถานเดียว ถึงจะกระจ่างว่า…

มันไม่ใช่ แค่ Camry Hybrid แปะตรา Lexus อย่างที่ทุกคนกำลังเข้าใจ!”

พี่ป๊อก…ได้พูดไว้ ในวันส่งมอบรถให้ผม พฤหัส ที่ 31 กรกฎาคม 2014

สมองในตอนที่นั่งเขียนบทความนี้ จำตำแหน่งบนนามบัตรของพี่ชายของผม
คนนี้ไม่ได้ เพราะผมไม่ค่อยจำตำแหน่งใคร พอดีว่า เป็นคน ที่คบหาพูดคุยกับ
ผู้คน จากที่ตัวเขา เป็นตัวเขาเอง หาใช่หัวโขนหน้าที่การงานที่สวมอยู่ไม่

รู้แต่ว่า พี่ป๊อกทำงานในฐานะของผู้ที่ต้องดูแล และรับผิดชอบ แทบทุกสิ่งอย่าง
ในการทำตลาดของ Lexus ในเมืองไทย ถือเป็นผู้ชำนาญการกับแบรนด์ระดับ
Premium ของ Toyota ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1989 และมาเปิดตลาดในบ้านเราช่วง
ปี 1993 ชนิดที่ผมมั่นใจได้เลยว่า ต่อให้ Toyota จะเดินหน้าต่อไปได้ด้วยระบบ
การทำงานที่วางไว้ หากใครลาออกไป งานทุกอย่าง ต้องดำเนินต่อไป และมีคน
มาทำแทนได้อย่างไม่ขาดตอน นั้น

แต่ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า ถ้าไม่มีชายผู้นี้ Lexus คงจะทำตลาดในบ้านเราลำบาก
อีกมาก แหงๆ

ตอนแรก เจ้าตัว ก็คิดเหมือนกันแหละครับว่า Toyota Motor Thailand จะสั่ง
นำเข้า ES เข้ามาขายในบ้านเรากันอีกทำไม เพราะในอดีต Toyota เคยสั่งนำเข้า
ES300 มาขาย รวมทั้งหมด 3 รุ่น และทำยอดขายได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ความนิยม
ความนิยม ค่อยๆลดลงไป ในระยะหลังๆ เพราะลูกค้าชาวไทย เริ่มมองไม่เห็นถึง
ความแตกต่าง ระหว่างการจ่ายเงินซื้อ ES ในราคาแสนแพง กับการซื้อ Camry
ซึ่งให้ความหรูหรา และความสบายที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

จนกระทั่ง พอได้ไปอบรม และทดลองขับ ในไต้หวัน นั่นละ จึงได้รู้ซึ้งเลย
ว่า..เฮ้ย! คราวนี้ ES ใหม่ มันต่างกันจริงๆนะ ต่างกันมากซะด้วย!

แต่มันคงเป็นเรื่องยาก ที่จะอธิบายให้ลูกค้าคนไทยได้รู้ว่า ES ใหม่ มันต่าง
ไปจาก ES เก่าอย่างไร แตกต่างจาก Camry Hybrid แค่ไหน

ได้ฟังครั้งแรก ผมก็ไม่คิดหรอกว่า มันต่างกันมากมายนัก จนกระทั่งได้ลอง
มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 5 วัน 4 คืนนี่แหละ….

ถึงได้รู้ซึ้ง…ว่า มันแตกต่างกันจริงๆด้วย แถมยังเป็นความแตกต่างที่ ผมเอง
คาดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาพบกับประสบการณ์ความนุ่มสบาย ที่แสนคุ้นเคย
ซึ่งผมยังตรึงจิต เมื่อครั้งที่นำ Lexus LS460 มาทำรีวิว ถึง 2 รอบ อีกครั้ง

มันเป็น ประสบการณ์ในแบบที่ Lexus น่าจะยึดถือเป็นแนวทางที่พวกเขา
ควรจะเดินไปในระยะยาว ไม่ใช่รูปแบบของรถยนต์ที่มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว
เฟี้ยวฟ้าว ทรานส์ฟอร์เมอร์เพ้อเจ้อ อย่างรุ่นใหม่ๆ ที่ถ้าไม่รัก ก็เกลียดกัน
ไปข้างหนึ่งเลย เช่นในทุกวันนี้!

เป็นประสบการณ์ในรูปแบบที่ผมอยากจะชวนให้คุณมาลองสัมผัสไปด้วยกัน
พร้อมๆกับผม นับจากนี้ จนถึงบรรทัดสุดท้ายของบทความนี้…

เพื่อที่จะได้รู้กันเสียที ว่า รถคันนี้ มันมีดีอะไรถึงขนาดที่ทำให้ผม ตาแพน และ
น้องๆ The Coup Team ที่ได้สัมผัสมัน ถึงกับ ลืมคำว่า Camry Hybrid
ออกไปได้ จนแทบหมดสิ้น?

เพียงแต่…เราควรมาทำความเข้าใจกันเสียก่อน ในเบื้องต้น ว่า เหตุใด ผู้คนถึง
พากันเข้าใจว่า มันคือ Camry Hybrid แปะตรา Lexus ? แล้ว ทำไมเราถึง
ควรซื้อ Camry Hybrid คันละ 3,490,000 – 3,890,000 บาท !?

แรกเริ่มเดิมที เมื่อครั้งที่ Toyota คิดการใหญ่ ก่อตั้งแบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า Lexus
เพื่อพัฒนารถยนต์นั่งขนาดใหญ่ อย่าง LS400 ไปบุกตลาดรถยนต์หรูระดับ
Premium ในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1983 เพื่อทาบรัศมี Mercedes-Benz
ตอนนั้น Toyota ตั้งใจจะสร้างให้ LS400 เป็นรถยนต์ระดับหรูเพียงรุ่นเดียว

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้จำหน่าย Lexus ที่ได้รับการคัดสรรเข้ามา ช่วงปี 1987
รวมทั้ง Toyota เอง ก็มองเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่า….

ถ้าคิดจะเปิดตัวแบรนด์รถยนต์ระดับ Premium ทั้งที แล้วมีรถยนต์ขาย ในวัน
เปิดตัว เพียงแค่รุ่นเดียว นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เพราะ คุณอาจได้ลูกค้าระดับ
Hi-end ตามที่หวังไว้ แต่ คุณก็จะไม่มีทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งไม่มีงบมาก
เพียงพอจที่ะไต่ขึ้นไปเล่น LS400 หรืออาจจะมองว่า LS400 มีขนาดใหญ่
จนเกินความจำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา

ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้นก่อตั้งแบรนด์ จึงจำเป็นที่ Lexus จะต้องมีรถยนต์นั่ง
ระดับ Entry Level Luxury Mid-Size มาเสริมทัพอีก 1 รุ่น

ทีมผู้เกี่ยวข้องในโครงการ Lexus มองหาทางออกเบื้องต้น โดยนำ Toyota
Camry ตัวถัง Hardtop Generation ที่ 2 ซึ่งทำตลาดอยู่แล้วในญี่ปุ่น
มาปรับโฉม เปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และแผงไฟท้ายด้านหลัง เติมสารพัด
อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารเข้าไปให้เต็มพิกัด แล้วผลิตออกขายในชื่อรุ่นว่า
Lexus ES250 (รหัสรุ่น VZV21)

สายการผลิตของ ES250 เริ่มต้น เมื่อเดือนมิถุนายน ณ โรงงาน Tsutsumi
ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่กว่าที่ ES250 เวอร์ชันพร้อมจำหน่ายจริงคันแรก คลอด
จากสายการผลิต ต้องรอจนถึงวันที่ 30 สิงหาคม 1989 และการทำตลาดใน
สหรัฐอเมริกา ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกันยายน 1989 นั่นเอง

ตัวรถยาว 4,651 มิลลิเมตร กว้าง 1,699 มิลลิเมตร สูง 1,349 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,601 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 2VZ-FE บล็อก V6 DOHC
24 วาล์ว 2,507 ซีซี หัวฉีด EFI 156 แรงม้า (HP) ที่ 5,600 รอบ/นาที
แรงบิด 216 นิวตันเมตร (22.01 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์
อัตโนมัติ 4 จังหวะ อุปกรณ์เสริม ที่เด่นๆ มีทั้ง ถุงลมนิรภัย ระบบเบรก ABS
เครื่องเล่น CD และเบาะหนังแท้

ตลอดอายุตลาดช่วงแรก บอกได้เลยว่า ขายไม่ค่อยดี หลายๆคน มองว่ามัน
เป็น การนำ Toyota Camry มาปรับปรุงใหม่ มากกว่าที่จะมองว่ามันเป็น
รถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับ LS 400 ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ ยอดขายในเดือนแรก ทำได้เพียงแค่ 1,216 คัน
และตลอดอายุตลาด 2 ปีเต็ม ES 250 ทำยอดขายไปได้แค่เพียง 19,534 คัน
ในปี 1990 และ 17,942 คัน ในปี 1991 สายการผลิต ES 250 ยุติลงเมื่อวันที่
5 กรกฎาคม 1991 ด้วยยอดผลิตรวม 37,476 คัน ทำให้ทุกวันนี้ ES250 จึง
กลายเป็น หนึ่งในรถยนต์รุ่นหายากที่พบได้น้อยมากบนท้องถนนทั่ว
สหรัฐอเมริกา

เหตุผลที่ ยุติการผลิตเร็ว เป็นเพราะ Toyota รับรู้ถึงปัญหานี้ และปรับแผน
ด้วยการพัฒนา Generation ที่ 2 ควบคู่กันไประหว่างเปิดตัว ES250
รุ่นแรก เพื่อนำขึ้นสายการผลิตเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1991 และเริ่มทำตลาด
ทันที ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 1992 ในขณะเดียวกัน Toyota ก็เปิดตัวเวอร์ชัน
จำหน่ายในญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก ใช้ชื่อว่า Toyota Windom รหัสรุ่น XV10
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 1991 และนำออกแสดง ณ งาน Tokyo Motor
Show เดือนตุลาคม ปีเดียวกัน ทันที พร้อมทำตลาดผ่านโชว์รูมเครือข่าย
จำหน่าย Toyota Corolla ในฐานะรถยนต์รุ่นที่หรูสุดสำหรับโชว์รูมใน
เครือข่ายนี้

ตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ด้วยความยาว 4,770 มิลลิเมตร กว้าง
1,778 มิลลิเมตร สูง 1,369 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,619 มิลลิเมตร
ออกแบบโดยใช้พื้นฐานร่วมกับ Toyota Camry Prominent V6 ตัวถัง
Hardtop สำหรับตลาดญี่ปุ่น ลู่ลมด้วยค่า Cd.0.32 ติดตั้งเครื่องยนต์
3VZ-FE V6 3.0 ลิตร 185 แรงม้า (PS) และ 4VZ-FE V6 2.5 ลิตร
172 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ES300 กลายเป็น
Lexus ที่ขายดีที่สุดนช่วงเวลานั้น ด้วยยอดขายในปีแรก 39,652 คัน
จากนั้น ในปี 1994 ก็มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ มาเป็น 1MZ-FE V6
188 แรงม้า (PS) ทำตลาดถึงปี 1996 อันเป็นปีที่ ES มียอดขายมากถึง
21% จากยอดขาย Lexus ทั้งหมด ด้วยตัวเลขเฉพาะปีนั้น 40,735 คัน

รุ่นที่ 3 รหัสรุ่น XV20 ถูกพัฒนาขึ้น ควบคู่กับ Toyota Camry XV20
เริ่มการผลิต ณ โรงงาน Tsutsumi ที่จังหวัด Aichi เมื่อเดือนสิงหาคม
1996 และเปิดตัวออกสู่ตลาด เมื่อเดือนกันยายน 1996 ไล่เลี่ยกันกับ
Camry รุ่นไฟท้ายไม้บรรทัด ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 1997 ทีมวิศวกร
เน้นการปรับปรุงตัวถังให้ทนต่อการบิดตัวเพิ่มขึ้น 30% รุ่นที่ 3 ยังคง
เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น ด้วยชื่อ Toyota Windom เหมือนเดิม

ตัวถังใหญ่ขึ้นทุกสัดส่วน ยาวขึ้นเป็น 4,831 มิลลิเมตร กว้างขึ้นเป็น
1,791 มิลลิเมตร สูง 1,394 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร
ลู่ลมกว่าเดิมด้วยค่า Cd. 0.29 เน้นอัดอุปกรณ์ความปลอดภัยครบถ้วน
ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า Power Moonroof ชุดเครื่องเสียง Nakamichi

ในตลาดทั่วโลก ES300 มีเรื่องยนต์ให้เลือกเพียงแบบเดียว คือ 1MZ-FE
V6 3.0 ลิตร ยกระดับให้แรงขึ้นเป็น 200 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 290
นิวตันเมตร แต่ในเวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีเครื่องยนต์ 2MZ-FE V6 2.5 ลิตร EFI
197 แรงม้า (PS) ให้เลือกอีกด้วย ทุกรุ่นมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

รุ่นที่ 3 ของ ES ถือว่า ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเพิ่มมากขึ้น โดยใน
ปีแรก ทำยอดขายได้ถึง 58,430 คัน และสามารถรักษาตัวเลขไว้ที่ระดับ
35,000 – 50,000 คัน ได้ต่อเนื่องจนหมดอายุตลาดในปี 2001

รุ่นที่ 4 รหัสรุ่น MCV30 เริ่มพัฒนาขึ้นตลอดช่วงปี 1998 – 1999 ภายใต้
การดูแลของหัวหน้าวิศวกรชื่อ  Kosaku Yamada สายการผลิตเริ่มต้น
เมื่อ เดือนกรกฎาคม 2001 และเปิดตัวออกสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา กับญี่ปุ่น
ช่วงเดือนสิงหาคม 2001

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น มีเหตุการณ์ ก่อวินาศกรรม ผู้ก่อการร้าย จาก
ตะวันออกกลาง จี้เครื่องบินโดยสาร พุ่งชนอาคารแฝด World Trade
Center ในนคร New York จนพังถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ความซวยเกิดขึ้นกับ Toyota นิดหน่อย เมื่อ Catalog ของ ES300
เวอร์ชันญี่ปุ่นในชื่อ Windom ที่เพิ่งแจกให้กับลูกค้าไป ดันมีภาพ
ของ ตึกแฝดอยู่ด้วย ดังนั้น Toyota จึงต้องเรียก Catalog ชุดดังกล่าว
กลับคืนมาทั้งหมด แล้ว สั่งพิมพ์ Catalog เวอร์ชันใหม่ ที่ Re-Touch
รูปตึกแฝดทั้ง 2 ออกไปแล้ว แจกจ่ายให้กับดีลเลอร์ในญี่ปุ่นแทน

MCV30 ถือเป็นการยกระดับ ES300 ให้ใหญ่โตขึ้น จนกลายเป็นซีดาน
ระดับกลาง ขับเคลื่อนล่อหน้าที่ยังคงสร้างขึ้นโดยใช้พื้นตัวถัง Platform
ของ Toyota Camry ตามเคย ลู่ลมกว่าเดิมด้วยค่า Cd.0.28

ตัวถังยาวขึ้นเป็น 4,854 มิลลิเมตร กว้างขึ้นเป็น 1,811 มิลลิเมตร
สูงขึ้นเป็น 1,455 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวเป็น 2,720 มิลลิเมตร
ช่วงแรกมีเครื่องยนต์ 1MZ-FE V6 3.0 ลิตร 200 แรงม้า (PS) ก่อน
จากนั้น จึงมีเครื่องยนต์ 3MZ-FE V6 3.3 ลิตร ซึ่งใช้ร่วมกับ SUV
รุ่น RX ฝาแฝดของ Toyota Harrier ตามออกมาในภายหลัง

ในปีแรกที่ปล่อยออกสู่ตลาด ES300 กลายเป็น Lexus ที่ขายดีสุดใน
ตลาดอเมริกาเหนือ ด้วยยอดขายเฉพาะปีแรก สูงถึง 71,450 คัน และ
ทำยอดขายได้สูงสุดต่อเนื่อง จนสิ้นสุดการผลิตในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
2006 จะเป็นรองก็แค่เพียง ยอดขายของ Lexus RX เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ยอดขายในญี่ปุ่น กลับซบเซาลงไป และไม่คุ้มที่จะผลิต
เพื่อขายในประเทศตนเองอีกต่อไป ทำให้ รุ่นที่ 4 ถือเป็นรุ่นสุดท้าย
ที่จะยังคงทำตลาดด้วยชื่อ Windom ในญี่ปุ่น

รุ่นที่ 5 รหัสรุ่น XV40 เปิดตัวในงาน Chicago Auto Show เมื่อ
เดือน กุมภาพันธ์ 2006  ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 2007 ถือว่าเป็นรุ่นที่
ถูกขยายขนาดตัวถัง และเครื่องยนต์ให้ใหญ่ขึ้น เอาใจกลุ่มลูกค้าชาว
อเมริกัน เต็มตัว

ตัวถังมีขนาดเพิ่มข้นจากเดิมไม่มากนัก ยาวขึ้นเป็น 4,854 มิลลิเมตร
กว้าง 1,821 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นเป็น
2,776 มิลลิเมตร สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Toyota Avalon ที่ถูก
ดัดแปลงจากพื้นตัวถัง K-Platform ของ Camry ถูกออกแบบเส้นสาย
ภายนอก ตามแนวทาง L-Fineness ที่ Toyota กำหนดไว้ให้กับรถยนต์
ในแบรนด์ Lexus ทุกรุ่น

ขุมพลัง มีให้เลือกเป็นบล็อกใหม่ ตระกูลใหม่ และมีเพียงแบบเดียว
นั่นคือ 2GR-FE V6 DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร VVT-i ยกระดับให้
แรงขึ้นเป็น 272 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

ส่วน ขุมพลัง 2AZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร 165 แรงม้า
มีตามมาใน Lexus ES240 ซึ่งทำตลาดเฉพาะในเมืองจีน เปิดตัวเมื่อช่วง
ปี 2009 อันเป็นช่วงเวลาที่ Toyota มีปัญหาเรื่องคันเร่งค้าง จนต้องเรียก
Recall ครั้งมโหฬาร ในสหรัฐอเมริกา และ ES เอง ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่
ถูกเรียกกลับไปเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ ในครั้งนั้นด้วย 2-3 รายการ

ถึงแม้ในช่วง 4 ปีให้หลังมานี้ Lexus ES อาจดูไม่ค่อยเด่นนักในสายตา
ของลูกค้าชาวอเมริกัน แต่จากผลงานในอดีตที่ผ่านมา ก็ยังทำให้ Toyota
ต้องเดินหน้าโครงการพัฒนา ES รุ่นต่อไป เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และ
เพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น และมองหาความสบายจากรถยนต์
รุ่นนี้มากขึ้น

แล้วคนที่ซื้อ Lexus ES เนี่ย เป็นคนกลุ่มไหน?

ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ ES นั้น ถ้าแบ่งออกมา จะได้คุณลักษณะดังนี้

– ชาวอเมริกาหนือ ที่จงรักภักดีกับแบรนด์ อายุส่วนใหญ่ เฉลี่ย 60 ปี
ต้องการรถยนต์ที่ให้ความหรูหรา ภูมิฐาน และมีเส้นสายที่เรียบง่ายแต่
เฉียบคม มีภายในห้องโดยสารที่ หรูหรา โอ่โถง นั่งสบาย ใช้งานง่าย
แต่พวกเขาก็ตำหนิว่า เส้นสายของ ES รุ่นเดิม ไม่ดู Sporty มากพอ
ยังดูอนุรักษ์นิยมมากเกินไป ในสายตาคนวัย 40 – 50 ปี

– ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่อุดหนุน ES จะมีอายุน้อยกว่ากันมาก เพียง
35 – 39 ปี อยากได้รถยนต์ที่มีภายนอกสวยงาม และโฉบเฉี่ยวขึ้น
ภายในหรูหรา แต่ก็ยังตำหนิว่า พื้นที่วางขาด้านหลังน้อยไป เมื่อ
เปรียบเทียบกับ รถยนต์ Premium รุ่นฐานล้อยาว ของทั้ง Audi, BMW
และ Mercedes-Benz

ความท้าทายที่ Toyota ต้องเผชิญ ก็คือ จำนวนผู้ใช้ ES ในอเมริกาเหนือ
เริ่มลดลง จากอายุของพวกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่า 60 ปี ในขณะที่ลูกค้า
ในตลาดเกิดใหม่ อย่างจีน เริ่มมองหาภาพลักษณ์ความหรูหราจากรถยนต์นั่ง
เพื่อบ่งบอกสถานภาพทางสังคมและทางการเงินของตนมากขึ้น เป็นโอก่าส
ที่แทรกเข้ามา ในขณะที่ตลาดหลักเดิม เริ่มไปได้ไม่ดีเท่าในอดีต

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีใต้ ทั้ง Hyundai และ Kia ต่างเร่ง
พัฒนารถยนต์ของพวกตน ให้มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจ มีคุณภาพดีขึ้นมาก แถม
ยังดูคุ้มค่ากับราคาที่ลูกค้าต้องจ่ายไป สิ่งที่ Toyota จะสู้ได้ คือการยกระดับ
ด้านการออกแบบ คุณภาพ และเทคโนโลยีของตน ให้หนีจากผู้ผลิตชาวเกาหลี
ด้วยการนำระบบ Hybrid มาติดตั้ง เป็นขุมพลังหลัก เพื่อเน้นประโยชน์ทั้งด้าน
ความประหยัดน้ำมันที่ยังคงเป็นจุดแข็งซึ่งรถญี่ปุ่น ยังคงเป็นแต้มต่อ เหนือกว่า
รถยนต์เกาหลีใต้ แถมยังได้ช่วยลดภาวะด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วยในตัวเสร็จสรรพ

Toshio Asahi, Chief Engineer หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา ES ใหม่
กล่าวว่า “ES Generation ที่ 6 ถือเป็นผลผลิตจากความตั้งใจ ที่จะเปลี่ยน
แนวคิดในการพัฒนารถยนต์นั่งระดับหรูในพิกัดเดียวกัน ด้านงานออกแบบ เราตั้ง
เป้าหมายที่จะผสาน 2 คุณลักษณะของงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ ES
ในอดีตที่ผ่านมา นั่นคือ “สัมผัสอันเร้าใจ” ในครั้งแรกที่ได้เห็น กับ “ความรู้สึกดี
ในการขับขี่” บนทุกสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน นอกจากสมรรถนะในสไตล์ Sport
ที่เพิ่มเข้ามาแล้ว ES ใหม่ จะต้องให้การควบคุม ที่เป็นเลิศ ความสบายเป็นเยี่ยม
และความเงียบสงบเพื่อทุกการขับขี่และการโดยสาร ของทุกๆคน เพื่อเพิ่มความ
สุนทรีย์บนทุกสภาพถนน ตลอดการเดินทางอันยาวนาน”

การเปิตตัว ES รุ่นที่ 6 มีขึ้นครั้งแรกในโลก ณ งาน New York International
Auto Show เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2012 และนับเป็นครั้งแรก ที่ Lexus ยกเอา
เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Hybrid มาติดตั้งให้ในรุ่น ES เรียกชื่อรุ่นว่า ES300h
ขณะที่ ES350 จะยังคงเป็นรุ่นหลักสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ควบคู่กันไป

จากนั้น ในเดือนเดียวกัน ES250 เวอร์ชันสำหรับตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ก็เปิดตัว
ตามออกมาในงาน Auto China ณ กรุงปักกิ่ง

ส่วนเวอร์ชันผลิตออกขายจริง เริ่มคลอดออกมาคันแรก เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2012
ณ โรงงาน Miyata เมือง Miyakawa จังหวัด Fukuoka ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น

ตามแผนที่วางไว้ ES รุ่นนี้ จะไม่มีการเปิดตัวออกสู่ในตลาดญี่ปุ่น แต่จะมีการผลิตรุ่น
พวงมาลัยขวา สำหรับส่งออกไปยังประเทศ Australia New Zealand, Brunei,
South Africa, Singapoer, Hong Kong, Malaysia และเมืองไทย

แล้วทำไม คราวนี้ ถึงได้มาเปิดตัวในเมืองไทยกันช้าจังเลย เพราะตามปกติ ตั้งแต่ปี
2005 เป็นต้นมา Lexus เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ในเมืองไทย ตามเกาะติดตลาดญี่ปุ่น
และสหรัฐอเมริกา ในระดับที่ว่า ถ้าไม่ใช่ประเทศที่ 2 ก็ต้องเป็นประเทศที่ 3 ในโลก
อยู่เสมอ มิใช่หรือ?

สาเหตุหนะ มันมีที่มา…ดังนี้ครับ…

ถ้ายังจำกันได้ ในช่วงกลางปี 2012 เริ่มมีกระแสข่าวออกไปว่า Toyota กำลัง
เตรียมแผนการประกอบ Lexus เป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลายคนสงสัย
ว่ามันจะเป็นไปได้จริงเหรอ โรงงานในบ้านเรา มีศักยภาพดีพอที่จะได้รับ
ความไว้วางใจจาก Toyota ให้ประกอบ รถยนต์ ที่ต้องการความประณีตใน
ระดับเทพยังกราบ อย่าง Lexus ได้แล้วเหรอ?

ได้สิครับ! ทำไมจะไม่ได้ โรงงาน Toyota บ้านเรานี่แหละ เป็นที่ยอมรับใน
บรรดาโรงงานประกอบรถยนต์ของ Toyota ทั่วโลก ถึงคุณภาพที่สม่ำเสมอ
การประกอบที่คงเส้นคงวา ความผิดพลาดที่มีไม่มากนัก และความประณีต
ที่ทำให้ การเข้ารูปกันของแต่ละชิ้นส่วน ทำได้อย่างดี ไม่แพ้โรงงานในญี่ปุ่น
แม้แต่โรงงานในมลรัฐ Kentucky สหรัฐอเมริกา ที่เป็นฐานการผลิต Camry
สำหรับป้อนตลาดอเมริกาเหนือ ก็ยังเคยยอมรับว่า โรงงานบ้านเรา ผลิต
Camry ออกมาได้ประณีตกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ!

เหตุผลของการนำ Lexus เข้ามาประกอบขายในบ้านเราก็คือ ตลอดหลายปี
ที่ผ่านมา Toyota พยายาม ทำตลาด Lexus ในเมืองไทย แต่เจออุปสรรคต่างๆ
มากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งของ Mercedes-Benz
BMW และ Volvo ในฐานะ 3 เจ้าตลาดรถยนต์ระดับ Premium ในบ้านเรา
ซึ่งยากที่จะโค่นลงได้ง่ายๆ เพราะทั้ง 3 ค่าย ต่างใช้เวลาสร้างชื่อ ลงรากและ
ปักฐานอยู่ในบ้านเรา มานานกลายทศวรรษ

อุปสรรคสำคัญก็คือ ราคาขายปลีกที่แพงเกินไป ซึ่งมีเหตุผลมาจาก นโยบาย
ในอดีตที่จำกัดให้ Lexus ต้องผลิตออกจากโรงงานใน Kyushu เท่านั้น เพื่อ
รักษาคุณภาพเอาไว้ให้ได้ ทำให้ Toyota Motor haland ต้องสั่งนำเข้ารถยนต์
สำเร็จรูป ทั้งคันจากญี่ปุ่น ซึ่งต้องเสียภาษีนำเข้า กับภาษีสรรพสามิต เต็มพิกัด
ผิดกับคู่แข่ง ทั้ง Mercedes-Benz และ BMW ที่สามารถเปิดสายการประกอบ
ในประเทศ ณ โรงงานของพวกเขาเอง หรือ Volvo ซึ่งเปลี่ยนไปใช้วิธีนำเข้า
จากประเทศมาเลเซีย ที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ASEAN หรือ AFTA ด้วยกัน
(เสียภาษีนำเข้าแค่ 0% ถ้ามีชิ้นส่วนจากประเทศในกลุ่ม ASEAN ด้วยกันเกิน
60% ในตัวรถแต่ละคัน)

ประเด็นนี้คือจุดเสียเปรียบตลอดมาของ Lexus เพราะแม้ว่า รถยนต์นำเข้า
สำเร็จรูปทั้งคัน จะได้เปรียบในฐานะ รถยนต์ประกอบจากญี่ปุ่น ซึ่งมั่นใจได้
ในคุณภาพ แต่ ด้วยกำแพงภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต ที่สูง ความพยายาม
ในการหาหนทางอยู่รอดด้วยการ เลือกรุ่นรถยนต์มาอย่างระมัดระวัง สั่งติดตั้ง
ออพชันมา เท่าที่จะทำได้ และต้องตั้งราคาขายให้แพงกว่าชาวบ้านเขา เพื่อให้
ยังพอมีกำไรอยู่รอดได้ ในขณะที่ลูกค้าไม่ด่า กลายเป็นเรื่องมหาโหดหินของ
ทุกๆคนในทีม Lexus Group ช่วงก่อนหน้านี้

ทางออกเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ Toyota สามารถส่ง
ชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบในสายการผลิตที่โรงงานเมืองไทยให้ได้! เพราะ
จะช่วยเปลี่ยนการจ่ายภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปอันแสนแพง มาเป็นการ
จ่ายภาษีในรูปแบบอื่น ซึ่งต่ำลง และทำให้ราคารขายปลีก ถูกลงจนแข่งขัน
กับคู่ต่อสู้ชาวยุโรปเขาได้เสียที

นั่นคือที่มาที่ไปของโครงการนี้…

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวางแผน และได้รับการสนับสนุนจากทางฝั่งไทย
และญี่ปุ่น กันอย่างจริงจัง แต่เมื่อเกิดกระแสข่าว เรื่องการนำเข้าชิ้นส่วนของ
รถยนต์ Toyota Prius Hybrid ที่น่ำลือกันว่า เลี่ยงภาษีกว่าหมื่นล้านบาท
(ซึ่ง Toyota Motor Thaland ก็ออกเอกสาร Press Released ชี้แจง
ประเด็นนี้ไว้แล้ว เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2014 รายละเอียด คลิกอ่านได้ ที่นี่)

ทำให้ Toyota เอง ถึงกับต้องคิดหนัก และตัดสินใจ ชะลอแผนการประกอบ
Lexus ES300h ในเมืองไทย ออกไปอย่าง “ไม่มีกำหนด”

ทำให้แผนการเปิดตัว ES ในเมืองไทย ซึ่งแต่เดิม เคยถูกวางไว้ เมื่อช่วงงาน
Motor Expo 2013 จึงต้องเลื่อนมาเป็นการสั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันแบบ
CBU ตามเดิม และเลื่อนมาเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor
Show เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2014 เป็นการทดแทน

ES ใหม่ มีความยาว 4,900 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,450
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,820 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า
1,590 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,575 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว
รถเปล่าๆ 1,690 – 1,705 กิโลกรัม แต่เมื่อรวมน้ำหนักบรรทุกของผู้ขับขี่
ผู้โดยสารและแบกสัมภาระเต็มพิกัด ของเหลวเต็มระบบ รถคันนี้จะมี
น้ำหนักบรรทุกได้มากสุด 2,150 กิโลกรัม

เมื่อเปรียบเทียบกับ ES รุ่นก่อน ซึ่งไม่ได้ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา
ที่มีความยาว 4,854 มิลลิเมตร กว้าง 1,821 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,776 มิลลิเมตร จะพบว่า ES ใหม่ยาวขึ้นกว่าเดิมถึง 46
มิลลิเมตร กว้างเท่าๆรุ่นเดิม สูงก็พอกันกับรุ่นเดิม แต่ระยะฐานล้อ ถูก
ขยายออกไปให้ยาวขึ้น ถึง 44 มิลลิเมตร

แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ Camry Hybrid รุ่นปัจจุบัน ที่ผลิตขายในเมืองไทย
ซึ่งมีความยาว 4,825 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,470 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร จะพบว่า ES ใหม่ ยาวกว่า Camry ถึง 75
มิลลิเมตร แคบกว่า Camry แค่ 5 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า Camry 20 มิลลิเมตร
แต่มีระยะฐานล้อ ที่ยาวกว่า 45 มิลลิเมตร

หลายคนยังเข้าใจว่า ES ใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง ของ Camry แต่
ในความเป็นจริงแล้ว ES รุ่นใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของรถยนต์
Sedan ขนาดใหญ่ที่สุดของ แบรนด์ Toyota สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ
อย่าง Toyota Avalon รหัสรุ่น XX40 (ซึ่งก็ดัดแปลงต่อเนื่องมาจาก
พื้นตัวถังของ Camry ในสมัยก่อน นั่นเอง)

ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ สรุปได้ว่า วันนี้ ES ใหม่ ใช้พื้นตัวถังร่วมกับ
Avalon ซึ่งมันก็เป็นพื้นตัวถังของ Camry แท้ๆ เพียวๆ เหมือนในอดีต
อีกต่อไป (ดูดีๆครับ ระยะฐานล้อ Camry ยาวกว่านะ) แต่ยังคงใช้ชิ้นส่วน
อะไหล่ งานวิศวกรรมร่วมกันได้กับ Camry และ Camry Hybrid อยู่ดี

เส้นสายของ ES ใหม่ ถูกสร้างขึ้นภายใต้โจทย์ที่ว่า “จะต้องดึงบุคลิกความเป็น
Lexus ในแบบดั้งเดิม ขนานแท้ อันเป็นเอกลักษณ์ ออกมาสร้างความดึงดูดใจ
ให้ลูกค้า สัมผัสได้ถึงความแตกต่างไปจากรถยนต์ Premium แบรนด์อื่นๆทั่วไป
ภายใต้แนวทางการออกแบบของ Lexus ที่เรียกว่า L-Fineness”

งานออกแบบในลักษณะนี้ อยู่ใน Lexus LS มาตลอด เส้นสายที่เรียบง่าย พื้นผิว
โค้งมน และดูงามสง่า ลงตัวในทุกสัดส่วน ภายใต้ความเรียบง่ายในแบบญี่ปุ่น กลับ
มีมุมสวยงาม ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน ไม่มีส่วนใดขัดหูขัดตา ประดุจการยิงธนูแบบ
ญี่ปุ่น (Kyudo) เว้นแค่ เพียงกระจังหน้าแบบ Spindle Grille ที่ดูละมุน ไม่ถึงขั้น
เกรี้่ยวกราดมากเท่าบรรดาญาติพี่น้องรุ่นอื่นๆ ทั้ง IS หรือ GS

ถ้ามองจากภายนอกแล้ว ผมพบว่า นี่มันก็คือการ ย่อส่วน LS ลงมา ในรูปลักษณ์
และขนาด ที่เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น แต่ถ้ามองย้อนกลับมายังตระกูล ES
ด้วยกันแล้ว ผมมองว่า นี่คือเส้นสายของ ES ที่สวยงาม หรูหรา และลงตัวมากสุด
นับตั้งแต่ ES รุ่นปี 1991 และ 1997 เป็นต้นมา

ชุดไฟหน้า เป็นแบบ HID (High Intensity Discharge) พร้อมระบบปรับ
ลำแสงอัตโนมัติ ทั้งให้ตัวรถปรับเอง ตามการขับขี่ หรือปรับระดับสง – ต่ำ จาก
สวิตช์ภายในรถ มาพร้อมไฟหน้า Daytime Running Light แบบ LED
สไตล์หัวลูกศร เหมือน Lexus IS และ GS ใหม่ พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED
และไฟตัดหมอกหลัง

กระจกมองข้าง เป็นแบบลดแสงสะท้อนยามค่ำคืน ปรับมุมองศาลงต่ำได้
ขณะเข้าเกียร์ถอยหลัง พร้อมไฟเลี้ยวที่กรอบพลาสติกด้านนอก  ส่วน
ชุดไฟท้าย ได้แรงบันดาลใจมากจาก ไฟท้ายของ LS Minorchange
และ BMW หลายๆรุ่น เสาอากาศแบบครีบปลา มีมาให้ในบางตลาด
แต่สำหรับเวอร์ชันไทย จะเป็นเสาอากาศแบบฝั่งในกระจกบังลมหลัง

ถ้าสังเกตดีๆ จะพบ Aero Stabilizing Fin หรือ พวกหูดวงรี ตามจุดต่างๆ
ทั้งที่ฐานกระจกมองข้าง หรือชุดไฟท้าย ทีมวิศวกรของ Toyota นำแนว
วิธีการนี้ มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ หลายรุ่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยเชื่อว่า
จะทำให้การจัดการกับอากาศที่ไหลผ่านตัวรถ ทำได้ดีขึ้น แถมยังช่วยลด
เสียงรบกวนจากกระแสลมลงได้อีกทางหนึ่ง ช่วยให้ตัวรถ ลู่ลมด้วยค่า
สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd.0.28

สีตัวถัง ยังคงพ่นมา หนาและมีแลกเกอร์ที่เงางามกว่า Toyota รุ่นปกติ
ตามมาตรฐานของ Lexus อยู่เช่นเคย เวอร์ชันไทย จะมีสีตัวถังให้เลือก
รวมแล้ว มากถึง 10 สี ดังนี้

WHITE PEARL CRYSTAL SHINE <077>
MERCURY GREY MICA <1H9>
PLATINUM SILVER METALLIC <1J4>
BLACK <212>
STARLIGHT BLACK GLASS FLAKES <217> คันที่เห็นในรีวิวนี้
RED MICA CRYSTAL SHINE <3R1>
SLEEK ECRU METALLIC <4U7>
FIRE AGATE MICA MATALLIC <4V3>
SILVERY BLUE METALLIC <8U9>
LAPIS LAZULI MICA <8V3>

การเปิดประตูรถคันนี้ ใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล แบบ Smart Keyless Entry
พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer หน้าตารีโมทคอนโทรล ก็ไม่ได้แตกต่างไป
จาก Lexus GS และ IS รุ่นใหม่ เท่าใดเลย

เพียงแค่พกรีโมทกุญแจ แล้วเดินเฉียดกรายเข้าใกล้รถ ไฟในห้องโดยสาร และ
ไฟส่องพื้นถนน ใต้กระจกมองข้าง จะติดสว่างขึ้นมา ถ้าคุณดึงมือจับประตู เพื่อ
เปิดเข้าไปนั่งในรถ และคุณตั้งสวิชต์กระจกมองข้างไว้ที่ Auto มันจะกางออก
เองโดยอัตโนมัติ และพับเก็บเองโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณลุกออก และล็อกรถ

ถ้าจะล็อกรถ ปิดประตูแล้ว ใช้นิ้วแตะมือจับประตูด้านนอก จะมีหลุมขนาดเล็ก
แบบเดียวกับมือจับของ Lexus รุ่นอื่นๆ เพื่อรับสัญญาณจากรีโมทนั่นละครับ
ถ้าลืมกุญแจไว้ในรถ มันจะไม่ยอมล็อก และส่งเสียงร้องเตือนให้คุณสงสัยเล่น
จนรู้ว่า กุยแจรีโมทยังตกอยู่ภายในรถ

นอกจากนี้ยังมีสวิตช์ เปิดฝากระโปรงหลัง กดแช่ไว้ 2 วินาที รอให้ฝาประตู
ห้องเก็บของปลดล็อก ให้คุณ แต่จะไม่ดีดขึ้นมาให้เองแบบพวก BMW หรือ
Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ เพื่อความปลอดภัย รวมทั้งยังมีสวิตช์สีแดง
ไว้กดเปิดเสียงสัญญาณกันขโมย เพื่อไล่ผู้บุกรุกที่เข้ามาวุ่นวาย ใกล้กับรถ
องคุณขณะจอดอยู่เฉยๆ

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า บอกได้เลยว่า สะดวกง่ายดายกว่าคู่แข่ง
ไม่ใช่แค่เพราะว่า เบาะนั่งไฟฟ้าฝั่งคนขับ มีระบบ Comfort Seat เลื่อน
ปรับถอยหลังเองอัตโนมัติ พร้อมยกพวงมาลัยขึ้นให้เข้าไปนั่งบนเบาะ
ได้สะดวก

แต่ยังรวมถึงการออกแบบช่องทางเข้า – ออกของประตูคู่หน้า ให้มีขนาดใหญ่
และกว้างกว่า BMW 5-Series และประเด็นนี้ต่างหาก คือเหตุผลที่ทำให้
ผู้ซึ่งมีสรีระร่างใหญ่โตมโหฬาร อย่างตาแพน Commander CHENG ของ
พวกเรา สามารถก้าว ลงไปนั่งบนเบาะรถคันนี้ ได้อย่างสบายๆ โดยแทบ
ไม่ปริปากบ่นเลย!

แผงประตูด้านข้าง มีทั้งสวิตช์ Memory จำตำแหน่งเบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า
3 ตำแหน่ง ทั้งฝั่งซ้าย และขวา มือจับเปิดประตูจากด้านใน หน้าตาโบราณ
เหมือนที่เคยพบมาใน Toyota รุ่นต่างๆ มากมายหลายรุ่น แม้จะเป็นแบบ
โครเมียมก็ตาม มือจับประตู ทำเป็นช่องวางของได้ พร้อมผ้าสักกะหลาด
บุไว้ในช่องดังกล่าว ทั้ง 2 ฝั่ง ถัดลงไปข้างล่าง เป็นช่องวางของ ใส่สมุด
บันทึก และวางขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาท ได้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

ภายในห้องโดยสาร ยังคงให้ความสบาย ด้วยกลิ่นภายในที่ผ่อนคลาย
ตามสไตล์ Lexus เหมือนเช่นทุกรุ่นที่ผ่านๆมา

วัสดุหุ้มเบาะ ยังคงเป็นแบบเดียวกับ Lexus รุ่นอื่นๆ ที่ผมเคยขับมา คือ
บริเวณที่รองรับร่างกายของมนุษย์ จะเป็นหนังแท้ Semi-aniline แต่
แผงประตู และส่วนที่เหลือ เป็นหนังสังเคราะห์

อย่างไรก็ตาม หากลองใช้มือของคุณ ลูบไล้ไปบนพื้นผิวของหนังหุ้มเบาะ
ทั้ง 2 แบบนี้ จะพบว่า มันช่างให้สัมผัสเรียบลื่นกลมกลืนต่อเนื่องกันอย่าง
น่าประทับใจ! อีกทั้งยังเป็นหนัง แบบไม่ใช้สาร Solvent ในการฟอกย้อม
จึงไม่มี Volatile Organic Compounds (VOC)

นี่คือสิ่งที่ เบาะของ Mercedes-Benz และ BMW ประกอบในประเทศ จะ
ไม่มีวันให้คุณได้เลย!

เบาะนั่งคู่หน้า ทั้งฝั่งซ้าย และขวา ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง มี
สวิตช์ไฟฟ้าปรับดันหลัง มาให้ด้วย ทุกรุ่น มีหน่ายความจำตำแหน่งเบาะ
ตำแหน่งพวงมาลัยปรับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า
รวมทั้งกระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า มาให้ รวม 3 ตำแหน่ง โดยในรุ่น
Premium ที่เห็นอยู่นี้ จะเพิ่มหน่ายความจำตำแหน่งเบาะนั่งผู้โดยสาร
ด้านซ้ายมาให้อีก 3 ตำแหน่ง พร้อมระบบปรับเลื่อนเบาะคนขับทันที
ที่เปิดประตูแบบ Comfort Seat ด้วย!

พนักพิงเบาะหน้า ออกแบบมาให้โอบรับสรีระทุกสัดส่วนมากที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ ทั้งบริเวณช่วงไหล่ และกลางหลัง

น่าเสียดายที่พนักศีรษะ ถูกออกแบบให้ยื่นล้ำขึ้นมาข้างหน้านิดนึง เพื่อ
รองรับกระดูกต้นคอ ขณะเกิดการชน ตามสมัยนิยม เช่นเดียวกับรถยนต์
รุ่นใหม่ๆ ในช่วง 1 -2 ปี มานี้ หลายๆรุ่น ทำให้ผมเกิดอาการปวดเมื่อย
บริเวณกระดูกต้นคอ ช่วงหัวไหล่อยู่บ้าง แต่ยังถือว่า พอรับได้ เมื่อเทียบ
กับรถยนต์หลายๆรุ่น ที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้

เบาะรองนั่ง สามารถรองรับกับช่วงขาของผมได้พอดีทั้งหมด ความยาว
กำลังดี ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป แม้จะไม่มีเบาะยกขึ้นมารองรับกับ
บริเวณน่องขาได้แบบ Ottoman มาให้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย

พื้นที่เหนือศีรษะ บริเวณคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า โล่งสบาย
ในระดับพอดีๆ ไม่ได้ถึงกับโปร่ง หรืออึดอัดแต่อย่างใด

เมื่อเปิดบานประตูคู่หลังเข้าไป ผมยอมรับว่า หากมองจากสายตา ผม
แทบไม่ได้เห็นความแตกต่าง จาก Lexus LS 460 กันเลย ทั้งน้ำหนัก
ของบานประตู แรงที่ใช้ในการดึงมือจับแล้วเปิดประตูออกมา ขนาด
ของบานประตูคู่หลัง ไปจนถึงพื้นที่วางขา ของผู้โดยสารด้านหลัง

เพราะความจริงอันน่าตกใจ ก็คือ เมื่อลองวัดขนาดของภายในห้อง
โดยสารเป็น ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ออกมาแล้ว พื้นที่ห้องโดยสาร
ในภาพรวม ของ ES ใหม่ มีอัตราส่วนเป็น 96-99% ของ LS460 !!

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแล้วละครับว่า เหตุใด แม้แนวหลังคาจะดูเตี้ย
แต่การก้าวเข้า – ออก จากเบาะหลัง จึงสบาย และแทบไม่ต่างไปจาก
Lexus LS เลย! อาจต้องระวังเพียงแค่ ก้มศีรษะลงไปให้เยอะๆ ขณะ
ลงไปนั่งบนเบาะ เพราะศีรษะมีสิทธิ์โขกกับหลังคาได้ แค่นั้น

แผงประตูด้านข้าง หน้าตาคล้าย LS อยู่ไม่น้อย บริเวณมือจับเปิด
ประตูเท่านั้น ที่จะมี Trim ลายไม้ ประดับมาให้ ตำแหน่งวางแขน
สบายกำลังดี อาจจะเตี้ยไปสักนิดสำหรับการวางข้อศอก แต่กลับ
ไม่รบกวนความสบายในการวางแขนในภาพรวมเลย มีช่องเขี่ย
บุหรี่ มาให้ แต่ไม่มีช่องใส่ของด้านข้างแผงประตูมาให้

มีม่านหน้าต่าง ยกขึ้นและปลดจากตะขอเกี่ยวด้วยมือ แม้แต่กระจก
Opera สามเหลี่ยม ด้านข้าง ก็ยังมีม่านเล็กๆ มาให้ใช้งานกันด้วย
อย่างครบถ้วน

พนักพิงเบาะหน้า ออกแบบมาให้โอบรับสรีระทุกสัดส่วนมากที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ ทั้งบริเวณช่วงไหล่ และกลางหลัง

น่าเสียดายที่พนักศีรษะ ถูกออกแบบให้ยื่นล้ำขึ้นมาข้างหน้านิดนึง เพื่อ
รองรับกระดูกต้นคอ ขณะเกิดการชน ตามสมัยนิยม เช่นเดียวกับรถยนต์
รุ่นใหม่ๆ ในช่วง 1 -2 ปี มานี้ หลายๆรุ่น ทำให้ผมเกิดอาการปวดเมื่อย
บริเวณกระดูกต้นคอ ช่วงหัวไหล่อยู่บ้าง แต่ยังถือว่า พอรับได้ เมื่อเทียบ
กับรถยนต์หลายๆรุ่น ที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้

เบาะรองนั่ง สามารถรองรับกับช่วงขาของผมได้พอดีทั้งหมด ความยาว
กำลังดี ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป แม้จะไม่มีเบาะยกขึ้นมารองรับกับ
บริเวณน่องขาได้แบบ Ottoman มาให้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย

พื้นที่เหนือศีรษะ บริเวณคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า โล่งสบาย
ในระดับพอดีๆ ไม่ได้ถึงกับโปร่ง หรืออึดอัดแต่อย่างใด

เมื่อเปิดบานประตูคู่หลังเข้าไป ผมยอมรับว่า หากมองจากสายตา ผม
แทบไม่ได้เห็นความแตกต่าง จาก Lexus LS 460 กันเลย ทั้งน้ำหนัก
ของบานประตู แรงที่ใช้ในการดึงมือจับแล้วเปิดประตูออกมา ขนาด
ของบานประตูคู่หลัง ไปจนถึงพื้นที่วางขา ของผู้โดยสารด้านหลัง

เพราะความจริงอันน่าตกใจ ก็คือ เมื่อลองวัดขนาดของภายในห้อง
โดยสารเป็น ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ออกมาแล้ว พื้นที่ห้องโดยสาร
ในภาพรวม ของ ES ใหม่ มีอัตราส่วนเป็น 96-99% ของ LS460 !!

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแล้วละครับว่า เหตุใด แม้แนวหลังคาจะดูเตี้ย
แต่การก้าวเข้า – ออก จากเบาะหลัง จึงสบาย และแทบไม่ต่างไปจาก
Lexus LS เลย! อาจต้องระวังเพียงแค่ ก้มศีรษะลงไปให้เยอะๆ ขณะ
ลงไปนั่งบนเบาะ เพราะศีรษะมีสิทธิ์โขกกับหลังคาได้ แค่นั้น

แผงประตูด้านข้าง หน้าตาคล้าย LS อยู่ไม่น้อย บริเวณมือจับเปิด
ประตูเท่านั้น ที่จะมี Trim ลายไม้ ประดับมาให้ ตำแหน่งวางแขน
สบายกำลังดี อาจจะเตี้ยไปสักนิดสำหรับการวางข้อศอก แต่กลับ
ไม่รบกวนความสบายในการวางแขนในภาพรวมเลย มีช่องเขี่ย
บุหรี่ มาให้ แต่ไม่มีช่องใส่ของด้านข้างแผงประตูมาให้

มีม่านหน้าต่าง ยกขึ้นและปลดจากตะขอเกี่ยวด้วยมือ แม้แต่กระจก
Opera สามเหลี่ยม ด้านข้าง ก็ยังมีม่านเล็กๆ มาให้ใช้งานกันด้วย
อย่างครบถ้วน

พนักพิงเบาะหลัง ไม่สามารถปรับเอนได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะ
ความสบายที่ตัวเบาะมีมาให้ มันเพียงพอแล้ว การโอบรับกับสรีระตั้งแต่
ส่วนบนจนถึงส่วนหลัง เหมือนกับเบาะนั่งคู่หน้า ชนิดถอดแบบมาได้
ใกล้เคียงกันมากๆ ฟองน้ำโครงเบาะ นุ่มและแน่นแบบปานกลาง ใน
ระดับเดียวกัน Lexus LS ชัดๆ

เบาะรองนั่ง มีความยาวพอดีๆ ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินเหตุ รองรับ
ส่วนต้นขาได้ดีมาก

พนักศีรษะ เหมือนจะนุ่ม แต่ด้วยฟองน้ำที่แน่นหนา ทำให้มันแอบ
แข็งอยู่พอประมาณ คล้ายกับนวมสำหรับต่อยมวย คุณควรจะยกขึ้น
ใช้งาน แล้วล็อกตำแหน่งพนักศีรษะไว้ เลือกเอาจาก 3 ระดับความสูง
ที่มีมาให้ เพื่อให้พนักศีรษะ รองรับช่วงต้นคอได้สบายพอดีๆ ขณะ
เดินทาง

เรื่องตลกอันเป็นความจริงอีกประการหนึ่งก็คือ การยืนหยัดกับระบบ
ขับเคลื่อนล้อหน้า เหมือนเช่น ES รุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา และการขยาย
ระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น เป็น 2,850 มิลลิเมตร รวมทั้งการจัดการกับ
Packaging ของตัวรถ อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้พื้นที่วางขา  Legroom
ของผู้โดยสารด้านหลัง เยอะกว่า Lexus LS รุ่นฐานล้อสั้น!!

อย่างไรก็ตาม ด้วยการออกแบบแนวหลังคาให้ลาดลง เพื่อความลู่ลม
ย่อมส่งผลให้พื้นที่เหนือศีรษะของผู้โดยสารด้านหลัง เหลือไม่มาก
ต่อให้คุณจะตัวสูง 170 หรือ 175 เซ็นติเมตร คุณจะมีพื้นที่เหนือหัว
เหลือให้สอดนิ้วแทรกตรงกลางเข้าไปได้ 3 นิ้ว คือ ชี้ กลาง และนาง
เท่านั้น นี่ขนาดว่า มีพื้นที่เพิ่มขึ้นจาก ES รุ่นเดิม ถึง 20 มิลลิเมตร
ด้วยแล้วนะ เอาเป็นว่า นั่งแล้วหัวไม่ติดเพดาน ก็พอ

พนักวางแขน แบบพับเก็บได้ สามารถวางแขนได้สบาย แต่ตำแหน่ง
เตี้ยไปนิดหน่อย ถ้าคิดจะวางข้อศอก เพราะความสูงของพนักวางแขน
อยู่ในระดับเดียวกันกับพื้นที่วางแขนบนแผงประตูคู่หลัง พอดีเป๊ะ!

พนักวางแขนของ ES300h มีทั้งกล่องเก็บของ บุด้วยกำมะหยี่ พร้อม
ฝาปิด ทำจากหนังสังเคราะห์อย่างดี และแผงควบคุมสวิตช์เครื่องเสียง
กับเครื่องปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพื่อปรับทิศทางลม
จากช่องแอร์ 2 ตำแหน่ง บริเวณด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง

มองขึ้นไปที่เพดานหลังคา มีไฟส่องสว่าง สำหรับอ่านหนังสือมาให้
ทั้งซ้าย ขวา พร้อมไฟกลางเก๋ง ในตัว มีมือจับศาสดา ไว้ยึดเหนี่ยวรั้ง
จิตใจไว้ให้ เหนือบานประตู ครบทั้ง 4 จุด

นอกจากนี้ บริเวณฝั่งซ้ายมือของพนักพิงหลัง จะมีช่อง รับอากาศแบบ
ตั้งแถวตรงอยู่ อย่าได้ไปนั่งจนบดบัง หรืออึดอัดนะครับ นั่นคือช่องทาง
รับกระแสลมจากห้องโดยสาร เข้าไปยังพัดลม Blower เพื่อจะให้เกิด
ความเน็น กับแบ็ตเตอรี

เข็มขัดนิรภัย ของผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง

แต่สิ่งสำคัญอีกเรื่องก็คือ เบาะนั่งแถวหลัง พับไม่ได้นะครับ เนื่องจาก
บริเวณด้านหลังพนักพิงเบาะหลัง เป็นสถานที่สิงสถิต ของ แบ็ตเตอรี
Nickel Metal Hydrie ขนาดใหญ่ สำหรับระบบขับเคลื่อน

ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มาในสไตล์เดียวกับ LS ผู้พี่ เกือบทุกประการ
มีทั้งแผงบุเก็บเสียง ด้านหลังฝากระโปรง เสาค้ำยันฝาประตู ก็มีตัวครอบพลาสติก
มาให้ทั้ง 2 ฝั่ง แนวของช่องทางเข้า – ออกห้องเก็บของ ก็มีขนาดกว้าง และใหญ่
แถมยังมีแนวขอบเปลือกกันชนด้านบน ที่เตี้ย สะดวกในการขนถุงกอล์ฟ แบก
เข้า – ออกจากท้ายรถได้อย่างง่ายดาย

การเปิด – ปิด ใช้สวิตช์บนรีโมทกุญแจ สวิตช์ ที่แผงหน้าปัดฝั่งคนขับ หรือสวิตช์
ไฟฟ้า แบบสัมผัส ที่บริเวณแถบโครเมียม เหนือช่องติดป้ายตะเบียน แถมยังติดตั้ง
สวิตช์กด ปิดฝาท้ายลงมาเองโดยอัตโนมัติ แบบ Lexus RX และ LS มาให้อีกด้วย

ห้องก็บของด้านหลัง โดนแบ็ตเตอรี ระบบขับเคลื่อน กินพื้นที่ไปราวๆ 3.1
ลูกบาศก์ฟุต เมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐาน ES350 และ ES250 ดังนั้น คุณจึง
เหลือพื้นที่จุสัมภาระได้ 425 ลิตร ตามมาตรฐานของสถาบัน VDA เยอรมันี
มีขอเหล็กเกี่ยวยึดรั้งเชือก สำหรับตรึงสัมภาระไว้  ด้านข้างมีช่องใส่ข้าวของ
และอุปกรณ์ดูแลรักษารถยนต์มาให้

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของข้นมา จะพบยางอะไหล่ พร้อมแม่แรง และเครื่องมือ
ประจำรถ ติดตั้งไว้ในชุดโฟม เพื่อช่วยซับแรงสะเทือน ลดเสียงรบกวนใน
ขณะขับขี่

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบให้เน้นการใช้งานอย่างสะดวกสบายตามสรีระของ
มนุษย์ เป็นพื้นฐาน หรือ Human Orientation Interface รวมทั้งยัง
ออกแบบให้เพิมความรู้สึกเปิดโล่ง (sense of openness) แต่ยังต้อง
มีความหนักแน่น ปลอดภัย อุ่นใจ (sense of security) ควบคู่ไปด้วย

งานออกแบบแผงหน้าปัดของ Lexus นั้น เป็นความหรูที่ไม่ค่อยเหมือน
ชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังชื่นชอบบรรยากาศของ
Lexus ในทกรุ่น ทุกครั้งที่ขึ้นขับ คือความผ่อนคลาย จากกลิ่นเบาะหนัง
รวมทั้งพื้นผิวสัมผัส (Perceived Quality) ที่เด่นชัดกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ
รวมทั้งการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่แม้จะดูทางสายตาว่าน่าจะยุ่งยาก ทว่า
พอใช้งานจริงๆ กลับไม่ยาก และทำความคุ้นเคยได้ง่าย ทีมออกแบบ
ของ Lexus ยังคงแบ่งโซน การแสดงผล และโซนการควบคุม แยก
ออกจากกัน แต่ยังคงใช้งานได้ง่ายดายอยู่เหมือนเดิม

นี่เป็นเสน่ห์อีกประการ จากงานออกแบบของโลกฝั่งตะวันออก

ภายในห้องโดยสารของ ES300h คันที่เราลองขับ เป็นสีดำ แต่ยังมีสีเบจ
งาช้าง Ivory ให้เลือก ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเลือกสีตัวถังอะไร กระนั้น Trim
ที่ใช้ตกแต่งประดับทั้งแผงประตู แผงหน้าปัด หัวเกียร์ และแผงคอนโซลกลาง
ของเวอร์ชันไทย จะเป็นลายไม้ Bird Eye Maple เพียงแบบเดียวเท่านั้น

รายละเอียดปลีกย่อยที่ รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ แต่อยากให้รู้ไว้ นั่นคือ ชิ้นส่วนของ
แผงหน้าปัด บรเวณซึ่งต้องมีการเย็บด้าย สีตัดกับพื้นผิววัสดุหลัก นั้น คนที่
เย็บจะเป็น Takumi (ช่างฝีมือผู้ชำนาญงาน) 12 คน ซึ่งคนที่จะมาเป็น
Takumi ในตำแหน่งงานนี้ได้ ต้องผ่านการทดสอบบ้าๆ ด้วยการ สอบพับ
“แมวกระดาษ” Origami Cat โดยต้องใช้มือข้างที่ไม่ถนัด และต้องพับ
ให้เสร็จภายใน 90 วินาที!!!!

ห้ะ??

จากฝั่งขวา มากทางฝั่งซ้าย

บริเวณมือจับประตู มีสวิตช์ระบบหน่วยความจำตำแหน่งเบาะคนขับ
และพวงมาลัย กับกระจกมองข้าง 3 ตำแหน่ง (รวมทั้งฝั่งผู้โดยสาร
ด้านซ้าย ในรุ่น Premium)

สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า สั่งเลื่อนขึ้น – ลง ได้แบบ One – Touch
ทั้ง 4 บาน มีสวิตช์ล็อกไม่ให้ผู้โดยสารเปิดกระจก และสวิตช์สั่งล็อก
และปลดล้อกบานประตูทั้ง 4 บาน (Central Lock)

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านคนขับ สวิตช์ปรับและควบคุมการเปิด – ปิดกระจก
มองข้าง ด้วยไฟฟ้า ใช้งานง่ายดาย สะดวกเหมือนเคย หน้าตา ไม่เหมือน
สวิตช์ของ Lexus รุ่นอื่นๆ เท่าใดนัก มีสวิตช์ ปรับการพับกระจกแยกมา
ต่างหาก เลือกได้ เมื่อล็อกรถแล้ว จะให้กางกระจกมองข้าง ค้างเอาไว้
หรือปิดกลับเข้ามาโดยอัตโนมัติ แล้วกางออกเอง เมื่อสั่งปดล็อก หรือ
สั่งพับถาวรไปเลย

มีสวิชต์ เปิด – ปิด ระบบเซ็นเซอร์กะระยะ ขณะถอยหลังเข้าจอด
Parking Assist พร้อมแสดงการทำงาน บนหน้าจอมอนิเตอร์หลัก
สวิตช์ เปิด – ปิด ระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าอัตโนมัติ (ทำงานควบคู่กับ
ชุดก้านปัดน้ำฝน บนคอพวงมาลัยฝั่งขวา พร้อม Auto Rain Sensor)

ถัดลงมาเป็น ลิ้นชักขนาดเล็ก บุด้วยกำมะหยี่สำดำ ไว้ใส่เศษเหรียญ
หรือของจุกจิก เช่นพวกบัตรต่างๆ Easy Pass ฯลฯ ถัดลงไปเป็นปุ่ม
กดเปิดฝาถังน้ำมัน ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง และคันโยกเปิด
ฝากระโปรงหน้ารถ

พวงมาลัย ในรุ่น Premium เป็นแบบ 3 ก้าน หุ้ม หนัง ใช้ด้ายจริงเย็บ
เข้ารูป ตัดสลับกับไม้  เหือน Lexus LS แต่ตัวพวงมาลัย คล้ายกับรุ่น
CT200h แต่ไม่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด

มีก้านสวิตช์ระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control แบบมาตรฐาน
ที่ Toyota ยังคงใช้งานต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุค 1990 เป็นติ่งสีดำ ห้อยตัว
อยู่ใต้ก้านพวงมาลัยฝั่งขวา อันเป็นศนย์รวมสวิตช์ควบคุมการทำงานของ
โทรศัพท์ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบ Bluetooth ของเครื่องเสียง ปุ่ม DISP
มีไว้ ดูการทำงานของจอ Multi Information Display บนมาตรวัด
และใช่ตั้งค่า Reset ข้อมูล ของหน้าจอ MID

ส่วนสวิตช์บนก้านพวงมาลั่ยฝั่งซ้าย ไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง ทั้งหมด ปุ่ม
Push Start ติดตั้ง อยู่ทางฝั่งซ้าย ติดกับแผงควบคุมชุดเครื่องเสียงและ
สวิตช์ปรับความสว่างของชุดมาตรวัด

บริเวณใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศ ใกล้กับคันเกียร์ จะมี สวิตช์มือบิด แป้น
กลมๆ ขนาดใหญ่ นั่นคือ สวิตช์หมุนเลือกโหมดการขับขี่ เหมือนกับ รุ่น
CT200h รวมทั้ง ตระกูล IS และ GS (พักหลังมานี้ Lexus ใส่มาให้เกือบ
ครบทุกรุ่น)

ชุดมาตรวัด เป็นแบบ 2 วงกลม มีการแสดงผล 2 รูปแบบ เหมือนกับ Lexus CT200h
นั่นละครับ

ถ้าคุณเลือกหมุนไปทางฝั่งซ้าย ECO กดลงไป เป็น Normal หรือ EV Mode ชุดมาตรวัด
จะแสดงผล ปกติ คือเรืองแสงด้วยสีน้ำเงิน เข็มมาตรวัดฝั่งซ้ายจะทำหน้าที่ แจ้งสภาพ
การทำงานของระบบ Hybrid ในการขับขี่ปกติ เข็มมาตรวัดควรจะอยู่ในแถบ ECO เพื่อ
ความประหยัดน้ำมัน ถ้าเร่งแซงเต็มที่ เข็มจะถูกกวาดยกขึ้นไปอยู่ในแถบ Power และ
ถ้าเหยียบเบรก หรือชะลอความเร็ว เข็มควรจะหล่นลงมาอยู่ในแถบ Charge หรือให้
ระบบ Hybrid ชาร์จไฟกลับเข้าไปเก็บในแบ็ตเตอรี Nickel Metal Hydride นั่นเอง

แต่ถ้าคุณ หมุนมาทางขวาที่โหมด Sport ชุดมาตรวัดจะเปลี่ยน Theme มาเป็นสีแดง
ขณะเดียวกัน มาตรวัดฝั่งซ้าย จะเปลี่ยน กลายมาเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ทันที!
ไว้แสดงการทำงานของเครื่องยนต์ ขณะขับขี่ทางไกล ซึ่งเครื่องยนต์จะมีโอกาส
ทำงานได้บ่อยและถี่กว่าระบบมอเตอร์ไฟฟ้า

มองจากทางด้านซ้ายเข้ามายังตรงกลาง

ลิ้นชักเก็บของด้านหน้า มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก ดูอีกที อ้าว!
ที่เรามองว่ามันไม่ใหญ่หนะ ก็เพราะว่า คู่มือผู้ใช้รถ กับคู่มือการ
ใช้ระบนำทางนั้น Lexus เขาจะให้คุณมาครบ ทั้งภาษาไทย
และ อังกฤษ มันก็อัดแน่นหนาปึก ยัดทะนานรวมๆกันอย่ในนั้น
หนะสิครับ นี่ถ้ารวมเอกสารประจำรถจำพวก สมุดทะเบียน และ
กรมธรรม์ประกันภัยเข้าไปด้วย คงต้องทำใจว่า คุณจะไม่เหลือ
พื้นที่เก็บของอื่นใดแหงๆ

แผงควบคุมกลาง ออกแบบและจัดวางสวิตช์เอาไว้ ในตำแหน่งที่
สะดวกต่อการคลำใช้งาน และจดจำว่า อะไรอยู่ตรงไหน แต่มัน
ไม่สวยงามเท่าไหร่ ดูเรียบๆ โล้นๆ ไป ตำแหน่งสวิตช์ไฟฉุกเฉิน
Hazzard Light ก็มีขนาด ตามมาตรฐานไปสักหน่อยไม่ใหญ่พอ
เวลาจะใช้ ตอนที่ต้องเหยียบเบรกกระทันหันผมต้องชะงักไปอยู่
เสี้ยววินาที ก่อนจะนึกได้ว่ามันอยู่ตรงกลางแผงควบคุมนั่นเลย
ทำปุ่มให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดก็ดีครับ ถ้าคิดจะติดตั้งปุ่มนี้ ไว้ตรงกลาง
อย่างนั้น

นาฬิกาแบบเข็ม ดูสวยงามมาก ต่อให้ถอดตรา Lexus ออกเอาไปใส่
ตราของนาฬิกาแพงๆบางยี่ห้อ ผมก็จะเชื่อนะ ว่าเป็นของจริง ถือว่า
ออกแบบมาได้ดีมาก

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ 3 Zone แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา และมีช่องแอร์
สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง แน่นอนครับ แอร์จาก DENSO ยังไงๆ ก็เย็น
ฉ่ำที่สุดในปฐพีโลกรถยนต์แล้วละ เย็นจนต้องถามเลยว่า จะเย็นแข่งกับ
ขั่วโลกเหนือเลยใช่ไหม? ตั้งไว้ 25 องศา ดันหนาวผิดจากความจริง

มีใครบางคน เคยบอกผมไว้ว่า แอร์ของรถยนต์ Toyota และ Lexus
นั้น ถ้าตั้งไว้ 25 องศาเซลเซียส แล้ว อุณหภูมิจริง มันอาจอยู่ที่ระดับ
23 องศาเซลเซียส ไม่รุ้ว่าจริงไหม ยังไม่เคยลองเช็คดูสักที

แต่คราวนี้ มีพัดลมเย็นๆ ซ่อนอยู่ในเบาะคู่หน้า สำหรับผู้ขับขี่
และผู้โดยสาร โดยสวิชต์ เปิดได้ 3 ระดับ ติดตั้งอยู่ใต้สวิตช์เครื่อง
ปรับอากาศ แบบ Digital นั่นละครับ

ใช้งานจริง ก็เย็นพอประมาณ แต่เสียงพัดลม ดังอยู่นะ ดังจน
สังเกตเลยว่า มันดังไปหน่อยไหม?

ด้านความบันเทิง จัดมาให้ เหมือนกับ Lexus IS GS และ LS
นั่ละครับ เป็นชุดเครื่องเสียง แบบมาตรฐาน ประกอบไปด้วย
วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 1 แผ่น มีช่องเสียบ
USB และ AUX เชื่อมต่อกับอุปกรณ์มือถือ Gadget ต่างๆ และ
มีระบบ Bluetooth เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไว้ใช้ได้ทั้ง
โทรศัพท์ และเล่นไฟล์เพลง จากในมือถือ หรือ Flash Drive

ทั้งหมดจะแสดงผลผ่านหน้าจอมอนิเตอร์สี EMV ขนาด 8 นิ้ว มีเพียง
Premium เท่านั้น ที่จะติดตั้ง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS
Navigation System แสดงข้อมูลได้ทั้งแบบ 2 และ 3 มิติ แถม
ยังสามารถรับข้อมูลการจราจร สดๆ แบบ Real Time ได้จากทาง
ศูนย์ข้อมูลการจราจร ของ บก.จร. อีกด้วย!! (มีมาตั้งแต่ CT200h
แล้วละครับ และมีมาให้ทั้ง IS กับ GS ทุกคันที่ติดตั้งระบบนำทาง
เวอร์ชันไทยด้วย แน่นอนว่า ไม่มีในรถยนต์ของผู้นำเข้ารายย่อย
แน่ๆ) แถมยังแสดงภาพหน้าปก CD ขณะเล่นเพลง ได้ อีกด้วย

ควบคุมการทำงานของทุกอุปกรณ์ ด้วย Lexus Remote Touch
อุปกรณ์หน้าตาคล้าย Mouse คอมพิวเตอร์ ติดตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือของ
ผู้ขับขี่

การใช้งาน Remote Touch ไม่ยากเลย ก็คล้ายกับการใช้ Mouse
นั่นละครับ ถ้าต้องการเลือกใช้งานอุปกรณ์หรือคำสั่งใด เอานิ้วชี้และ
กลาง 2 นิ้ว เลื่อนไปบนแป้นลอยตัว สี่เหลี่ยมด้านบน

ด้วยการออกแบบอันชาญฉลาด ทำให้ แป้นดังกล่าว สามารถล็อก
ตำแหน่งเมนูปุ่มบนหน้าจอได้โดยอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่ต้องเลื่อน
ขยับลูกศรให้ตรงตำแหน่งด้วยตัวเอง ไม่ว่าหน้าจอจะเปลี่ยนเมนู
ไปแล้วเป็นแบบใดก็ตาม ถ้าต้องการยืนยันเมนู หรือสั่งการทำงาน
สามารถกดแป้น เลือกลงไปได้เลย ปรับปรุงขึ้น จากเดิมที่ต้องกดปุ่ม
Enter ข้างชุด Mouse

ถ้านึกไม่ออก บอกไม่ถูก อยากย้อนกลับมาที่ เมนูหลัก ง่ายมากครับ
ให้กดปุ่ม Menu ถ้าต้องการเลื่อนหน้าจอ ขึ้น ลง กดตามลูกศรได้เลย
หรือถ้าจะเปลี่ยนไปแสดงภาพแผนที่ของระบบนำทาง ก็กดปุ่ม MAP
ได้ทันที

คุณภาพเสียง บอกได้เลยว่า ดีในระดับที่ผมคาดหวัง เหมาะกับการ
ฟังเพลง ในแนว Jazz หรือ Vocal เสียงเบสนุ่ม ทุ้มลึก กระนั้น
การเก็บรายละเอียดเครื่องดนตรี ในบางชิ้น บางเพลง อาจยังทำได้
ไม่ดีเท่าใดนัก หากอยากได้คุณภาพเสียงระดับเทพๆ จากเครื่องเสียง
Mark Levinson ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ คราวนี้ เวอร์ชันไทย
ไม่มีมาให้เลือกติดตั้งกันแล้วเพราะไม่เช่นนั้น คงทำราคาขายปลีก
อย่างที่เป็นอยู่นี้ ไม่ได้แน่ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ระบบ Remote Touch ยังสามารถพาคุณเข้าไป
ปรับตั้งค่าของการแสดงผลหน้าจอ การแสดงข้อมูลระบบนำทาง
การแสดงข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆในตัวรถ ตั้งค่า ให้เตือนในการ
นำรถยนต์เข้าตรวจเช็คตามระยะทางที่กำหนด แสดงข้อมูลด้าน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทั้งแบบ Real Time และแบบเฉลี่ย
แสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อน Hybrid แบบ Real Time
นอกจากนี้ ยังแสดงผลเป็นภาษาไทย ได้ด้วย แต่เวอร์ชันไทย
จะไม่สามารถแสดงข้อมูลภาษาจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่น ได้

มองลงไปด้านข้างลำตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า จะพบช่อง
วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ซึ่งออกแบบให้วางได้แม้แต่ขวดน้ำดื่มขนาด
7 บาท เพียงแต่ มีการแยกตำแหน่งไว้อย่างชัดเจน หากเป็นของ
ผู้โดยสารฝั่งซ้าย จะติดตั้งอยู่ข้างสวิตช์มือบิด เลือกโปรแกรมการ
ขับขี่ มาพร้อมฝาปิด วัสดุสังเคราะห์ กดแล้วปล่อยมือ ฝาจะยกตัว
เปิดขึ้นให้เอง

แต่สำหรับผู้ขับขี่แล้ว ช่องวางแก้วจะอยู่ติดกับลำตัวด้วยซ้ำ เป็น
ช่องวางแก้ว แบบมีฝาปิดทำจาก Trim ลายไม้ ถ้าจะใช้งาน ให้
ใช้นิ้ว ดันฝาเลื่อนยกขึ้นได้เลย แต่ถ้าจะปิดให้กดปุ่ม PUSH เพื่อ
ให้ฝาจะครอบกลับมาปิดให้เอง

ออกแบบมาแปลกประหลาด ชวนให้มึนงง นิดหน่อย แต่ยังถือว่า
ใช้งานง่าย ไม่ยาก User Friendly

ส่วนกล่องเก็บของ คอนโซลกลาง บุด้วยผ้าสักกะหลาด สีดำ ขนาด
ใหญ่โตมาก ใส่กล่อง CD ได้เยอะ น่าจะราวๆ เกือบ 15 แผ่น ก็ได้
หรือจะเอาไว้ วางปืนพก ก็ย่อมได้ มีถาดเล็กๆ วางของจุกจิก จำพวก
ปากกา ลูกอม หรือเข็มกลัด ยกถอดออกไปเก็บไว้ในช่องเก็บของ
บริเวณลิ้นชักด้านหน้าก็ได้ บุพื้นด้วยผ้าสักกะหลาดสีดำเช่นเดียวกัน

ด้านในกล่องเก็บของ มีช่องเสียบ USB และ AUX สำหรับโทรศัพท์
เคลื่อนที่ หรือ Flash Drive มาพร้อมฝาปิดขนาดเล็ก

ฝาปิดด้านบน ออกแบบเป็นพื้นที่วางแขน หุ่มด้วยหนังสังเคราะห์ ให้
สัมผัสที่นุ่มลื่น วางแขนและข้อศอกได้สบายพอดี ถ้าคุณปรับเลื่อนเบาะ
ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ลงไปอยู่ในระดับต่ำสุด

มองขึ้นไปบนเพดานหลังคา Lexus ES300h เวอร์ชันไทยทุกคัน จะติดตั้ง
แผงบังแดดแบบแข็ง พร้อมกระจกแต่งหน้า แบบมีฝาเลื่อนเปิด – ปิด และ
ไฟส่องสว่างเพื่อแต่งหน้า ฝังอยู่ด้านบนเพดาน มาให้ทั้ง 2 ฝั่ง

กระจกมองหลัง เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ไฟส่องสว่าง กลางเก๋ง มีปุ่ม
เปิด – ปิด เฉพาะด้านหน้า หรือด้านหลังด้วย รวมทั้ง ไฟส่องอ่านแผนที่
ทั้งฝั่งซ้าย และขวา

รวมทั้งหลังคา Sun Roof แบบ ยกขึ้นและเลื่อนเปิด – ปิด ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า
พร้อมม่านบังแสงแบบแข็ง เลื่อนเปิด – ปิด ได้ด้วยมือ ทั้งหมดนี้ ต้องขอย้ำ
กันตรงนี้เลยว่า มีมาให้ ครบทุกคัน

เหตุผล ที่ทั้งรุ่นถูกกับรุ่นท็อป ของเวอร์ชันไทย มีหลังคารับลมติดตั้งมาเป็น
อุปกรณ์มาตรฐาน ก็เพราะว่า ในตอนที่สั่งสเป๊กไป ทาง สำนักงานใหญ่ ณ
ญี่ปุ่น ของ Toyota แจ้งมาว่า เราสามารถเลือกหลังคาได้แค่ 2 แบบ คือแบบ
มี Sun Roof หรือแบบ หลังคา กระจก Panoramic Glass Sun Roof  พร้อม
ม่านบังแดดไฟฟ้า ครบด้านหน้าและด้านหลัง  แค่นั้น เพราะคราวนี้ ทาง
Toyota ไม่ได้ผลิตหลังคาแข็ง แผ่นเหล็กล้วน มาให้เลือกเลยทั้งสิ้น!

เออ อย่างนี้ก็มีด้วยวุ้ย!

วัสดุบุเพดานหลังคานั้น เป็นผ้าแบบอ่อนนุ่ม ชวนให้สัมผัส ถ้าไม่เกรงใจ
ว่ามันเป็นสีอาอน ซึ่งเลอะเทอะง่าย ผมคงลูบไล้มันไปนานกว่านี้แน่ๆ

ทัศนวิสัย ด้านหน้า ยังถือว่ามีการมองเห็นได้ดี การปรับเบาะคนขับให้อยู่
ในระดับ ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นรถมากที่สุด ก็ยังไม่มีปัญหากับการกะระยะขณะ
ขับขี่ ไปบนถนน ตำแหน่งชุดมาตรวัด กับจอมอนิเตอร์สี EMV ติดตั้ง
อยู่ในระดับที่เหมาะสมดีแล้ว

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา แอบมีการบดบังรถยนต์ หรือจักรยานยนต์
ที่แล่นสวนมาตามทางโค้งขวา ข้างหน้า น้อยกว่ารถคันอื่นๆ หลายๆรุ่นที่ผม
เคยเจอมา ถือว่า ออกแบบมาได้ดีเลยละ

กระจกมองข้าง ของเวอร์ชันไทย ไม่มีระบบสัญญาณแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนเลน
มาให้แต่อย่างใด กระนั้น ภาพจากกระจกมองข้าง ก็ยังชัดเจนอยู่ อาจมีกรอบ
ของกระจกมองข้าง ไปบดบังทัศนวิสัย แค่ริมขอบนิดหน่อยแค่นั้น

เช่นเดียวกันกับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ที่ยังพอมีการบดบัง รถยนต์ที่
แล่นสวนทางมา ในขณะที่คุณกำลังคิดจะเลี้ยวกลับรถ ในตำแหน่งที่ใกล้เคียง
กับ Camry รุ่นปี 2007 อยู่ไม่น้อย

กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย หากมองจากตำแหน่งเบาะคนขับอย่างนี้ ถือว่า มีกรอบ
ด้านใน คอยบดบังตามขอบกระจก อยู่เล็กน้อย ไม่เยอะนัก และไม่มีผลต่อ
การมองเห็นรถจักรยานยนต์ ที่แล่นมาขนาบด้านข้าง

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง ถือได้ว่า แอบโปร่งตากว่าที่คิด จากพื้นที่กระจกหน้าต่าง
ซึ่งแอบเยอะสะใจ ทั้งที่มีพื้นที่กระจก เหลือไว้แค่ในระดับเหมาะสม เท่านั้น
การถอยหลังกะระยะเข้าจอด อาจต้องพึ่งพา กล้องมองภาพ แต่การมองเห็น
จักรยานยนต์ ที่แล่นตามมาจากด้านหลัง ยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ ES300h อาจมีฝาครอบเครื่องยนต์ ไม่คุ้นตา แต่ถ้านั่งกางสเป็ก
อ่านกันดีๆ คุณจะรู้เลยว่า มันยิ่งกว่าคุ้นเคยเสียอีก เพราะ เป็นขุมพลังระบบ
Hybrid ชุดเดียวกันกับที่คุณเคยเจอมาแล้วใน Camry Hybrid รุ่นปัจจุบันนี่ละ!

เครื่องยนต์ เป็นแบบ 2AR-FXE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,494 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 90.0 x 98.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.5 : 1 ฉีดจ่าย
เชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI พร้อมการทำงานของกระบอกสูบแบบ Atkinson 
Cycle ระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ VVT-i 

อย่างไรก็ตาม มีการปรับจูนให้แตกต่างจาก Camry Hybrid นิดหน่อย ทั้ง
การปรับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ ท่อร่วมไอดี กับท่อร่วมไอเสีย เพื่อช่วย
ลดอาการสูญเสียแรงดันในท่อร่วมทั้งไอดีและไอเสีย การติดตั้งกระเดื่องวาล์ว
แบบ Roller Rocker Arm การใช้แหวนลูกสูบแบบใหม่ Lower tension
การลดน้ำหนักในชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ เพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน การ
ปรับขนาดและงานออกแบบของ Crankshaft กับ อ่างน้ำมันเครื่อง ใหม่
การปรับขนาดของ Water Jacket ที่ฝาสูบ เพิ่มตัวรอง Spacer ที่ชุด
Water Jacket แถมยังมีการปรับการไหลของส่วนผสมอากาศกับน้ำมัน
(ไอดี) จากหัวฉีด เพื่อให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพดีขึ้นในทุกย่านความเร็ว
แถมยังปรับปรุงเครื่องยนต์ เพื่อให้ลดอาการเขก (Knock) ในขณะที่ต้อง
กำลังอัดเพิ่มขึ้นไปถึง 12.5 : 1 ทั้งที่ยังใช้น้ำมันเชื้อเพลิง Regular
ค่าออกเทน 91 ได้

กำลังสูงสุดจากเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว อยูที่ 160 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตร (21.7 กก.-ม.) ที่ 4,500 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย ชุดระบบส่งกำลัง P314 ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า
กระแสสลับ แบบแม่เหล็กถาวร Premanant Magnet Type รุ่น 2JM
ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ หรือ 143 แรงม้า (PS)
ทำหน้าที่เป็นทั้งมอเตอร์ระบบขับเคลื่อน รับกำลังไฟฟ้าจากแบ็ตเตอรี ไป
หมุนล้อคู่หน้า และจะทำหน้าที่เสมือน Generator (เครื่องกำเนิดพลังงาน)
ส่งไฟฟ้ากลับไปยังแบ็ตเตอรี ในขณะที่คุณชะลอความเร็ว หรือเหยียบเบรก
ให้รถไหลจนหยุด เพื่อให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จึงต้องมีการติดตั้งระบบ
Power Spilt Device หรือ Power Control Unit เพื่อควบคุมมอเตอร์
ระบบขับเคลื่อน เพื่อทำหน้าที่เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ไปด้วยในตัว
ทำงานร่วมกับแบ็ตเตอรี แบบ Nickel-Metal Hydride

รวมกำลังสูงสุดจากระบบขับเคลื่อนอยู่ที่ 151 กิโลวัตต์ หรือ 205 แรงม้า
(PS) เท่ากันกับ ขุมพลังของ Camry Hybrid ไม่มีผิดเพี้ยน

ทันทีที่กดปุ่ม Power เพื่อให้ระบบขับเคลื่อนพร้อมทำงาน ต้องเหยียบเบรก
ไปพร้อมกับการกดปุ่มด้วย รอจนกว่าจะมีไฟ READY สีเขียว สว่างขึ้นมา
ซึ่งก็ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที ถ้าพร้อมแล้ว คุณสามารถ เหยียบเบรก ปลด
คันเกียร์จาก P ลงมายัง R เพื่อถอยหลัง หรือ D เพื่อเดินหน้า เหมือนเช่น
เกียร์อัตโนมัติทั่วๆไป ได้เลย

การทำงาน ก็ยังคงเหมือนระบบ THS (Toyota Hybrid System) ทั่วไป
นั่นละครับ ขณะออกรถ ถ้าคุณเหยียบคันเร่งช้าๆ เบาๆ รถจะเคลื่อนตัวอย่าง
นุ่มนวลด้วยการทำงานของ Motor ไฟฟ้า ในโหมดนี้ ถ้ามีไฟในแบ็ตเตอรี
มากพอ คุณสามารถกดปุ่ม EV Mode ให้ระบบ Hybrid ขับเคลื่อนรถด้วย
พลังงานไฟฟ้า ปั่นมายัง Motor ล้วนๆ เพียงอย่างเดียวก็ทำได้

แต่ถ้าไฟในระบบไม่พอ ระบบ EV Mode จะไม่ทำงาน มันจะขึ้นสัญญาณ
เตือน “ตื๊ดๆ” และขึ้นข้อความเตือนบนหน้าจอ MID บนหน้าปัด จากนั้น รถ
ก็จะกลับมาขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์เบนซินตามปกติ

ในการขับขี่บนทางด่วน หรือทางไกล ถ้าขับด้วยความเร็วคงที่ต่อเนื่องกัน
หรือเปิดระบบรักษาความเร็วคงที่ Cruise Control ระบบ Hybrid จะ
ปล่อยให้ เครื่องยนต์ ทำงานเพียงอย่างเดียว ตามลำพัง โดยมอเตอร์ไฟฟ้า
ช่วยทำงานบ้าง ในบางจังหวะ และทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรี
นิดๆหน่อยๆ อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา

แต่ถ้าผู้ขับขี่ต้องการอัตราเร่ง หรือต้องการเร่งแซงทันด่วน ให้เหยียบคันเร่ง
มากขึ้น จะครึ่งหนึ่ง หรือเกินกว่านั้นก็ได้ ระบบจะรับรู้ และสั่งให้ มอเตอร์
เข้ามาช่วยเสริมหน้าที่กับเครื่องยนต์ พารถให้เร่งพุ่งแซงขึ้นหน้าไป อย่าง
รวดเร็ว และนุ่มนวล

และเมื่อใดที่คุณถอนเท้าจากคันเร่ง หรือ เริ่มเหยียบเบรก มอเตอร์ไฟฟ้า
จะทำงาน เป็น Generator ปั่นไฟ หรือดึงพลังงานจลย์ที่ใช้ในการเบรก
เปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า ส่งไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรี เพื่อใช้กับระบบ
ขับเคลื่อนต่อไป

คันเกียร์ เป็นแบบขั้นบันได ไม่วิลิศมาหรา เหมือน CT200h แต่จะเหมือนใน
GS450h มากกว่า มีโหมด บวก-ลบ มาให้ ล็อกอัตราทดเกียร์ได้ 6 จังหวะ
แต่ไม่ต้องมาถามถึงอัตราทดเกียร์ และอัตราทดเฟืองท้ายนะครับ เพราะผม
พยายามค้นหาจนทั่วแล้ว ไม่มีการแจ้งข้อมูลตรงนี้ไว้ในเอกสารใดๆจาก
Toyota เลย

เพียงแต่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนเกียร์ ลงต่ำ (Shift Down) นั้น มอเตอร์
จะถูกเซ็ตไว้ว่า หากเปลี่ยนจาก 6 ลง 5 และ 5 ลง 4 ไม่มีการกำหนดความเร็ว
ตายตัว แต่ถ้า 4 ลง 3 ความเร็วต้องไม่เกิน 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์ 3 ลง 2
ไม่เกิน 115 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเกียร์ 2 ลง 1 ไม่เกิน 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ส่วน โปรแกรมการขับขี่ Drive Select Mode ที่ต้องหมุนๆบิดๆ เลือกๆ เอา
บนแผงควบคุมกลางนั้น โหมดการขับขี่ มีอยู่ด้วยกัน 4 Mode คือ

– Normal Mode กดปุ่มลงไป เป็นการขับขี่แบบปกติ ในเมือง หรือเดินทางไกล
ไม่เน้นสมรรถนะมากนัก และประหยัดน้ำมันแบบเรื่อยๆ

–  ECO mode เน้นขับประหยัด คันเร่งจะตอบสนอง Lag ลงไปอย่างชัดเจน
หน่วงขึ้นกว่าปกติ การเปิด-ปิดวาล์ว ลดลง เครื่องปรับอากาศจะทำงานน้อยลง

– หมุนไปทางขวา Sport Mode เน้นการตอบสนองที่ไวขึ้นของคันเร่ง และ
พวงมาลัยที่ถูกปรับให้หนืดขึ้นนิดหน่อย แบบที่แทบไม่รู้สักเลย

– และถ้าต้องการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว ตอนคลานเข้าหมู่บ้าน ให้
กดปุ่ม EV Mode ที่อยู่ติดกัน แต่นะบบจะทำงานต่อเมื่อ มีไฟฟ้า เหลือใน
แบ็ตเตอรี เยอะกว่า 3 ขีด เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมการขับขี่ “Drive Mode Select” ไม่ได้ส่งผลกับ Logic
ของการเปลี่ยนเกียร์ แต่ส่งผลกับคันเร่งนะ..และยังไงๆ คันเร่งแม่งก็ส่งผลถึงเกียร์อยู่ดี!
….เอ๊ะ ยังไงของมันวะเนี่ย?

ตัวเลขจากทางโรงงาน ระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 8.5 วินาที
ความเร็วสูงสุด อยู่ที่ 180 กิโลเมตร.ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 21.08
กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำมาก เพียง 91.02 กรัม/ ระยะ
ทางแล่น 1  กิโลเมตร เท่านั้น! เท่ากับว่า เวอร์ชันสำหรับจำหน่ายในเมืองไทย
ผ่านมาตรฐาน Euro 4 With OBD เรียบร้อยแล้ว

ตัวเลขจริงจะเป็นอย่างไร เรายังคง ทำการทดลอง จับเวลา ในยามค่ำคืนตามเคย
โดยใช้มาตรฐานเดิมคือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน อย่างไรก็ตาม เราทำการ
ทดลอง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่า
จะใช้โปรแกรมการขับขี่ แบบไหน แต่สำหรับการจับเวลาช่วงเร่งแซง เราทำทั้ง
โหมด Normal และ Sport เพื่อที่จะได้พบว่า ตัวเลขจาก ทั้ง 2 โหมด แตกต่าง
ไม่เหมือนกัน และผลลัพธ์ที่ได้ อยู่ตรงนี้.

ตัวเลขที่ออกมา เป็นไปตามความคาดหมาย อัตราเร่งของ ES300h นั้น อยู่ใน
ระดับเดียวกันกับ Camry Hybrid แม้จะด้อยกว่ากัน 0.06 วินาที แต่ไม่สำคัญ
เท่ากับอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าใช้โหมด
Sport ร่วมกับการผลักคันเกียร์ ลงมายัง เกียร์ 3 ช่วยด้วย ตัวเลขที่ออกมานั้น
น่าอัศจรรย์มาก เพราะมันแรงในระดับเดียวกับ Nissan Pulsar DIG Turbo!!!

ยิ่งเมื่เทียบกับคู่ชกโดยตรง อย่าง Mercedes-Benz E300 Diesel Bluetec
Hybrid (แค่ชื่อรุ่น นี่ก็ยาวจนหมดบรรทัดนึงเลยทีเดียว) จะพบว่า ตัวเลขที่
ES300h ทำได้นั้น เร็วกว่า ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าว ลอง
จินตนาการว่า ถ้าต้องออกตัวพร้อมๆกัน จากจุดหยุดนิ่ง และใช้เกียร์ D
เท่านั้น เหมือนกันทั้งคู่ ES300h จะขึ้นนำ E300 Diesel Hybrid ไปแบบ
ไม่เกินช่วงคันรถ แต่พอถึง 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง E300 Diesel Hybrid
จะแซงขึ้นหน้า ES300h และทิ้งหายไปไกลลิบชนิดที่ ES300h ไม่มีวัน
ไล่ตามได้ทันเลย

แหงละครับ ดูความเร็วสูงสุดกันเสียก่อน ต่างกันลิบลับขนาดนั้น ตามทัน
ก็บ้าแล้ว!

แต่ถ้าต้องเทียบกับ BMW แล้วละก็ ต้อง พึ่งพา 525d ขึ้นไป จึงจะโค่น
ES300h ลงได้ ที่เหลือ อาจทำได้แค่ ตามติดในระยะกระชั้นชิด จนกว่า
จะถึง 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป จึงจะแซงขึ้นหน้าไปได้สบายๆ

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น ตามข้อมูลจากทางโรงงาน ระบุว่า ถูกล็อกเอาไว้ ที่
180 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยเหตุที่การแสดงผลบนมาตรวัดมันเพี้ยน ดังนั้น
ในความเป็นจริง มาตรวัดจะขึ้นไปนิ่งสนิทอยู่ที่ 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และถ้าต้องเปิดโหมด Sport เพื่อดูมาตรวัดรอบไปด้วย จะพบว่า อยู่ที่ระดับ
4,200 รอบ/นาที

ไม่ต้องกลัวครับ ยังไงก็ไม่เร็วไปกว่านี้แล้ว ความเร็วสูงสุด หมดลงเท่านี้
น้อยกว่า Corolla Altis อยู่ราวๆ 7 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ตามมาตรวัด)

ย้ำกันเหมือนเช่นเคยนะครับ เราไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลองทำความเร็ว
สูงสุด เช่นที่เราทำให้คุณผู้อ่านดูนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร เราทำ
ให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้ เพื่อการศึกษา ไม่ได้กดแช่กันยาวหรือ
มุดกันจนเสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทาง เราให้ความสำคัญ และระมัดระวังกับ
เรื่องนี้มากๆ เราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอาเอง
ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิต
ของคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความปลอดภัยของคุณ
แต่อย่างใดทั้งสิ้น!

ในการขับขี่จริง อัตราเร่งที่มีมาให้ จากจุดหยุดนิ่ง จนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ก็เร็วพอๆกันกับ Camry Hybrid ไม่มีผิดเพี้ยนเลยนั่นละครับ เพียงแต่ว่า ช่วง
ออกตัว จะนุ่มนวล และสุภาพ มีบุคลิกของ “ผู้ดี” เยอะกว่า Camry Hybrid
นิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ จังหวะการเร่งแซง หรือการเรียกใช้พละกำลัง
จากเครื่องยนต์นั้น ปริมาณไฟฟ้าในแบ็ตเตอรี จะเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกันกับ
อัตราเร่งที่คุณจะได้รับอย่างชัดเจน

ถ้าไฟในแบ็ตเตอรีเหลือเยอะ มอเตอร์จะเรียกกำลังไฟจากแบ็ตเตอรีกลับมา
ใช้งานได้มาก อัตราเร่งจะดี ตัวเลขออกมาจะไวมากกว่าที่คิด

แต่ถ้าไฟในแบ็ตเตอรี เหลือน้อย มอเตอร์จะเรียกกำลังไฟออกมาใช้ได้ไม่เต็มที่
และต้องพึ่งพาพละกำลังจากเครื่องยนต์มากขึ้น ทำให้ตัวเลขออกมา ด้อยลงไป
ชัดเจน

กระนั้น อัตราเร่งที่มีมาให้ ถือว่าเพียงพอแล้ว ออกแนวเหลือเฟือให้คุณเร่งแซง
อย่างทันอกทันใจเสียด้วยซ้ำ ใครบ่นว่าอืด แสดงว่า หมอนั่นขับแต่ รถ Sport
หรือ Super Car มาตั้งแต่เกิดแน่ๆ แรงบิดที่มีมาให้ พารถพุ่งทะยานไปอย่าง
รวดเร็ว แรง ไม่อืดอาดยืดยาดเลย คุณเคยเจอประสบการณ์จากเจ้า Camry
Hybrid มาอย่างไร ES300h ก็ให้คุณได้แบบเดียวกันเป๊ะเลยนั่นแหละ!

อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการให้คันเร่งตอบสนองอย่างทันท่วงที อาจต้องเลือก
โปรแกรม Sport Mode เพื่อให้คันเร่ง ทำงานได้ทันเท้า ทันอกทันใจยิ่งขึ้น
เพราะถ้าเป็นโหมด Normal แม้ว่าคันเร่งจะตอบสนองไวกว่า โหมด E ของ
E-Class อย่างชัดเจน แต่นั่นก็อาจไม่สาแก่ใจคนเท้าหนัก

การเก็บเสียง ดีมาก ดีเลิศ ประเสริฐศรี ดีเอกอุ ดีที่สุด เท่าที่เคยเจอมาในบรรดา
รถยนต์ที่ Headlightmag เรา ทำรีวิวในรอบ 5 ปีมานี้เลย! ต่อให้คุณขับขี่
ด้วยความเร็ว Top Speed บนมาตรวัด 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงของ
กระแสลม ที่ไหลผ่านตัวรถ มันก็จะดังพอกันกับ Mazda 3 รุ่นล่าสุด
ขณะใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง!!

ไม่ได้พูดอวย หรือ Over เกินความจริง ลองไปนั่งดู ไปขับดู เอาแค่ใช้
ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็พอแล้ว คุณจะรู้ได้เลยว่า ความเงีบบ
สงบ อย่างผ่อนคลาย สุนทรีย์ อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่ง Lexus ซึ่งพวกเขา
พยายามพร่ำบอก โฆษณา มาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1990 นั้น ในวันนี้ มัน
ถูกยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว และผมกล้าพูดได้เลยว่า การเก็บเสียง
ของห้องโดยสาร ดีในระดับที่ไม่แพ้ Lexus LS หรือ Mercedes-Benz
S-Class W222 รุ่นล่าสุด นี่เลยเชียวละ!!

สิ่งที่อาจจะทำให้คุณรำคาญ คงมีเพียงแค่ เสียงยางติดรถ Yokohama
db Decible E70 ขนาด 215/55 R17 98V ที่ยังคงส่งเสียงบดพื้นผิว
ถนนหรือทางด่วน มาให้ได้ยิน จนตาแพน Commander CHENG ตั้งท่า
เตรียมจะง้างปาก ตำหนิ แต่เจ้าตัวก็ถึงกับชะงักไปว่า…

“เดี๋ยวก่อนนะ…เสียงที่เราได้ยิน มันมีแค่เพียงเสียงยางเท่านั้นนี่หว่า
งั้นแสดงว่า เสียงลมไหลผ่านตัวรถนี่ เราก็แทบไม่ได้ยินเลยหนะสิ!!”

ก็เออสิ ครับคุณเพ่!

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
แบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ถูกปรับอัตราทดเฟือง
พวงมาลัยไว้ที่ 14.8:1 ไวขึ้นจากรุ่นเดิม (ที่ไม่มีขายในบ้านเรา) ซึ่งเคย
อยู่ที่ระดับ 16.1:1

การตอบสนองของพวงมาลัย คล้ายคลึงกับ Lexus LS และ GS อยู่มาก
กล่าวคือน้ำหนักกำลังดี ไม่เบาเวอร์ และไม่หนืดหนักจนเวอร์เกินเหตุไป มี
แรงขืนที่สัมผัสได้ด้วยมือ ชัดเจน กำลังดี และยังคงใช้นิ้วชี้ข้างเดียว หมุน
พวงมาลัยได้ แต่อาจต้องเกร็งนิ้วชี้ข้างนั้น เพิ่มขึ้นนิดนึง แค่นั้น

ในช่วงความเร็วสูง พวงมาลัย มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่นิ่ง เที่ยงตรง
On Center feeling ดีมาก ในระดับเดียวกับ Lexus ทุกคันที่เคยขับ
เพียงแต่ว่า ใน Sport Mode นั้น Toyota บอกว่า พวงมาลัยจะหนืด
เพิ่มขึ้นราวๆ 20% ทว่า ในความเป็นจริง ผมกลับไม่ได้พบเจอว่ามันจะ
แตกต่างมากไปมายนักเลย หากต้องใช้ความเร็วระดับเท่ากัน แต่ปรับ
สวิตช์ กลับไปที่ Normal Mode

การบังคับเลี้ยว แม่นยำพอประมาณ หนืดๆ แบบที่รถยนต์ขนาดใหญ่ ควร
จะเป็นกัน ไม่หนืดหนักมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้เบาโหวง ถือว่าอยู่ในระดับ
กำลังดี และให้น้ำหนักกำลังดี ใกล้เคียงกับพวงมาลัยของ E300 Diesel
Hybrid แต่ให้ความแม่นยำในการเลี้ยว มากกว่ากันนิดนึงด้วยซ้ำ

คุณจะสัมผัสได้จากทั้งการเข้าโค้ง และในขณะจอดรถนิ่งๆ แล้วหมุน
พวงมาลัย เพื่อเตรียมเลี้ยวที่สี่แยกข้างหน้า พวงมาลัยของ ES300h
มีอัตราทดที่ “เป็นธรรมชาติ” และเลี้ยวได้ตามที่ต้องการ หมุน 1 รอบ
รถจะเลี้ยวไม่มากไปแบบพวงมาลัยของ E-Class และ ไม่น้อยเกินไป
แบบพวงมาลัยของ Corolla Altis

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังเป็นแบบ
Dual Link Strut ถูกปรับเซ็๖มาในแนว “นุ่มมม ออกนิ่มมม สบายๆ
แต่ยังคง แน่นนนน และมีความหนึบบบ แถมมาให้อีกต่างหาก!!”

หืมมม?

ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างจะดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวถนนเอาไว้
ได้อย่างดีเยี่ยม ในระดับที่เหนือกว่า Mercedes-Benz E300 Diesel
Bluetec Hybrid AMG อยู่นิดนึงด้วยซ้ำ ผ่านรอยต่อถนน หรือพื้นผิว
ขรุขระ จนถึงเนินสะดุด ลูกระนาด ต่างๆ กันแบบ “พอให้รู้อย่างบางๆ
เจือจางๆ นะว่าได้ขับผ่านพวกมันมาแล้ว! ที่เหลือ เราซับแรงสะเทือน
ให้คุณจนแทบจะมลายหายลับไปหมดสิ้น!”

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เซ็ตช่วงล่าง มาในแบบเดียวกันกับ Flagship
รุ่นพี่ อย่าง LS460 เลยนั่นแหละ! มันเป็นช่วงล่างแบบที่ผมคาดหวัง
ชื่นชอบ และต้องการจะพบเห็นในรถยนต์ในแนวนุ่มๆ หรูๆ สบายๆ
แบบ Luxury Sedan อย่างนี้เลยละ!

ขณะเดียวกัน ในช่วงความเร็วสูงนั้น การทรงตัวยังคงนิ่ง มั่นใจได้อย่าง
ไม่มีอะไรให้กังวล ปล่อยมือจากพวงมาลัย ทั้งที่ใช้ความเร็วสูงสุดบน
มาตรวัด 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงกลางดึกที่ปราศจากรถยนต์
คันอื่นๆแล่นร่วมทางกับผม “โดยสิ้นเชิง” ก็ทำได้นานตั้ง 10 วินาที
เลยด้วยซ้ำ! อาจมีอาการแกว่งข้างบ้างนิดๆหน่อยๆ ตามพื้นผิวถนน
แต่ กระแสลมปะทะด้านข้าง แทบจะส่งผลกับ ES300h น้อยมากๆ!
ดังนั้น ในการเดินทางไกล บอกได้เลยว่า นั่งสบาย หายห่วง

อย่างไรก็ตาม การปรับเซ็ตที่เน้นในแนว นุ่มมมมม แต่แน่น นี้ หลายคน
ยังสงสัยว่า แล้วการเข้าโค้งละ จะเป็นอย่างไร ประเด็นนี้ นิตยสารรถยนต์
Motor Trend จากสหรัฐอเมริกา เคยสรุปเอาไว้ว่า…

“เพราะว่ามีลูกค้าน้อยมากที่จะเอา ES ไปเข้าโค้งแรงๆ อันที่จริงอย่าว่าแต่
เข้าโค้งเลย แค่มุดซ้ายขวา อาจจะยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นไอ้เรื่องการ
ถ่ายทอดอาการของผิวถนนมาสู่พวงมาลัยนั้นก็ไม่ต้องสนใจเลย เพราะ
ES มันไม่ใช่รถสำหรับคนประเภทนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่ต้องบ้าถามหา
รุ่นขับสี่หรือรุ่น F Sport เพราะมันไม่มี”

เผอิญว่า คนจำนวนน้อยที่เขาว่ามา หนึ่งในนั้น มันดันมี J!MMY ด้วยหนะสิ!

ผมถึงได้ค้นพบว่า แม้ช่วงล่างของ ES อาจจะไม่เหมาะกับการเหวี่ยง หรือมุด
แบบหนักหน่วง มันให้สัมผัสที่อุ้ยอ้าย นิ่มๆ เหมือนพุงกะทิของผมเอง แทบ
ทุกครั้งที่คุณเหวี่ยงพวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนเลนกระทันหัน เผลอๆ ระบบควบคุม
เสถียรภาพ VSC (Vehicle Stability Control) จะรีบทำงานโดยช่วยเบรก
ให้คุณโดยไว (จนต้องถามว่า ไวเกินไปไหม?)

แต่ถ้าคุณต้องเข้าโค้งยาวๆ ต่อเนื่องๆ เช่น โค้งบนทางด่วน ในช่วงเชื่อมต่อ
จากแยกต่างรเดับ สุขุมวิท 62 มุ่งหน้าเบี่ยงซ้าย แล้วต้องเข้าโค้งขวาทันที
เพื่อจะยิงเข้าโค้งซ้ายยาวๆ ก่อนจะปักเข้าโค้งขวา ขึ้นไปบนทางยกระดับ
บูรพาวิถี ผมบอกให้เลยว่า ใส่เข้าไปเลยครับ ใส่เข้าไปได้เลย พา ES คันนี้
เข้าโค้งจุดนั้นด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ได้เลย!!!

ผมทำมาแล้ว และ ES300h ก็นิ่งในโค้งได้ในแบบกำลังดี มีอาการแกว่ง
ด้านข้างนิดๆ แต่เกิดขึ้นตามสภาพพื้นผิวถนน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง
กระแสลมปะทะด้านข้างแต่อย่างใดเลย  ช่วงล่างถือได้ว่า นิ่งมากๆ

ต่อให้เป็นโค้งขวารูปเขียว เหนือย่านมักกะสัน ต่อเนื่องไปยังโค้งซ้าย
ตรงข้าม โรงแรม เมอเคียวเก่า บนทางด่วนชั้นที่ 2 เชื่อมขั้นที่ 1 ผมก็ยัง
พา ES300h ซัดเข้าไปได้ที่ความเร็ว 100 และ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้
อย่างสบายๆ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อาจมีแค่เพียงยางติดรถที่ร้องไห้เสียง
ดังระงม กระจองอแงอยู่บ้าง แต่ไม่มากอย่างที่คิด

ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ โดยคู่หน้าเป็นแบบมีรูระบายความร้อน
เส้นผ่าศูนย์กลาง 296 มิลลิเมตร ส่วนคู่หลัง เส้นผ่าศูนย์กลาง 281 มิลลิเมตร มี
การปรับปรุง Master Cylinder ของชุด Caliper ให้มีขนาดที่เหมาะสม กว่าเดิม

เชื่อมต่อกับทั้งระบบ Re-Generative Brake เพื่อนำพลังงานจากการเบรกไป
ช่วยปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งกลับไปเก็บสะสมในแบ็ตเตอรี พร้อมระบบป้องกัน
ล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD
(Electronic Brake Force Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะ
ฉุกเฉิน Brake Assist เสริมด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง VSC
(Vehicle Stability Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction
Control) ซึ่และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist ซึ่งมีมาให้
ครบทั้ง 2 รุ่นย่อย

แป้นเบรก ตื้นมากกกก ตามสไตล์รถยนต์ Hybrid จาก Toyota ในระยะ
พักหลังมานี้ แตะนิดเดียว แค่ระดับเอานิ้วหัวแม่โป้ง แตะลงไปบนแป้น
อย่างแผ่วเบา รถก็จะเริ่มหน่วงความเร็วอย่างชัดเจน เพราะสมองกลจะ
รีบสั่งการให้ มอเตอร์ ทำตัวเป็น เจเนเรเตอร์ ช่วยปั่นไฟไปเก็บไว้ใน
แบ็ตเตอรี ด้านหลังรถด้วย จากระยะเหยียบทั้งหมดที่ค่อนข้างตื้น หรือ
เหลือเพียงประมาณ 50% จากระยะแป้นเหยียบเบรก ในรถยนต์ทั่วไป
ถ้าคุณเหยียบเบรกจนสุด รถจะเบรกกระทันหันอย่างรุนแรงทันที เพราะ
ระบบตัวช่วยต่างๆ จะทำงานไวกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ

ในช่วงความเร็วต่ำ แค่แตะเบรกเพียงนิดเดียว ก็เพียงพอแล้ว กระนั้น
อาจต้องระมัดระวังรถคันข้างหลัง ที่แล่นตามมาด้วย ถ้าคุณเพิ่งลงมา
จากรถยนต์คันอื่นใดก็ตาม ควรจะปรับตัวกับแป้นเบรกอันแสนจะตื้น
และไวมากๆ แบบนี้ ไว้เสียก่อนจะออกสู่ถนนใหญ่

ส่วนในช่วงความเร็วสูง ถ้ามีเหตุให้ต้องชะลอความเร็วลงมา ให้เหยียบ
เบรกลงไปได้เลย เพียงแต่ อาจไม่ต้องถึงกับเต็มแรงมากนัก ไม่เช่นนั้น
รถจะหน่วงความเร็วลงมา ไวมาก จนรถคันข้างหลังอาจตกใจ แล้วสอย
บั้นท้ายคุณเข้าไปได้ง่าย แต่ถ้าต้องเบรกกระทันหัน ก็สามารถเหยียบ
ลงไปได้เลยแบบไม่ต้องคิดมาก รถจะถูกหน่วงความเร็วลงมาอย่างหนัก
และต่อเนื่อง จนหยุดสนิทได้อย่างนุ่มนวล

ด้านความปลอดภัย เวอร์ชันไทย จะติดตั้ง ถุงลมนิรภัยมากถึง 10 ตำแหน่ง!
เยอะมากจนต้องถามเลยว่า จะเยอะไปไหน!! ประกอบไปด้วยถุงลมนิรภัย
คู่หน้าแบบ Dual Stage SRS ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ติดตั้งที่ด้านข้างของเบาะ
คู่หน้า 2 ตำแหน่ง ถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า คนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
2 ตำแหน่ง (นี่ก็ 6 ใบแล้วนะ) แถมยังมีม่านลมนิรภัย ปกป้องศีรษะของทั้ง
ผ้โดยสารด้านหน้าจรดด้านหลัง ทั้ง 2 ฝั่ง รวม 2 ใบ และถุงลมนิรภัยด้าน
ข้างเบาะนั่งแถวหลัง อีก 2 ใบ

Toyota ไม่เคยติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้กับรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศ
เยอะมากเท่านี้มาก่อน ถ้ารนับเฉพาะรถยนต์ที่มีราคารต่ำกว่า 5 ล้านบาท
ลงมาแล้วนะครับ!

นอกนั้น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า และด้านหลัง ทั้ง 5 ตำแหน่ง เป็นแบบ
ลดแรงปะทะและดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter
ELR 3 จุด ทั้งหมด ครบทุกที่นั่ง!

ทั้งหมดนี้ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถัง แบบรับและกระจายแรงปะทะ
ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีการเสริมคานกันกระแทกในประตูทั้ง
4 บาน ฝากระโปรงหน้า แบบดูดซับแรงกระแทก เพื่อช่วยลดอาการ
บาดเจ็บของผู้ร่วมสัญจรบนทางเท้า ในกรณีชนกับคนเดินถนน

ES ใหม่ ผ่านมาตรฐานการชนของหน่วยงาน NHTSA จากรัฐบาล
กลางของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีการทดสอบ EuroNCAP เพราะ
ES จะไม่มีการส่งไปจำหน่ายในยุโรป และญี่ปุ่น

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย **********

ES300h สีดำ คันนี้ จำเป็นต้องมาอยู่กับผมในช่วงเวลาที่ สถานีบริการน้ำมัน
Caltex พหลโยธิน เยื้องสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ มีกำหนดปิดปรับปรุง นาน
ถึง 2 เดือนกว่า เพื่อจะต้องเปลี่ยนถังน้ำมันใต้ดิน ให้รองรับการนำน้ำมัน เบนซิน
Gasohol E20 มาขาย

ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางในการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz CLA, MG6, Nissan Pulsar Turbo และ
รถยนต์คันอื่นๆ ที่จะมีคิวใน การนำมาทดลองขับ ช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคมนี้

เหตุผลก็เพราะ น้องเด็กปั้ม ที่นั่น เราทำงานกันมาจนกระทั่งรู้งานจนคุ้นมือกันดีว่า
ต้องเขย่ารถอย่างไร เติมน้ำมันกันอย่างไร หากต้องไปเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์
กันใหม่ที่ปั้มอื่นนั้น เสียเวลาและวุ่นวายกว่าที่ทุกคนคิดไว้มากๆ เรื่องนี้ สักขีพยาน
และผู้ช่วยในการทดลองรถกับผม ช่วยยืนยันให้คุณได้

ผมตัดสินใจ ยอมขับรถขึ้นทางด่วนช่วงสั้นๆ ไปลงประชาชื่น เพื่อเลี้ยวเข้าไปเติม
น้ำมันเบนซิน Techron 95 ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนประชานุกูล
เป็นการทดแทน

เนื่องจาก ES300h ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม รถยนต์นั่ง ประกอบในประเทศไทย ที่ใช้
เครื่องยนต์ ต่ำกว่า 2,000 ซีซีกลุ่ม B และ C-Segment หรือรถกระบะ ดังนั้น
เราจึงเติมน้ำมันกันแบบไม่ต้องเขย่ารถให้เปลืองแรง

ผู้ร่วมทดลองในคราวนี้ เปลี่ยนมือชั่วคราวมาเป็นน้อง Pao Dominic สมาชิก
The Coup Team รายล่าสุดของเรา ผู้ร่วมทดลอง อัตราสิ้นเปลือง ระยะหลังๆ
มาตลอด

เมื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron จนเต็มถังน้ำมันขนาด 50 ลิตร เราก็เซ็ต
0 บน Trip Meter A (ES300h มีมาให้ ทั้ง Trip A และ B ซึ่งต้องกดปุ่ม
DISP บนพวงมาลัย ไปยัง หน้าจอที่ต้องการ แล้วกดแช่ เพื่อ Reset ค่าใหม่
ทั้ง Trip Meter อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย และความเร็วเฉลี่ย รวมทั้งระยะ
เวลาหลังจากติดเครื่องยนต์)

จากนั้น กดปุ่ม Power จนไฟ Ready สีเขียวติดสว่างขึ้นมา คาดเข็มขัดนิรภัย
เปิดแอร์ ออกรถ มุ่งหน้าออกจากปั้ม Caltex โดยใช้เส้นทางเดิม และยังใช้
มาตรฐานเดิม ใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ ด้วย
อุณหภูมิราวๆ 24-25 องศาฯ และนั่ง 2 คน แต่คราวนี้ มีการปรับแผน เปลี่ยน
เส้นทางกันเล็กน้อย ในช่วงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

พอออกจากปั้มปุ๊บ เรามุ่งหน้าไปเลี้ยวกลับ ใต้สะพานข้ามแยกรัชวิภา เพื่อ
มุ่งหน้าย้อนกลับมาที่สี่แยกโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น เลี้ยวขวา
จากนั้นเลี้ยวซ้ายขึ้นทางด่วน ที่ด่านประชาชื่น จ่าย 15 บาท แล้วมุ่งหน้า
ไปตามทางด่วนสายอุดรรัถยา หรือเส้นเชียงราก เส้นเดิมที่เราทำการ
ทดลองอัตราสิ้นเปลืองมาโดยตลอด เพื่อไปจ่ายค่าผ่านทาง 55 บาท ที่ด่าน
บางปะอิน อันเป็นปลายทางของเรา

จากนั้น เลี้ยวกลับ จ่ายค่าทางด่วนอีก 55 บาท ย้อนกลับเข้ากรุงเทพ กลับ
มาจ่ายค่าผ่านทางที่ด่านประชาชื่น ขาเข้าเมือง อีก 55 บาท แล้วมุ่งหน้า
ไปลงยัง อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้น เลี้ยวกลับที่วินรถตู้ แล้ววนขึ้น
ทางด่วนเส้นเดิม อีก 50 บาท มาลงทางด่วนประชาชื่นอีกครั้ง

ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องไปเลี้ยวกลับที่สี่แยก โรงพยาบาลเกษมราษฎร์
เพื่อมุ่งหน้ากลับมาถึงสถานีบริการน้ำมัน Caltex ประชานุกูล อีกครั้ง
เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron ที่หัวจ่ายเดิม เหมือนเช่นตอน
เริ่มต้น โดยยังเติมน้ำมันแบบ หัวจ่ายตัด เช่นเดียวกัน

และต่อจากนี้ คือ ตัวเลขที่ ES300h ทำได้…

ระยะทางบนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 92.4 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 Techron เติมกลับ 5.28 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน….. 17.50 กิโลเมตร/ลิตร

เฮ้ย! ประหยัดใช้ได้นี่หว่า! ต่อให้ตัวเลขด้อยกว่า Camry Hybrid รุ่นล่าสุด
ที่เคยทำได้ ถึง 18.59 กิโลเมตร/ลิตร แต่นี่ ต้องถือว่า ดีมาก เกินความคาดหมาย
เลยเชียวละ!

แม้ว่าเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และญาติพี่น้องด้วยกันแล้ว ES300h
จะประหยัดน้ำมันได้ ไม่มากเท่า Camry Hybrid, E300 Diesel
Bluetec Hybrid และ S80 D3 แต่ต้องถือว่า ทำได้ในระดับเกิน
17 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นมา ก็ดีถมถืด เทียบเท่าบรรดา ECO Car
1.2 ลิตร กันแล้ว ทำตัวเลขได้ขนาดนี้ ในปีนี้ จะเอาอะไรอีก?

คำถามต่อมาก็คือ แล้วน้ำมัน 1 ถัง จะแล่นไปได้ไกล แค่ไหน?

คำตอบอยู่ตรงนี้ จากการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับแบบปกติทั่วไป
ทั่วไป มีเร่ง มีแซง มีถ่ายคลิป มีขับคลานๆในเมือง หรือกดเต็มตีน
มีช่วงที่ต้องทำ Top Speed อยู่ 2-3 ครั้ง ผลสรุปออกมาว่า น้ำมัน
1 ถัง จะเริ่มมีไฟสัญญาณเตือนน้ำมันใกล้จะหมด ติดสว่างขึ้นมาเมื่อ
มาตรวัด Trip Meter ผ่านมาถึง 544.9 กิโลเมตร นั่นหมายความ
ได้ว่า ในชีวิตจริง คุณจะพา ES300h แล่นได้ไกลถึง 590 – 600
กิโลเมตร สบายๆ ยิ่งถ้าใช้รถในเมือง คุณอาจจะเติมน้ำมันแค่เพียง
สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็อาจเป็นไปได้ (ถ้าขับแบบเนียนๆ นะ)

********** สรุป **********
ลืมคำว่า Camry Hybrid ไปเถอะ นี่มัน LS460 Junior ชัดๆ!

ครับ ลืมมันไปซะ บอกเลย มันไม่ใช่แค่ Camry Hybrid ที่อัพราคาให้มัน
แพงยิ่งขึ้น อย่างที่คุณเข้าใจนั่นเลย

ES300h มีบางสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันถึง 5 วัน 4 คืน

การใช้ชีวิตอยู่กับ Lexus รุ่นใดก็ตาม ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ประเสริฐนะ

ได้นั่งอยู่ในห้องโดยสาร ที่ให้ความสบาย ผ่อนคลาย แม้ว่ามันจะยังมีบางสิ่ง
อันเป็นเอกลักษณ์ของ Toyota แฝงมาอยู่บ้าง แต่สมรรถนะ ความนุ่มนวล ใน
การเดินทาง การเก็บเสียง และบรรยากาศภาพรวม มันถูกพัฒนาจนยกระดับ
เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น เรื่อยๆ ในแทบทุกรุ่นที่เปิดตัวสู่ตลาดในบ้านเรา อาจ
มีบางรุ่น อย่าง IS ใหม่ ที่ผมไม่ถึงกับประทับใจนัก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
“สัมผัสและประสบการณ์จาก Lexus” คือสิ่งที่ยากจจะหารถยนต์ระดับ
Premium ยี่ห้อใด ให้คุณได้เหมือน

แต่คราวนี้ ผมกลับพบว่า ผมประเมิน ES300h ต่ำไปจากความจริงที่มันเป็น!

สารภาพว่า ตอนแรก ผมมอง ES300h เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละ
ว่า มันก็คือ Camry Hybrid

แต่พอได้ลองขับจริง…เฮ้ย! นี่มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดนะ มันดีกว่านั้นมาก!

ES300h อาจจะมีอัตราเร่ง สมรรถนะ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แบบ
เดียวกันกับที่คุณเคยสัมผัสจาก เครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า แบ็ตเตอรี และ
ระบบขับเคลื่อนของ Camry Hybrid ข้อนี้ ผมไม่เถียง และไม่มีใครเถียง
เพราะตัวเลขที่ออกมา กับแรงดึงที่เกิดขึ้น มันฟ้องอยู่ทนโท่

แต่ ความรื่นรมณ์ในการขับขี่ทางไกล ความนุ่มสบายจากช่วงล่าง การ
ควบคุมรถที่มั่นใจได้ และการเก็บเสียงในระดับยอดเยี่ยม มันเกินกว่า
ภาพที่เราคิดเอาไว้ในหัว มันดีเกินหน้าเกินตา Toyota ทุกคันที่ผมเคย
ลองขับมา ไปไกล และมันดีเทียบเท่ากับพี่ใหญ่สุดในตระกูลของมัน!

ความนุ่มสบาย ถึงขั้น “สงบสุขในทุกการเดินทาง” คือสิ่งที่ แม้แต่
Toyota รุ่นใดๆ ก็จะไม่มีวันให้คุณไม่ได้เท่านี้เลย ยังไม่ต้องนับถึง
อุปกรณ์มาตรฐานประจำรถ ที่ให้มา ซึ่งก็สมบูรณ์เพียงพอ จนคุณ
ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้อง จ่ายเพิ่ม เพื่อหาอะไรมาติดตั้งเพิ่มเติมอีก

ถ้าคุณเคยใช้ ES หรือ Camry รุ่นก่อนๆ บอกได้เลยว่า ลืมมันไปซะ!
แล้วนึกถึงภาพตอนที่คุณกำลังเดินทางอยู่ใน Lexus LS460 หรือ
LS600h แต่มาในขนาดตัวถังที่สั้นกว่า เล็กกว่ากันไม่มากนัก แต่
มีขนาดภายในห้องโดยสาร เท่ากันกับ LS460 รุ่นฐานล้อสั้น!!!!

อุปกรณ์ที่ให้มา สมบูรณ์เพียงพอที่จะให้คุณไม่ต้องไปเรียกร้อง
หาอะไรมาติดตั้งเพิ่มเติมอีก

แล้วสิ่งที่อยากให้ปรับปรุง?

ถ้ามองกันเฉพาะตัวรถแล้ว ผมคิดว่า คงจะเป็นเรื่องของความเร็วสูงสุด
แม้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก แต่ มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าความเร็วสูงสุด ขยับ
ขึ้นไปอยู่แถวๆ 200 – 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้พอฟัดเหวี่ยงกับ
คู่แข่งจากค่ายยุโรปกันได้บ้าง สมกับฐานะของรถยนต์สมรรถนะดี
อย่างที่ Toyota อยากให้เป็น แต่พอจะเข้าใจว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนี้
เพราะข้อจำกัดในการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า นั่นละ

ประเด็นแรกไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก แต่ขอประเด็นต่อไปกันก่อนเถอะครับ!

เรื่องอะไรหนะหรือ?

แน่นอน ราคาไงละ ถ้าสามารถนำ ES300h เข้ามาประกอบขายในบ้านเรา
จนสามารถตั้งราคาได้ถูก แถวๆ 2,500,000 บาท โดยที่ยังรักษามาตรฐาน
ในการประกอบได้ดีขนาดนี้ ผมเชื่อแน่ว่า ต้องมีหลายคน ปันใจจาก แบรนด์
Premium ฝั่งยุโรป หันมาเปิดใจให้ Lexus แน่ๆ

นั่นคือทางเดียวที่จะทำให้แบรนด์ Lexus เริ่มเจาะเข้าถึงลูกค้าชาวไทย
ได้กว้างไกลเกินกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ค่ายรถยนต์ระดับ
Premium ด้วยกันยังต้องคิดหนักแล้ว แม้แต่ลูกค้าเอง ก็ยังต้องคิดหนัก
ด้วย ไม่แพ้กัน!

แล้วใครบ้างละ ที่จะต้องคิดหนัก?

มี 2 กลุ่มครับ กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่คิดจะซื้อ Mercedes-Benz E300
Diesel Bluetec Hybrid หากเป็นกลุ่มที่อยากครอบครองดวงดาวกัน
จริงๆ ยังไงๆ เขาก็ยังซื้อ E300 อยู่ดี

แต่กลุ่มที่ไม่ได้ยิดติดกับรถยนต์ตราดาว เนี่ยสิ น่าสนใจ!

เพราะสมรรถนะ การขับขี่ การโดยสาร มันดีเทียบเท่า หรือดีกว่า E300
Diesel Hybrid ในบางด้านเสียด้วยซ้ำ แต่มาในค่าตัวที่ย่อมเยากว่ากัน
อย่างชัดเจน แม้ในตอนนี้ ขณะที่ยังเป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคันจากญี่ปุ่น
อยู่อย่างนี้ก็เถอะ

ถึงขั้นที่ ตาแพน Commander CHENG! บอกกับผมเลยว่า ถ้ามีเงิน
4 ล้านบาท เขาจะเลือก ES300h ทันทีแน่นอน โดยไต้ต้องคิดมาก!

นอกจากนี้ ลูกค้าที่คิดจะซื้อ Volvo S80 นั่นละ ที่จะโดนใจมาเต็มๆ!
แม้ว่า S80 จะมีค่าตัวถูกกว่า และการประกอบจากมาเลเซีย ก็ไม่ใช่
เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด ทว่า ค่าดูแลรักษา และซ่อมบำรุงของ Volvo
ก็ยังคงเป็นที่เลื่องลือกันอยู่ว่า มันแพงกว่าใครเพื่อน ดังนั้น ถ้าคิด
จะเปลี่ยนใจหันมาลองคบกับ ES นั่นเป็นเรื่องไม่ยากเลย ที่จะ
ตัดสินใจ เพราะต่อให้รถเสีย ก็ยังเข้าศูนย์บริการ Toyota ทั่วไทย
ได้สบายๆ ให้เขาประสานงานเพื่อส่งกลับมาซ่อมที่กรุงเทพฯ

ยิ่งถ้าใช้เครื่องยนต์กลไกร่วยมกับ Camry Hybrid ด้วยแล้ว หาก
อะไหล่ชิ้นไหน เป็น Part Number เดียวกัน และใช้เปลี่ยนแทน
กันได้ นั่นยิ่งช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายลงไปได้อีก…

(กระนั้น ชิ้นส่วนอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Hybrid ก็ยังมีราคา
แถวๆหลักหมื่นบาทอยู่ดี)

ส่วนกลุ่มลูกค้า ที่คิดจะซื้อ BMW 5-Series อยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนที่
ไม่ได้ภักดีกับแบรนด์ใดเป็นพิเศษ ก็อาจจะไม่หันมาอุดหนุน ES
แน่ๆ เพราะ คนที่คิดจะซื้อ BMW น่าจะมองเห็นถึงความสุนทรีย์
ในการขับขี่อันสูงส่งกว่าใครเพื่อน มาเป็นอันดับแรก ดังนั้น ES
จึงอาจหมดสิทธิ์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ไปโดยปริยาย

แล้วถ้าจะเลือกซื้อ ควรเลือกรุ่นย่อยไหนดีกว่ากัน?

ES300h ถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา รวม 2 รุ่นย่อย คือรุ่น Luxury
ราคา 3,490,000 บาท และรุ่น Premium ราคา 3,890,000 บาท
ซึ่งจะถูกติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ไม่กี่รายการ ได้แก่ ระบบนำทางผ่าน
ดาวเทียม GPS Navigation System ระบบ Remote Touch
Interface หน่วยความจำตำแหน่งพวงมาลัยปรับขึ้น – ลง / ใกล้ – ห่าง
ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม Rain-Sensor
เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าซ้าย เพิ่มระบบปรับด้วยไฟฟ้า และมี
หน่วยความจำตำแหน่งเบาะ และวัสดุหุ้มเบาะเป็น หนังแบบ
Semi-Aniline

ถ้าเรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จัดรุ่นท็อป Premium ไปเลยครับ รถยนต์
นำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน ให้อุปกรณ์ และพละกำลังที่ดีเท่าๆ Mercedes
-Benz E300 Diesel Bluetec Hybrid ประกอบในบ้านเรา แบบนี้
แบบนี้ แม้จะด้อยกว่ากันแค่เรื่อง Top Speed แต่ คุณก็คงไม่พาเจ้า
Sedan หรู นั่งนุ่มๆ นิ่มๆ แบบนี้ ซัดความเร็วสูงเกิน 180 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ทุกวันอยู่แล้วนี่ จริงไหม?

ดังนั้น มันไม่ใช่ปัญหาเลย เมื่อลองคิดดูว่า เงินระดับนี้ แลกกับการ
ได้นั่งอยู่ในบรรยากาศที่สบาย ผ่อนคลาย สุขสงบ ยามที่โลกรอบข้าง
กำลังเคลื่อนผ่านคุณไป มันจะมีความรู้สึกใดที่ จากรถยนต์รุ่นใด
ในระดับเดียวกัน หรือต่ำกว่านี้ ที่จะให้คุณได้มากขนาดนี้?

ผมเชื่อว่า ลองเอา ผู้นำ อิสราเอล กับผู้นำ ปาเลสไตน์ มานั่งคุยกัน
เจรจากันใน ES300h ใหม่ สัก 3 ชั่วโมง พาวนรอบกรุงเทพฯ ยาม
ราตรี สักรอบสองรอบ ขี้คร้าน พวกเขา จะหยุดยิงกันถาวรตลอดไป!

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คุณอาจสงสัยว่า ทำไมรีวิวนี้ หาข้อเสียของรถแทบไม่เจอ
J!MMY อวยเกินไปหรือเปล่า? กะอีแค่ Camry Hybrid แปะตรา Lexus
มันมีดีถึงขนาดนี้เลยเชียวเหรอ?

ต่อให้ผมพูดยังไง ก็ยากที่จะเชื่อครับ ผมเข้าใจดี เพราะสำหรับรถคันนี้
ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า สิ่งที่ผมพูด เป็นเรื่องจริง….

คุณต้องไปลองขับด้วยตัวเองเท่านั้น ถึงจะรู้!

——————————-///—————————-

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks :

ทีม Lexus Group Department และฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆเป็นอย่างดียิ่ง

—————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพถ่ายจากต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของ “Toyota Motor Corporation.”
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
11 สิงหาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures Except some CG from “Toyota Motor Corporation.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August 11th,2014

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!