ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ช่วงที่ Volvo Cars Thailand เพิ่งสั่งนำเข้า Volvo
V40 รุ่นใหม่ล่าสุด จากโรงงาน Ghent ในเบลเยียม มาเปิดตัวที่เมืองไทย

พี่ต่าย ณัฎฐา จิตราคม ประชาสัมพันธ์คนเก่งคู่บุญค่าย Volvo มาช้านาน
แอบมาเล่าให้ผมฟัง ด้วยเหตุที่เราสองคนสนิทกันว่า ตามปกติแล้ว Volvo
จะมีลูกค้ารายหนึ่ง เป็นนักแสดงชายหนุ่มผิวเข้ม มากความสามารถ ซึ่ง
เป็นแฟนประจำของ Volvo เลยทีเดียว

เหตุที่ผมมิขอเอ่ยชื่อ เนื่องจากต้องการสงวนความเป็นส่วนตัวของเขา
และผมก็ไม่รู้ว่า การเอ่ยชื่อในบทความนี้ จะเป็นเหตุให้ ผู้จัดการส่วนตัว
ของชายหนุ่มผู้นี้ เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมในภายหลังจากบทความนี้เริ่ม
เผยแพร่ด้วยหรือไม่ ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนละครับ

พอ V40 ออกปุ๊บ พี่ต่าย เลียบๆเคียงๆ ถามนักแสดงท่านนั้น ว่า
“สนใจอุดหนุน V40 ใหม่สักคันไหมคะ?”

เจ้าตัวตอบกลับมาว่า
“ยังครับ ขอรออ่านรีวิวคุณ J!MMY ก่อน”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!

เอาละ ตั้งสติ…กลับมาก่อน…ความดันโลหิตพุ่งไป 160 / 100 อัตราการ
เต้นของหัวใจ อยู่ที่ 120 bpm แล้ว!

พอจะทราบมาบ้างว่า Headlightmag.com ของเรานี่ มีคนติดตามอ่านกัน
เยอะอยู่ คนในวงการบันเทิงบางราย ก็เข้ามาอ่าน แต่นึกไม่ถึงว่า คนที่
มีฝีมือทางการแสดงระดับแถวหน้าอย่างเขา ยังมาให้ความสนใจติดตาม
อ่านงานเขียนของเราด้วย ไม่อยากบอกเลย เราก็เป็นแฟนคลับติดตาม
เขาในโลกโซเชียล และในงานแสดงของเขามาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง
แรกๆ ที่เจ้าตัวฝากผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมมาก ด้วยเช่นเดียวกัน
จนกลายมาเป็น นักแสดงเจ้าฝีมือ อย่างในปัจจุบัน

พัฒนาการของคนเรา มันก็เหมือนกับรถยนต์นั่นละครับ ในแต่ละปี
ที่ผ่านมาไป ผู้คน ย่อมคาดหวังจะเห็นฝีมือของดารานักแสดงที่ตน
ชื่นชอบ ดีขึ้นฉันใด พวกเขาก็ย่อมคาดหวังจะเห็นเทคโนโลยีและ
ความก้าวหน้าใหม่ๆ มาบรรจุใส่ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในราคาที่เราๆ
ท่านๆ สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายด้วย ฉันนั้น

แต่พัฒนาการของ J!MMY ในพักหลังมานี้ ยอมรับว่า เริ่มถดถอยลง
ไปบ้าง เนื่องจาก อายุเพิ่มขึ้น ความหนื่อยล้าสะสมเริ่มมากขึ้น งาน
เริ่มหนักขึ้น ทำให้เริ่มทำบทความ Full Review ไม่ทันกับปริมาณของ
รถยนต์รุ่นใหม่ที่กระหน่ำเปิดตัวในบ้านเรามาตั้งแต่ปี 2012 ถึงขั้นทำให้
รีวิวรถยนต์บางรุ่น ถูกดองกันยาวถึงปัจจุบัน ยิ่งเวลาผ่านไป งานยิ่งแยะ
จนต้องกระจายไปให้ พี่แพน และน้องๆในทีมแบ่งเบาภาระไปเยอะมาก
แถมผนวกกับการไม่ได้ออกกำลังกายเลยตลอด 7 ปี ตั้งแต่เริ่มเปิดเว็บ
มา พอสุขภาพทรุด มันก็ฉุดร่างกายให้ดำดิ่งสู่ความเจ็บป่วย นอนแผ่
เป็นผัก นานเป็นเดือนๆ แทบไม่ได้ทำงานใดๆเลยทั้งสิ้น

แน่นอนครับ นั่นเป็นอีกหนึ่งในสารพัดข้ออ้างที่ผมยกมา เพื่อบอกว่า
ตอนนี้ เวลาได้ผ่านไปแล้ว 2 ปี หลังการเปิดตัวของ V40 ในบ้านเรา
และนักแสดงชายท่านนั้น ก็ไม่รออ่านรีวิวของผม ตัดสินใจถอยรถ
V40 CrossCountry เบนซิน ออกมาใช้งานในชีวิตประจำวันไปแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น Volvo Cars Thailand ก็ทะยอยส่งรุ่นย่อยใหม่ๆ
ของ V40 ออกสู่ตลาดอยู่เรื่อยๆ สิริรวมนับตั้งแต่เปิดตัว มาถึงวันนี้
นับได้ 4 รุ่นย่อย พอดีๆ บางรุ่นยังมีขายอยู่ บางรุ่น ขายหมดไป
จนเกลี้ยงแล้ว เพราะทำออกมาจำนวนจำกัด และบางรุ่นก็เพิ่งจะ
เปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม
2016 ที่ผ่านมาไปหมาดๆ

ผมว่าถึงเวลาแล้วละ ที่เราจะมาสรุปกันสักที ว่า V40 ใหม่ ซึ่งถูก
เปลี่ยนแนวทางไปจาก Compact Station Wagon รุ่นเดิมๆ สู่การ
ตีความใหม่ ให้กลายเป็น Premium Sport Compact Hatchback
สุดโฉบเฉี่ยวที่สุดในรอบหลายปีของ Volvo นั้น จะมีสมรรถนะแรง
แค่ไหน ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร บุคลิก และความคุ้มค่า น่าสนใจ
เพียงพอให้คุณลองเปิดใจเป็นเจ้าของดูสักครั้งหรือเปล่า?

บรรทัดข้างล่าง…รออยู่แล้วครับ…

2014_Volvo_V40_03_EDIT

Volvo V40 ใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรมใหม่ เรียกว่า
Global C Platform ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์วิจัย Ford development center
ในเมือง Cologne เยอรมนี แพล็ตฟอร์มนี้ ถูกใช้ร่วมกับรถยนต์จากบรรดาค่าย
รถยนต์ ที่เคยอยู่อาศัยร่วมชายคากับ Ford มาก่อน ทั้ง Mazda 3 Gen 2 และ
Mazda 5 / Premacy รุ่นปัจจุบัน รวมทั้ง Ford Focus รุ่นล่าสุด Minivan รุ่น
Focus C-Max , Ford Escape / Kuga รุ่นล่าสุดที่ไม่มีขายในบ้านเรา แม้แต่
รถตู้ส่งของ Ford Transit Connect และ รถยนต์หรู อย่าง Lincoln MKC
ก็ใช้ Platform เดียวกันนี้ด้วย!

เกร็ดความรู้เพิ่มเติมคือ Platform นี้ ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจาก C1 Platform
ที่เคยใช้ใน Volvo C30 S40 กับ V50 ที่ตกรุ่นไปได้สัก 3 ปีมาแล้ว รวมทั้ง
Mazda 3 Gen 2 , Ford Focus Gen 2 และ Focus C-Max รุ่นแรก นั่นเอง
เท่ากับว่า V40 ใหม่ ใช้ Platform คนละตัว กับ 3 ศรีพี่น้องข้างต้นนะจ้ะ
แต่เป็น Platform ใหม่ ที่พัฒนา “ต่อเนื่อง” มาจาก Platform เดิมนั่นเอง

V40 รุ่นปัจจุบัน เผยโฉมสู่สายชาวโลกครั้งแรกผ่านทางภาพถ่ายที่ Volvo
Upload ขึ้นสู่โลก Internet เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 ก่อนจะถูกส่งไป
ขึ้นอวดโฉมบนแท่นหมุน ณ งาน Geneva Motor Show ในอีก 1 เดือน
ถัดมา

ในแง่ของการเรียงลำดับตามสายพันธ์ในตระกูล Volvo แล้ว V40 ใหม่ นั้น
หาได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ V40 Station Wagon ที่เปิดตัวออกมาในปี
1995 ไม่ ในประการใดๆทั้งสิ้น

คราวนี้ Volvo ตัดสินใจ พลิกบทบาทของ ชื่อ V40 จากเดิมที่คนทั่วทั้งโลก
รู้จักในฐานะของรถยนต์นั่งแบบ Premium Compact Wagon 5 ประตู ที่ถูก
สร้างขึ้น พร้อมกันกับ Volvo S40 ภายใต้พื้นตัวถัง (Platform) ร่วมกันกับ
Mitsubishi Carisma ซึ่งทั้ง 2 รุ่น เคยถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน NedCar B.V.
ใน Netherland ให้กลายมาเป็น Premium Compact Hatchback ที่ถูก
สร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับคู่แข่งตัวฉกาจจากเยอรมัน ทั้ง Mercedes-Benz
A-Class, BMW 1-Series และ Audi A3 รวมทั้งอาจเลยเถิดไปยังรถยนต์
กลุ่ม C-Segment Compact Hatchback จากยุโรป อย่าง Volkswagen
Golf , Opel/Vauxhall Astra , Peugeot 308 , Renault Megane และ
(Citroen) DS4 เป็นต้น

Steven Jacoby , President และ CEO ของ Volvo Car Corporation.
ในตอนนั้น ถึงกับกล่าวว่า “V40 ใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่เราได้พัฒนาขึ้น
ภายใต้กลยุทธ์ Designed Around You เติมเต็มด้วยอุปกรณ์ high-tech
อันโดดเด่น ซึ่งจะทำให้บรรดาคู่แข่งขอเราพากันปวดหัวเป็นแน่!”

แหม…ช่างกล้าพูดเนาะ!

Volvo ตั้งเป้ายอดขาย V40 ใหม่ไว้ที่ระดับ 90,000 คัน/ปี โดย 85% ของ
ยอดเป้าหมายนี้ เป็นลูกค้าชาวยุโรป

สำหรับประเทศไทย Volvo Cars Thailand เปิดตัว V40 รุ่นนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2013 ณ โรงแรม Otaku…เอ้ย! Okura Prestige Bangkok
และจัดแสดงสู่สายตาลูกค้าทั่วไปครั้งแรก ณ งาน Bangkok International Motor
Show เดือนมีนาคม 2013 โดยเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่นในช่วงแรก คือ V40 T5
และ V40 CrossCountry ขุมพลัง เบนซิน 213 แรงม้า (PS) ทั้งคู่

2014_Volvo_V40_04_Cross_Country_EDIT

V40 ใหม่ มีความยาวตลอดทั้งคัน 4,369 มิลลิเมตร ความกว้าง โดยไม่รวม
กระจกมองข้าง 1,783 มิลลิเมตร แต่ถ้ารวมกระจกมองข้างเข้าไปด้วยแล้ว
หากพับกระจกเก็บ จะอยู่ที่ 1,857 มิลลิเมตร แต่ถ้ากางกระจกมองข้างออก
จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,041 มิลลิเมตร ความสูงตัวรถ 1,439 มิลลิเมตร ความยาว
ระยะฐานล้อ 2,647 มิลลิเมตร

ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Thread) 1,559 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อ
คู่หลัง (Rear Thread) 1,546 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างพื้นถนน จนถึง
พื้นใต้ท้องรถ อยู่ที่ 133 มิลลิเมตร (แต่ถ้าเป็นรุ่น Sport Suspension จะลด
ลงไปอีก 10 มิลลิเมตร เหลือ 123 มิลลิเมตร )

V40 เป็นผลงานของ ทีมออกแบบใน Studio ของ Volvo เอง โดยเส้นสาย
ภายนอก รังสรรค์ขึ้นจากฝีมือของ Chris Benjamin นักออกแบบชาวอเมริกัน
ส่วนภายในห้องโดยสาร เป็นงานของ  Sven-Olof Persson, interior design
manager ในโครงการนี้

อย่างไรก็ตาม V40 รุ่นนี้ คือ Volvo รุ่นสุดท้าย ที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น
ภายใต้การควบคุมดูแลของ นักออกแบบชาวอังกฤษชื่อดัง Peter Horbury
ก่อนที่เขาจะอำลาไปทำงานให้กับ บริษัทแม่ของ Volvo ในปัจจุบันอย่าง
Geely ของประเทศจีน

รูปลักษณ์ภายนอก ถูกออกแบบให้ดูกว้างและเตี้ย โดยได้รับแรงบันดาลใจ
จาก ตัวถัง Shooting Break ของรถสปอร์ตรุ่นดังในอดีต Volvo P1800 ES
Chris Benjamin บอกว่า เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar จงใจออกแบบให้ลาด
มากขนาดนี้ เพื่อสร้างความรู้สึกได้ถึงสัญชาติญาณแห่งการเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็ว และสร้างความแตกต่างไปจากคู่แข่งคันอื่นๆ บ่าข้างอันเป็น
เอกลักษณ์ของ Volvo มาตั้งแต่ปี 1998 ในรุ่น S80 ถูกปรับปรุงให้กลมกลืน
และคงความสง่างามดุจคนมีมัดกล้ามเอาไว้ แถมด้วยแนวเส้นบ่าข้างช่วง
บานประตูคู่หลัง ที่ “ตวัดขึ้น” เล็กน้อย ก่อนจะลากต่อเชื่อมไปยังบั้นท้าย
ยิ่งช่วยเพิ่มความแปลกตา สร้างบุคลิกโฉบเฉี่ยวจากความโค้งมน และมี
Style อันน่าจดจำ

เสาหลังคาคู่หลัง D-Pillar ถูกออกแบบให้สอดรับกับบ่าด้านข้างที่ดูหนา
และเสริมความทะมัดทะแมง บานประตูด้านท้าย ดูเตี้ยและกว้าง แผ่รังสี
ความมั่นใจในตนเองที่สูงมากออกมา ส่วนบานฝาท้ายแบบ Hexagon
สีดำ และชุดไฟท้ายที่ออกแบบให้ขนาบกับเสาหลังคาคู่หลัง D-Pillar
ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเส้นสายของ พี่สาวคนกลางอย่าง V60
Sports Wagon ไปในคราวเดียวกันนั่นเอง

สำหรับรุ่น CrossCountry จะถูกยกตัวถังให้สูงขึ้นเล็กน้อย 30 มิลลิเมตร
เสริมชิ้นส่วนพลาสติกสีดำแบบด้าน บริเวฯชายล่างของเปลือกกันชนหน้า
และหลัง ชายขอบประตูด้านล่างทั้ง 4 บาน เพิ่มราวหลังคา Rack Roof  ให้
จากโรงงาน ซึ่งแข็งแรงพอใช้ได้งานได้ รวมทั้งจะเปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย
ขนาด 7 x 17 นิ้ว ลาย Larenta

ภาพรวมของงานออกแบบยังคงอยู่ภายใต้แนวทาง Scandinavian Design
ที่เน้นความสวยงาม อย่างเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ และมีเอกลักษณ์ อยู่ได้นาน
เหนือกาลเวลา ผสมผสานกับแนวคิดการออกแบบ Design Around You
ซึ่ง Volvo เริ่มทะยอยนำมาใช้กับรถยนต์ของตนในช่วงไม่กี่ปีมานี้

2014_Volvo_V40_14_R_Limites_Polestar

หลังจากทำตลาดมาได้ราวๆ 1 ปีครึ่ง Volvo Cars Thailand จึงนำ V40 T5
มาปรับปรุงสมรรถนะให้แรงขึ้น ด้วยชุดแต่งจากสำนักโมดิฟายคู่บุญอย่าง
Polestar Performance อัพเกรดความแรงจาก 220 เป็น 245 แรงม้า (PS)
ออกขายในชื่อ Volvo V40 T5 R-Limited Polestar เปิดตัวไปเมื่อวันที่
19 พฤศจิกายน 2015 และในงาน Motor Expo 2015  โดยมีจำหน่ายใน
จำนวนจำกัดเพียง 28 คัน ราคา 1,999,000 บาท และมีเพียงสีเดียวนั่นคือ
Ice-White

ความแตกต่างจากรุ่นปกติ เมื่อมองจากภายนอกรถ อยู่ที่ การติดสัญลักษณ์
R-Limited ไว้เหนือซุ้มล้อคู่หน้า ทั้ง 2 ฝั่ง เพิ่มสติกเกอร์คาดข้าง ณ บริเวณ
ชายประตูรถด้านล่าง ชุดฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ ล้ออะลูมิเนียม Midir
7.5 x 18 นิ้ว Diamond Cut สีดำมันวาว ขนาด 225/40 R18 นิ้ว และ ชุด
เปลือกกันชนหลัง R-Design สีดำดีไซน์พิเศษพร้อมท่อไอเสียคู่ แค่นั้น

2014_Volvo_V40_15_Cross_Country_D4

ย่างเข้าสู่ปี 2016 มาได้ไม่ถึง 2 เดือน Volvo Cars Thailand ก็เสริมรุ่นย่อย
ใหม่ล่าสุดให้กับ V40 อีกครั้ง ในชื่อว่า Volvo V40 Cross Country D4 เริ่ม
ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 ที่ผ่านมานี่เอง

V40 Cross Country D4 ถือเป็นครั้งแรกของการติดตั้งขุมพลัง Diesel Turbo
พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด i-Art ลงใน V40 รุ่นปัจจุบัน เวอร์ชันสำหรับตลาด
ประเทศไทย โดยเชื่อมต่อเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

ความแตกต่างจาก V400 Cross Country T5 หากมองจากถายนอก บอกเลย
ว่า มีเพียงแค่สัญลักษณ์ “D4” แปะไว้ที่ฝั่งขวาล่าง ของฝาประตูห้องเก็บของ
ด้านหลังรถ เท่านั้น ที่เหลือ แทบจะหาความแตกต่างไม่ได้เลย ไม่เว้นแม้แต่
ล้ออัลลอยลาย Larenta ขนาด 7 x 17 นิ้ว

หรือถ้าเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ คุณจะพบว่า รุ่น D4 คันที่ผมนำมาลองขับนี้
มีสีตัวถังใหม่ล่าสุด คือ เบอร์ 713 Power Blue Metallic ซึ่งถูกนำมาใช้เป็น
ครั้งแรกใน Volvo รุ่นนี้

…เดี๋ยวนะ…ตอนตั้งชื่อสีรถเนี่ย ไปนัดแนะอะไรกับ Isuzu เขาก่อนหรือเปล่า?
เพราะแค่กลับคำว่า Power Blue เป็น Blue Power เราก็จะได้ Sub-name ใหม่
ล่าสุดของรถกระบะ D-Max 1.9 ลิตร ทันที!!!

กุญแจของ V40 ทั้ง 4 รุ่นย่อย ยังคงเป็นกุญแจรีโมทคอนโทรล Keyless
Smart Entry PCC (Personal Car Communicator) พร้อมระบบกันขโมย
Immobilizer จากโรงงาน หน้าตาแบบเดียวกับใน Volvo รุ่นใหม่ๆ แทบ
ทุกรุ่นในช่วง 5 ปี ให้หลังมานี้

การเปิดประตูรถ ก็เหมือนกับกุญแจ Smart Key ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั่วไป
เพียงแค่ พกรีโมท PCC ไว้กับตัว ทันทีที่ดึงมือจับประตู รถจะปลดล็อคให้
โดยอัตโนมัติ และถ้าจะล็อครถ ก็แค่ แตะสัมผัสหลุมบนมือจับเปิดประตู
ฝั่งไหนก็ได้  ระบบจะสั่งล็อคหรือปลดล็อคบานประตู และฝากระโปรงหลัง
โดยกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถเข้าเมนู ไปตั้งค่าส่วนตัวเพื่อสั่งให้
ปลดล็อคประตูด้านคนขับก่อน หรือให้ ปลดล็อคประตูทุกบานพร้อมกันได้

นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งเปิด – ปิดกระจก หน้าต่างทุกบาน เพียงแค่กดปุ่ม
ล็อก หรือปลดล็อก ค้างไว้ 2 วินาที และสั่งปลดล็อคฝากระโปรงหลัง แยก
ต่างหากได้ แถมยังตั้งค่าในเมนูของรถ ให้ประตูทุกบานสั่งล็อคได้อัตโนมัติ
เมื่อออกรถไปได้สัก 5 วินาที และผู้ขับขี่สามารถล็อคประตูทันทีได้เอง โดย
กดปุ่มล็อกข้างมือจับประตูภายใน

แต่ความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปนั้น อยู่ที่ว่า หากคุณกำลังเดินช้อปปิง
หรือเดินไปทำงาน แล้วไม่แน่ใจว่าล็อครถหรือยัง ให้กดปุ่ม i บน รีโมท
PCC ไฟสัญญาณก็จะวิ่งวนๆรอบๆ PCC ถ้าล็อกรถแล้ว ก็จะขึ้นไฟเขียว
ที่รูป กุญแจล็อก แต่ถ้ายังไม่ได้ล็อก ก็จะขึ้นไฟสัญญาณเตือนที่รูปกุญแจ
ปลดล็อก เมื่อเดินกลับมาที่รถ ภายในรัศมี 60 ถึง 100 เมตร คุณสามารถ
กดปุ่ม i แสดงข้อมูล ของ PCC เพื่อดูรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานะการ
ล็อคและการส่งสัญญาณเตือน

ระบบ PCC ยังมีสัญญาณกันขโมยควบคุมด้วย PCC เชื่อมต่อกับประตู
ฝากระโปรงทุกบาน สัญญาณนี้จะร้องลั่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในรถ
หรือมีการทุบกระจก หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเมื่อ มีคนมารอ
ที่รถ และพร้อมจะทำร้าย ให้กดปุ่มฉุกเฉินบน PCC รถจะร้องขึ้นมา เพื่อ
ส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือได้ เมื่อดับเครื่องยนต์ ไฟหน้าจะสว่าง
ค้างไว้ เพื่อนำทางเข้าบ้าน ทั้งนี้ ไม่มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างมาให้

2014_Volvo_V40_Interior_02_EDIT

เมื่อเปิดประตูคู่หน้า ในยามค่ำคืน จะพบหลอดไฟขนาดเล็ก ใต้กระจกมองข้าง
เพื่อส่องพื้นที่บริเวณซึ่ง ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร จะก้าวลงไปนั่ง หรือลุกออกจาก
ตัวรถให้สว่างขึ้น (Puddle Lights in side Mirrors)

การลุกเข้า – ออกจากเบาะนั่งคู่หน้า ต้องใช้ความระมัดระวัง มากกว่า Volvo
รุ่นอื่นๆ เพราะเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar นั้น ค่อนข้างลาดต่ำ ใครที่ไม่ระวัง
ไม่รอบคอบ หากหย่อนก้นลงไปนั่งสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่ได้ปรับเบาะคู่หน้าลง
ไปให้กดต่ำสุดๆ หัวของคุณอาจโขกโปีก เข้าที่เสากรอบประตู เต็มเหนี่ยว
อย่างที่ผม เคยโดนมาแล้ว..(เจ็บโคตรๆ) กึงกระนั้น ต่อให้ปรับเบาะนั่งกดลง
จนต่ำสุด ผมก็ยังเจอปัญหา หัวโขกกับเสากรอบประตูอยู่ดี!

ถึงแม้ C30 จะเคยก่อให้เกิดอาการคล้ายกันนี้มาบ้าง แต่ผมมองว่า ด้วย
ขนาดของบานประตูที่กว้างกว่า ผมจึงมีปัญหาเรื่องหัวโขกประตู น้อย
กว่า V40 พอสมควร

การออกแบบตัวรถให้เตี้ย ทำให้การลุกเข้า – ออก อาจยากลำบากสักหน่อย
สำหรับผู้สูงอายุ แต่ในรุ่น Cross Country ซึ่งมีระยะห่างจากพื้นถนน เพิ่ม
จาก V40 รุ่นปกติ เล็กน้อย ก็พอจะช่วยให้ผู้สูงอายุ ลุกเข้า – ออก ได้ดีขึ้น
นิดนึง แต่ไม่มากนัก

พูดกันตรงๆ นี่คือ Volvo ที่ ผมมีปัญหากับการเข้าไปนั่ง และลุกออกมา
จากตัวรถ มากที่สุด เท่าที่เคยเจอ ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ต่อให้เป็นรุ่น
Cross Country ก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างมากมายเลย ผมอาจออกแรง
ลุกออกมาจากรถน้อยลง แต่ การเข้าไปนั่ง ในแต่ละครั้ง ทำให้ขาขวา
ของผม มักเกิดอาการเส้นตึง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดตะคริวกินตามมาได้

เป็นรถยนต์นั่ง ที่มีการเข้า – ออก จากตำแหน่งเบาะคู่หน้า แย่ที่สุด รุ่นหนึ่ง
เท่าที่ผมเคยเจอมาตลอด 15 ปีที่ทำรีวิวรถยนต์ เลยทีเดียว!

บานประตูคู่หน้า ออกแบบให้มีพื้นที่วางแขน ซึ่งแม้ว่าจะมีตำแหน่งวางแขน
ที่พอเหมาะแล้ว ทว่าขนาดของมันค่อนข้างเล็กแคบกว่าปกติไปสักหน่อย แต่
ถ้าใช้งานเพื่อวางแขนตามปกติ ก็ยังพือว่า วางแขนได้จริงอยู่

แผงประตู มีช่องใส่ของจุกจิกมาให้ รวมทั้งช่องวางกระป๋องน้ำอัดลม ใส่ขวด
น้ำดื่มขนาด 7 บาท ได้พอดี ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง

2014_Volvo_V40_Interior_03_EDIT

ภายในห้องโดยสารของ V40 T5 และ T5 R-Limited ตกแต่งด้วยโทนสีดำเข้ม
Charcoal Solid ขณะที่ V40 Cross Country ทั้ง T5 และ D4 จะตกแต่งด้วย
หนังสีดำ Charcoal ตัดสลับด้วยสีน้ำตาล Hazel Brown Solid ส่วนเบาะนั่งทุก
ตำแหน่ง หุ้มด้วยวัสดุหนังที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ได้รับการรับรองจาก Oeko-Tex
Standard 100 ปราศจากโครเมียม เป็นไปตามโครงการพัฒนาห้องโดยสารที่
สะอาดปลอดภัยของ Volvo ซึ่งได้รับการยอมรับจากสมาคมโรคหอบหืดและ
ภูมิแพ้ของสวีเดน!…

(…ห้ะ?…)

ถ้าเข้าไปนั่งใน V40 แล้วรู้สึกอึดอัด ไม่ต่างจาก การเข้าไปนั่งใน Ford Focus
รุ่นล่าสุด ไม่ต้องแปลกใจครับ มันไม่ได้มาจากพื้นที่ในการนั่งโดยสารหรอก แต่
อยู่ที่ เสาหลังคาคู่หน้า ลาดต่ำ จนต้องทำกระจกหน้าต่างรอบคัน ให้เล็ก ตีบตัน
กว่า Volvo รุ่นอื่นๆ (ยกเว้น P1800) พอสมควร เพื่อให้เส้นสายของตัวรถ มัน
ต่อเนื่องกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นเอง ส่งผลมาถึงตำแหน่งแผงบังแดดที่อยู่ใกล้กับ
สายตาของผู้ขับขี่มากไปหน่อย จนก่อความอึดอัดให้กับบางคนได้

เบาะนั่งคู่หน้า ของ V40 ออกแบบในสไตล์ สปอร์ต มีรูปทรง คล้ายกับเบาะ
ของ S60 มากๆ ต่างกันแค่ลายตะเข็บและฝีเย็บบริเวณปีกด้านข้าง และแผง
พลาสติกบริเวณฐานรองเบาะ มีมือหมุนปรับดันหลัง รวมทั้งสวิตช์ไฟฟ้าเพื่อ
ปรับเอน หรือเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ครบทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

พนักพิงหลัง ออกแบบให้มีการรองรับสีข้างของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พอกันกับ
เบาะของ S60 1.6 DRIVe แต่ถ้ายังไม่พอใจ ก็มีมือหมุนปรับตำแหน่งดัน
แผ่นหลัง มาให้บริเวณด้านข้างของพนักพิงคู่หน้า ถือว่า พนักพิง ไม่นุ่มนิ่ม แต่
ก็ไม่แข็งเป็นไม้กระดาน อยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างแข็งนิดๆ กำลังดี

พนักศีรษะ เหมือนกันกับ S60 / V60 คือมีฟองน้ำแน่น แต่บาง ดันศีรษะใน
ระดับกำลังดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ส่วนเบาะรองนั่ง ก็มีความยาว
เหมาะสม กับช่วงขารองรับได้กำลังดี ด้านหลังของพนักพิงเบาะคู่หน้า มี
ช่องตาข่ายใส่หนังสือมาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง

เบาะคู่หน้า ปรับตำแหน่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งหมด โดยฝั่งคนขับ จะติดตั้ง
หน่วยความจำตำแหน่งเบาะคนขับ มีมาให้ 3 ตำแหน่ง แต่ฝั่งผู้โดยสารด้าน
ซ้าย จะไม่มีมาให้

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด Pretensioner & Load Limiter ช่วย
ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ เหมือนใน
S60 / V60 ใหม่ เสียที

2014_Volvo_V40_Interior_04

ส่วนการเข้า – ออกจากตัวรถ ผ่านบานประตูคู่หลังนั้น ค่อนข้างอัตคัต คับแคบ
เป็นอย่างมาก ช่องทางเข้า – ออก มีขนาดเล็กเกินไป  ถ้าคุณเป็นผู้หญิงตัวเล็ก
อย่างคุณแม่ของผม อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เลย แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ตัวใหญ่
ระดับตาแพน Commander CHENG อาจต้องใช้ความพยายามในการลุกเข้า
และออกมาจากรถ ในระดับที่มนุษย์ ใช้ความพยายามในการยัดแพนด้าเข้ากรง!

บานประตูคู่หลัง มีสวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch กดสวิชต์ หรือ
ยกสวิชต์ ขึ้นเพียงครั้งเดียว มาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนกระจกหน้าต่างบานประตู
คู่หน้า อย่างไรก็ตาม กระจกหน้าต่างคู่หลัง ไม่สามารถเลื่อนลงไปจนสุดขอบ
หน้าต่างของบานประตูได้เลย เลื่อนลงมาได้แค่ระดับที่เห็นในรูปข้างบนนี้
เท่านั้น!

แผงประตูด้านข้าง มีพื้นที่วางแขน ลักษณะเดียวกับแผงประตูคู่หน้า คือวางแขน
ได้ในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่พื้นที่วางแขน น้อยไปนิดนึง แม้แต่คนตัวผอมยัง
แอบมีบ่น ให้ได้ยิน ส่วนช่องวางของด้านข้างแผงประตู ก็วางได้แค่กระป๋องน้ำ
อัดลมเป็นหลัก

2014_Volvo_V40_Interior_05

เบานั่งด้านหลัง มีพนักศีรษะที่มาในแนวเดียวกับเบาะหน้า คือฟองน้ำบาง และ
ตื้น แต่มีความนุ่มให้สัมผัสอยู่บ้าง พนักพิงหลัง มีพื้นที่โอบไหล่จนถึงลำตัวของ
ผู้โดยสารได้ดี ส่วนพนักพิงหลังนั้น แน่น เหมือนจะแข็ง แต่พอมีความนุ่มให้เจอ
นิดหน่อย

พนักศีรษะ ไม่ดันกบาลนัก แน่นแต่แอบนุ่มเล็กๆ แบบเดียวกับ พนักศีรษะเบาะ
คู่หน้า สามารถกดปุ่มจากแผงคอนโซลกลาง เพื่อพับหักคอลงมาได้ ลดการ
บดบังทัศนวิสัยขณะถอยเข้าจอด ในยามที่ไม่มีผู้โดยสารด้านหลังได้ดี

เบาะรองนั่ง แน่น กำลังดี มีความยาวพอดีๆ รองรับช่วงต้นขา ไปจนเกือบจะถึง
ข้อพับของผม ได้อย่างสบายๆ ถือว่าเป็นเบาะรองนั่งของเบาหลังที่ดีใช้ได้ แต่
ถ้ายาวกว่านี้ได้อีกนิด ก็คงดี

พนักวางแขน ดึงลงมาได้ วางแขนและข้อศอกได้ในตำแหน่งที่พอจะให้ความ
สบายได้อยู่ ส่วนช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง ถูกซ่อนไว้ อย่างชาญฉลาด ที่เบาะ
รองนั่งตรงกลาง การใช้งาน เพียงแค่ ดึงตัวปลดล็อกออก ฝาเบาะหุ้มด้วยหนัง
จะเปิดกางออกมา ให้ใช้งานได้สบายๆ โดยไม่ทำให้นั่งสบายน้อยลง แถมยัง
สามารถพับเก็บกลับไปเป็นเบาะรองนั่งสำหรับผู้โดยสารตรงกลางได้ตามเดิม
หากไม่ได้ใช้งาน

พื้นที่เหนือศีรษะ บอกได้เลยว่า น้อย ต้องทำใจในจุดนี้ หากคุณตัวสูงไม่เกิน
170 เซ็นติเมตร คุณจะมีพื้นที่เหนือศีรษะ เหลือราวๆ 1 กำปั้นแน่ๆ แต่ถ้าสูง
เกินกว่านั้น โอกาสที่หัวจะชนเพดานก็จะมีสูง ส่วนมือจับ “ศาสดา” สำหรับ
ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีมาให้ครบ เหนือช่องทางเข้า – ออก ของประตูทั้ง 4 บาน

ส่วนพื้นที่วางขา ต่อให้ผม ปรับเบาะนั่งด้านหน้า ในตำแหน่งที่ผมขับสบาย
พอย้ายมานั่งด้านหลัง ก็ยังมีพื้นที่วางขา เหลือในระดับเท่ากันกับ Mazda 3
ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ คือเหลือราวๆ 1 ฝ่ามือขึ้นไป ได้อยู่ เพียงแต่ว่า คุณอาจ
รู้สึกอึดอัด จากสิ่งที่สายตาคุณมองเห็น น้องเติ้ง สมาชิก The Coup Team
ของเรา ถึงกับบ่นเลยว่า “ย้ายไปนั่งบนเบาะหลัง Mazda 2 ใหม่ ยังสบาย
มากกว่า!

เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด มาให้ครบทั้ง
3 ตำแหน่ง พร้อมทั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX ติดตั้ง
ที่ ฐานด้านล่างของพนักพิงหลังทั้งฝั่งซ้ายและขวา

ด้านข้างเบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ใกล้กับบานประตู มีถาดวางของจุกจิกขนาดเล็ก
2 ระดับ สำหรับวางสิ่งของจุกจิกได้เล็กน้อย เป็นสิ่งที่เรามักไม่ค่อยได้พบเห็น
ในบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆบ่อยครั้งนัก ราวกับว่าจะใช้ช่องวางของนี้ ถมพื้นที่
ด้านข้างเบาะให้เต็ม แค่นั้น

2014_Volvo_V40_Interior_06

เบาะโดยสารด้านหลังสามารถพับแยกได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่
ห้องเก็บของด้านหลัง

ขั้นตอนการพับคือ ควรดึงคันโยกปลดล็อกพับพนักศีรษะลงมาก่อน จากนั้น
ค่อยดึงคันโยกปลดล้อกพนักพิงหลัง เพื่อพับเบาะลงมาให้แบนราบต่อเนื่อง
เป็นแนวเดียวกับพื้นห้องเก็บของด้านหลัง และถ้าจะยกเก็บ ก็สามารถทำได้
ด้วยการยกพนักพิงหลัง ดันกลับขึ้นไปในตำแหน่งเดิมจนเข้าล็อกของมัน

2014_Volvo_V40_Interior_07

ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ของ V40 ใหม่ ทุกรุ่นย่อย เปิดขึ้นได้ด้วย
สวิตช์ไฟฟ้า บริเวณมือจับสีดำ ตรงกลาง ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้นทั้ง
ซ้าย – ขวา มีการบุผนังด้านในด้วยพลาสติกสีดำ ที่ออกแบบขึ้นรูปให้เป็นไป
ในทิศทางเดียวกับห้องโดยสาร

ทุกรุ่นจะมีแผงบังสัมภาระด้านหลัง แถมมาให้ ถ้าไม่ต้องการใช้งาน ก็แค่ปลด
เชือกออกจากห่วง ด้านข้างกระจกบังลมหลัง ทั้ง 2 ฝั่ง แล้วถอดออกจากจุดยึด
เก็บไว้บ้านได้เลย แต่ถ้าจะใส่กลับไปใช้งานอีกครั้ง ก็ทำย้อนขั้นตอนข้างบน
ขึ้นไปอีกครั้ง

นอกจากนี้ ทุกรุ่นยังติดตั้ง ใบปัดน้ำฝน พร้อมตัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง
ลวดไล่ฝ้าแบบไฟฟ้า ท่อไอเสียของแทบทุกรุ่น จะเป็นแบบ ท่อคู่ มีแผงทับทิม
สะท้อนแสงบริเวณเปลือกกันชนหลัง ขนาบข้างช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง

2014_Volvo_V40_Interior_08

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ของทั้ง V40 T5 และ V40 Cross Country T5
มีขนาดเท่ากัน พอดีเป๊ะ ด้วยความกว้าง 960 มิลลิเมตร ลึก 780 มิลลิเมตร
ขนาดความจุ 335 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ซึ่งดูเหมือนว่าน้อย
แต่ถ้าให้เทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน ก็ไม่ได้ต่างไปจากนี้มากนัก หาก
พับเบาะแถว 2 ลงไปจนเรียบ ทั้ง 2 ฝั่ง พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง จะเพิ่ม
ขึ้นไปถึง 1,032 ลิตร จากความลึกที่เพิ่มขึ้น เป็น 1,670 มิลลิเมตร

หน้าตาของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของทั้ง 2 รุ่น เหมือนกันเปี๊ยบ พื้นที่
ถือว่า มีขนาดกว้างขวางพอประมาณ ไม่เล็กแต่ไม่ใหญ่ ใส่กระเป๋าเดินทาง
ชนาดใหญ่ ได้ 2 ใบสบายๆ พื้นห้องเก็บของ สามารถยกขึ้นมาได้อย่างใน
ภาพข้างบนนี้ แถมยังมีฝาปิดพื้นที่เก็บยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ
รวมทั้งแม่แรงยกรถมาให้ในกรณีฉุกเฉิน

2014_Volvo_V40_Interior_10

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบขึ้น ราวกับรู้ใจผมดีว่า เกลียดช่องแอร์แบบที่
เคยพบใน S60 / V60 อย่างมาก คราวนี้ ทีมออกแบบของ Volvo
เลยจับช่องแอร์ มารวบเข้าไว้ด้วยกัน แล้วติดตั้งในตำแหน่งที่ควรเป็น
กันเสียที คือ อยู่ใต้จอมอนิเตอร์สีขนาด 7 นิ้ว สำหรับควบคุมระบบ
SENSUS

แผงควบคุมตรงกลาง ในรุ่น V40 T5 เป็นโทนสีขาว เล่นลวดลาย
Graphic ด้วยเส้นสีแดง สลับสีเงิน แบบ Center Court

แต่ในรุ่น Cross Country T5 จะตกแต่งแผงควบคุม ด้วยสีน้ำตาล
Copper Dawn ที่มีพื้นผิวสากๆ ให้สัมผัสของรถยนต์ Premium มาก
ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ประกับด้านข้างด้วยลายโครเมียม นอกจากนี้ V40 รุ่น
Cross Country ยังพิเศษกว่ารุ่นมาตรฐาน ด้วยการประดับแผง Trim
สีเงิน สลักคำว่า Cross Country ติดตั้งเหนือช่องเก็บของ Glove
Compartment ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย อีกด้วย

มีการใช้แถบโครเมียม ประดับบริเวณรอบช่องแอร์ทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา
รอบแผงควบคุมกลาง รอบฐานรองคันเกียร์ ก้านพวงมาลัย และมือจับ
เปิดประตูทั้ง 4 บาน

มองขึ้นไปด้านบนเพดานหลังคา แผงบังแดด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มีทั้ง
กระจกแต่งหน้า และไฟส่องสว่าง พร้อมฝาผิด มาให้ ครบถ้วน กระนั้น
แผงค่อนข้างแข็ง และยังไม่สามารถ เลื่อนเพิ่มพื้นที่บังแสงแดดได้

ส่วนไฟส่องสว่างในห้องโดยสารและไฟอ่านแผนที่ คราวนี้ใช้หลอด
LED สีขาวนวล มีขนาดเล็กกว่าดิม ให้บรรยากาศในห้องโดยสารที่ดู
ละมุนตาในยามค่ำคืนมากกว่าเดิม แต่ความสว่าง ยังไม่มากพอสำหรับ
การถ่ายทำคลิป The Clip! Check Check Out ในตอนกลางคืน
เอาเสียเลย แถมคราวนี้ สวิชต์ ก็ยังเล็ก จนผมต้องใช้มือคลำขึ้นไปเมื่อ
จะเปิดใช้งาน ยังไม่ค่อยสะดวกนัก ด้านบนของไฟส่องสว่าง กลาง
ผู้โดยสารด้านหลัง มีไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย ฝังมาให้

กระจกมองหลัง เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ออกแบบมาในสไตล์
Frameless ไร้กรอบ ดูสวยงามร่วมสมัย และไม่มีส่วนแหลมคม
ที่จะทำอันตรายผู้โดยสารขณะเกิดอุบัติเหตุ

2014_Volvo_V40_Interior_11

จากบานประตูคนขับฝั่งขวา ไปทางซ้าย

สวิชต์ กระจกมองข้างปรับได้ด้วยไฟฟ้า หากต้องการพับกระจก ก็ใช้วิธีการ
เหมือน Volvo รุ่นอื่นๆ คือ ต้องกดปุ่ม L R พร้อมกันทั้ง 2 ปุ่ม กระจกจะพับ
เก็บเอง ถ้าต้องการกางออกเพื่อใช้งาน ก็กดปุ่ม L กับ R พร้อมกัน ซ้ำอีกครั้ง
สามารถตั้งค่าได้ใผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ SENSUS

สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน เป็นแบบ One Touch กดเพื่อเลื่อนลง
หรือดึงขึ้น เพื่อเลื่อนขึ้น อัตโนมัติ เพียงครั้งเดียว มีระบบ Jam-Protection
ป้องกันการบาดเจ็บจากการโดนกระจกหนีบ ครบทุกบาน

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวามือของคนขับ เป็นสวิชต์ เปิดปิดไฟหน้า แบบธรรมดา แบบ
ติดสว่างเองเมื่อสภาพแสงภายนอกตัวรถเริ่มน้อยลง (ไฟหน้า Auto) รวมไปถึง
ไฟตัดหมอก และสวิตช์ปรับระดับความสว่างของไฟเรืองแสงมาตรวัด ติดตั้งใน
ตำแหน่งเดียวกับรถยนต์จากยุโรปทั่วๆไป

V40 ทุกรุ่นย่อย ติดตั้ง ไฟหน้าแบบ Xenon ปรับมุมองศาการหักเห ตามการเลี้ยว
ของพวงมาลัย Adaptive Bending Light พร้อมระบบปรับระดับ ขึ้น ลง อัตโนมัติ
มาให้ เพื่อช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ทางไกล และการเข้าโค้ง ยามค่ำคืน เห็น
ได้ชัดเจนขึ้น

บนคอพวงมาลัย ก้านสวิตช์ฝั่งขวา ควบคุมระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อมชุด
ฉีดน้ำล้างไฟหน้าและกระจกบังลมหน้า ทำงานพร้อมๆกัน รวมทั้งใบปัดน้ำฝน
และชุดฉีดน้ำล้างกระจกบังลมด้านหลัง ส่วนก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย ควบคุมไฟเลี้ยว
ไฟสูง ระบบไฟสูงตัดลำแสงอัตโนมัติเมื่อมีรถแล่นสวนทางมา และชุดสวิตช์
ควบคุมการแสดงข้อมูลบนชุดมาตรวัด Multi-Information System ไว้ใช้เลือก
เปลี่ยนโหมดหน้าจอของมาตรวัด หรือเปลี่ยน Theme การแสดงผล Set ตั้งค่า
Trip Meter ฯลฯ

พวงมาลัยแบบสามก้าน หุ้มหนัง และประดับด้วยโครเมียม ปรับระดับสูง – ต่ำ
และใกล้ – ไกลได้มาก ยกชุดมาจาก S60 – V60 ทั้งดุ้น แต่มีความแตกต่างกันตรง
แผงสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control
แบบมาตรฐาน (ไม่ใช่ระบบ Redar Cruise Control) ส่วนบนก้านพวงมาลัยฝั่ง
ซ้าย ติดตั้งชุดสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง เป็นหลัก

การติดเครื่องยนต์ หากพก รีโมท PCC ไว้กับตัวอยู่แล้ว ก็เหยียบเบรกกดปุ่ม Start
ถ้าไม่รู้จะพกกุญแจไว้ที่ไหน ก็เสียบไว้ใส่ช่องใต้ปุ่ม Push Start นั่นละ ทั้งหมดนี้
ยกชุดมาจาก S60 – V60 – XC60 ทั้งดุ้น

2014_Volvo_V40_Interior_12

ชุดมาตรวัดของ V40 ถือว่า เป็นการยกเครื่องงานออกแบบมาตรวัดความเร็ว
ของ Volvo ครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี ถูกติดตั้งใน V40 เป็นรุ่นแรก ก่อนจะ
ทะยอยติดตั้งไปยัง Volvo ทุกรุ่น ตั้งแต่ปี 2013 – ปัจจุบัน มาตรวัดชุดนี้ เป็น
ผลงานของ นักออกแบบ Volvo ที่ชื่อ Matthew Easton

Easton เล่าว่า ชุดมาตรวัดนี้ สร้างขึ้นจากองค์ความรู้เชิงลึกที่ Volvo สั่งสม
มาจากทั้งการทดสอบ และการวิจัยจากลูกค้า ส่วนแรงบันดาลใจในการสร้าง
ชุดมาตรวัดแบบนี้ มาจากการได้เข้าร่วม ในงานพัฒนารถยนต์ต้นแบบ S60
Concept ช่วงก่อนหน้านี้ โดยยึดพื้นฐานจากรูปทรงเรขาคณิต วงรี จากนั้น
ก็นำแรงบันดาลใจจากความชื่นชอบส่วนตัวในด้าน งานออกแบบตามสไตล์
Scandinavian Design , Solar Eclipse (สุริยุปราคา) และ Jellyfish (หรือ
แมงกระพรุน…!)

“ผมต้องการสร้างงานออกแบบที่ ดูสะอาดตา และเรียบง่าย (Clean & Simple
Design) โดยใช้การแสดงผล Graphic แบบละเอียด Theme ของมาตรวัดทั้ง
3 แบบ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ขับขี่ ตามสภาพการณ์ที่
แตกต่างกัน”

ชุดมาตรวัดของ V40 ใช้จอ TFT (Thin Film Transistor) แสดงผลด้วย
ภาพGraphic สวยงาม แบ่งช่องแสดงผลไว้ 5 ช่อง ฝั่งซ้ายสุดเป็นมาตรวัด
น้ำมันเชื้อเพลิง ขวาสุด เป็นไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ทุกแบบ จะ มีสัญลักษณ์
แสดงระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) ผู้ขับขี่สามารถ
เลือกรูปแบบในการแสดงข้อมูลได้ถึง 3 แบบ

Elegance
พื้นหลังจะเป็นสีกาแฟนม มาตรวัดความเร็วจะเป็นวงกลมตรงกลางเหมือน
กับโหมด Eco แสดงความเร็วรถแบบเข็มชี้ ในรูปแบบฟอนท์ตัวเลขดั้งเดิม
ของ Volvo แต่ถูกออกแบบ จัดวางให้อ่านง่าย รวมทั้งแสดงข้อมูลหรือแจ้ง
เตือนระบบต่างๆ เป็นภาพ Graphic และถูกขนาบข้างด้วยมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นทางฝั่งซ้าย กับแถบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ แบบเลื่อนขึ้นลง
ทางฝั่งขวา

Eco
พื้นหลังจะถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนๆ หน้าจอแสดงผลจะคล้ายๆกับแบบ
Elegance โดยมาตรวัด Eco จะอยู่ด้านซ้ายมือ แสดงการใช้เชื้อเพลิงใน
ขณะนั้น (แบบ Real Time) และปริมาณการใช้เชื้อเพลิงสะสม

ส่วนแถบมาตรวัดด้านซ้าย จะเปลี่ยนการแสดงผลจากมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นไปเป็น แถบ Eco Guide วัดความเร็วรถ ความเร็วรอบเครื่อง
ตำแหน่งวาล์วลิ้นปีกผีเสื้อ (Throttle) และการเบรก เพื่อคำนวนข้อมูล
ร่วมกัน แล้วแนะนำแนวทางให้ผู้ขับ ขับขี่ประหยัดมากยิ่งขึ้น โดยมีกราฟ
แบบเส้นแสดงว่าประหยัดน้ำมัน รวมทั้งมีการคำนวณอัตราการใช้น้ำมัน
เฉลี่ยใน 2-3 นาทีที่ผ่านมา แสดงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเมื่ออัตรา
การประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ยิ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวอยู่ใกล้ด้านบนมาก
เท่าไร ไฟเครื่องหมาย e จะสว่าง แสดงว่าคุณขับประหยัดมาก และถ้าเรา
ขับรถจนประหยัด ถึงเกณฑ์แล้ว มาตรวัดก็จะแสดงสัญลักษณ์รางวัลให้
ผู้ขับขี่อีกด้วย

นี่มันเป็นลูกเล่นเดียวกับรถยนต์ Hybrid ฝั่งญี่ปุ่น เลยนี่หว่า!

Performance
หน้าปัดจะเปลี่ยนสีเป็นโทนสีแดงเพื่อให้อารมณ์สปอร์ต มาตรวัดตรงกลาง
จะเปลี่ยนเป็น แถบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ขณะเดียวกัน มาตรวัดความเร็ว
ของรถจะเปลี่ยนมาแสดงผล เป็นตัวเลข Digital ขนาดใหญ่ตรงกลางแทน
แถบด้านขวาเป็น มาตรวัด Power Guide ที่บอกให้ผู้ขับทราบว่า ในแต่ละ
วินาที พละกำลังถูกเรียกมาใช้เท่าไหร่ แถบสีเหลือง แสดงให้ผู้ขับขี่รับรู้ว่า
ตนเองกำลังเหยียบคันเร่งไฟฟ้า ลงไปมากน้อยแค่ไหน

ส่วนแถบฝั่งซ้ายจะเป็น มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น ซึ่งเมื่อกดปุ่มระบบ
ล็อกความเร็วรถ Cruise Control แถบดังกล่าว จะเปลี่ยนเป็นแถบแสดง
ระดับความเร็วที่ผู้ขับขี่ต้องการให้ล็อกไว้ ขับไปสักพัก จึงจะเปลี่ยนกลับ
มาแสดงผลเป็นแถบมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นดังเดิม

การเรียกดูข้อมูลจากหน้าจอ ควบคุมจากปุ่มบนก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวฝั่งขวา
ของคอพวงมาลัย ปุ่ม Menu ไว้เลือกหน้าจอ สวิตช์หมุนเลื่อน ไว้เลือกใน
สิ่งที่เราต้องการ ปุ่ม OK บนหัวก้านไฟเลี้ยว ใช้ยืนยันการเลือกของเรา แต่
ถ้าจะถอยกลับมายังเมนูก่อนหน้า กดปุ่ม Back ที่อยู่ด้านในสุดของตัวก้าน

 

ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ 4 x 40W. High Performance Audio System
มีวิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD ช่องเสียบ AUX, USB และ iPod พร้อม
ลำโพง 8 ตัว มาให้ หากเป็นรุ่น S เครื่องเล่น CD จะเล่นแผ่น DVD ได้
รวมทั้ง จอมอนิเตอร์สี จะเพิ่มขนาดจาก 5 นิ้ว เป็น 7 นิ้ว

คุณภาพเสียง อยู่ในขั้นเทพอันดับต้นๆ ตามมาตรฐานของ ชุดเครื่องเสียง
Volvo แบบ High Performance ที่ดีเยี่ยม เหมือนเช่นเคย

กล่องเก็บของข้างลำตัวผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า ด้านบน เป็นที่วางแขน
บุด้วยหนังแบบเดียวกันกับหนังหุ้มเบาะ เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ แถมยัง
วางแขนได้พอดีเป๊ะ ในระดับสบายพอใช้ได้

เมื่อเปิดฝาด้านบนออกจะพบกล่องใส่ CD ขนาดแค่พอดีกับกล่อง CD ขนาด
มาตรฐาน ราวๆ 8 กล่อง มีช่องเสียบ USB และช่องปลั๊กเสียบไฟ 12V มาให้

ช่องใส่แก้วน้ำ สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า มีมาให้ 2 ตำแหน่ง แต่ไม่มีไฟส่อง
สว่างมาให้ทว่า ยังคงมีฝาปิดแบบเลื่อน เพื่อความสวยงาม ตามเคย

เสียดายว่า เบรกมือ ยังไม่ย้ายตำแหน่งมาจากฝั่งว้าย

ทัศนวิสัยด้านหน้านั้น ต้องยอมรับว่า การออกแบบให้ด้านหน้ารถลู่ลม จนเสา
หลังคาคู่หน้า A-Pillar ลาดเอียงลงมามากนั้น ทำให้เกิดความึดอัดทางสายตา
เพราะแผงบังแสงแดด จะเลื่อนมาอยู่ใกล้สายตาคนขับมากไป เหมือนเช่นที่
มักพบได้ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก แต่การมองเห็นเส้นทางข้างหน้า
ยังถือว่า ชัดเจนดี

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา แอบมีการบดบังรถยนต์ที่แล่นสวนทางมาจาก
ฝั่งขวา ของทางโค้งขวา บนถนนแบบสวนกันสองเลน อยู่พอสมควร เพราะเสา
หลังคาค่อนข้างหนาพอดู

กระจกมองข้าง มีขนาดเหมาะสมดีแล้ว แต่กรอบพลาสติกด้านในแอบกินพื้นที่
การมองเห็นเข้ามามากพอสมควร

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย แอบบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวกลับรถอยู่บ้าง
ในบางรูปแบบของจุดกลับรถ เช่นบริเวณที่บังด้วยเสาตอม่อรถไฟฟ้า BTS ไม่ว่า
คุณจะปรับเบาะนั่งคนขับไว้อย่างไรก็ตาม

เช่นเดียวกันกับฝั่งขวา กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว แต่ยังมี
กรอบพลาสติกที่บดบังมุมมอง กินพื้นที่เข้ามาในบานกระจกเยอะอยู่ ถ้าปรับ
แค่มองเห็นด้านข้างตัวถัง พร้อมมือจับประตู แบบฉิวเฉียด

กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงติดตั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ BLIS (Blind
Spot Information System) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทุกคัน แต่คราวนี้ Volvo
ถอดกล้องอินฟาเรดใต้กระกมองข้างออกไป แล้วแทนที่ด้วย เซ็นเซอร์วัดระยะแทน

หลักการทำงานยังคงเหมือน Volvo รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2008 คือ เซ็นเซอร์จะจับ
ภาพรถคันที่แล่นตามมาข้างๆ แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟสีอำพัน ที่มุม
กระจกมองข้างด้านในรถ ตามความเป็นจริง ขึ้นอยู่กับว่า จักรยานยนต์ หรือรถ
จะแล่นมาทางฝั่งซ้าย หรือขวา ก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งเตือน ที่่กระจกฝั่งนั้นๆ
ระบบนี้จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งมีสวิชต์
ปิด-เปิด ระบบที่แผงควบคุม ด้านล่างใกล้คันเกียร์

การเปลี่ยนมาใช้เซ็นเซอร์ แทรนกล้อง อินฟาเรด มีข้อดีคือ ระบบ BLIS ทำงาน
ได้อย่างเที่ยงตรง แม่นยำขึ้น แทบไม่เหลือ อาการติงต๊อง กระพริบถี่ๆ เหมือน
ที่เคยเกิดขึ้นใน C30 กับ S80 รุ่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่จะเกิดการกระพริบ
เฉพาะกรณีมีรถแล่นมาทางด้านข้าง แล้วคุณเปิดไฟเลี้ยว เพื่อดึงดันจะเปลี่ยน
เลนถนน ก่อนจะติดสว่างแช่ยาวๆ เมื่อรถยนต์คันนั้น แล่นขึ้นหน้า หรือชะลอ
ถอยห่างจากรถของคุณ

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น อาจต้องทำใจสักหน่อย เพราะเสาหลังคาคู่หลัง
D-Pillar ถูกออกแบบให้มีกระจก Opera ในรูปทรงแบบนั้น ซึ่งทำให้การ
บดบังทัศนวิสัยของรถจักรยานยนต์ที่แล่นมาจากด้านหลัง เกิดขึ้นชัดเจน
ยังดีที่ว่า ตำแหน่งพนักศีรษะ ถูกเรียงไว้ในตำแหน่งเดียวกับเสาหลังคา
พอดีๆ ไม่ได้กินพื้นที่ไปยังกระจกบังลมด้านหลังด้วย ทำให้พอจะรู้ว่า
ทีมวิศวกร Volvo เอง ก็คงทำการบ้านในเรื่องนี้มาอย่างดีที่สุดแล้ว

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในตลาดโลก V40 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมดมากถึง 9 แบบ แบ่งเป็น เบนซิน
6 แบบ และ Diesel 3 แบบ เพื่อให้สอดคล้อง และเหมาะสมของผู้บริโภคในแต่ละ
ภูมิภาค รวมทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายด้านภาษี และมลพิษ ในแต่ละประเทศ

ขุมพลัง เบนซิน นั้น เริ่มจาก รุ่น T2 วางเครื่องยนต์รหัส B4164T4 บล็อก 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection
พร้อม Turbocharger 120 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
24.45 กก.-ม.ณ ตั้งแต่ 1,600 – 3,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque

ตามด้วยรุ่น T3 วางขุมพลังรหัส B4164T3 บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ
Direct Injection พร้อม Turbocharger 150 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 24.45 กก.-ม.ที่รอบตั้งแต่ 1,600 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque

รุ่นที่ Volvo คาดหวังยอดขายจากลูกค้าในตลาดโลกมากที่สุด เพราะเป็นขุมพลัง
หลัก คือรุ่น T4 ซึ่งจะวางเครื่องยนต์ รหัส B4164T บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่าย
เชื้อเพลิง แบบ Direct Injection พร้อม Turbocharger 180 แรงม้า (PS) ที่ 5,700
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.45 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที
ต่อเนื่องกัน เป็น Flat Torque

แต่ในบางตลาด รุ่น T4 จะถูกอัพเกรดจากเครื่องยนต์ 4 สูบเดิม มาเป็นขุมพลัง
รหัส B5204T8 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Port Injection
พร้อม Turbocharger 180 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57
กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 2,700 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น Flat Torque

ถ้าอยากเร่งแซงทันใจขึ้นอีก ก็ต้องมาคบหากับ รุ่น T5 ที่วางเครื่องยนต์รหัส
B5204T9 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ แบบ
Integrated Fuel SFI Port Injection พร้อม Turbocharger 213 แรงม้า 
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57 กก.-ม ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่
2,700 – 5,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น Flat Torque

เวอร์ชันแรงสุดของฝั่งเบนซิน คือ รุ่น T5 ที่วางเครื่องยนต์รหัส B5254T12
บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83.0 x 92.3
มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Port Injection พร้อมด้วย
Turbocharger แรงสะใจถึง 254 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 36.68 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,800 – 4,200 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น
Flat Torque

ส่วนฝั่ง Diesel V40 ก็มีทางเลือกให้ตื่นเต้นกัน 3 ระดับความแรง เริ่มด้วยรุ่น
D2 วางเครื่องยนต์ รหัส D4162T บล็อค 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 1,560 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 75.0 x 88.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.0 : 1 ฉีดจ่าย
เชื้อเพลิงด้วยรางแรงดันสูง Common Rail พร้อมหัวฉีด Direct Injection
พ่วง Turbocharger 115 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
27.51 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที (Flat Torque)

ขั้นต่อไป เป็นรุ่น D3 วางเครื่องยนต์ รหัส D5204T6 บล็อค 5 สูบ DOHC
20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด
16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยราง Common Rail แบบ Direct Injection
พร้อม Turbocharger 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
35.66 กก.-ม ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,500 – 2,750 รอบ/นาที ต่อเนื่อง
เป็น Flat Torque

ปิดท้ายด้วยตัวแรงสุดในกลุ่ม Diesel คือรุ่น D4 วางขุมพลังรหัส D5204T4
5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยราง Common Rail แบบ
Direct Injection พร้อม Turbocharger 177 แรงม้า (PS) ที่ 3,500
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.76 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/
นาที ต่อเนื่องกัน เป็น Flat Torque

———————-

แต่สำหรับลูกค้าในเมืองไทย Volvo เตรียมเครื่องยนต์ “ตัวค่อนข้างแรง”
ไว้ให้ชาวไทยได้เลือก เพียงแบบเดียว วางลงในทั้ง V40 และ V40 Cross
Country คือรุ่น T5 เครื่องยนต์ รหัส B5204T9 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว
1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 ฉีด
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated Fuel SFI Port Injection
พร้อม Turbocharger เรียงลำดับการจุดระเบิดตามกระบอกสูบ 1 – 2 – 4 – 5 – 3
รอบเดินเบาอยู่ที่ 720 รอบ/นาที

กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57 กก.-ม
ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 2,700 – 5,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque

2014_Volvo_V40_Engine_02

ส่วนรุ่น T5 R-Limited ปี 2015 จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นรหัส B4204T11
บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated
Fuel SFI Port Injection พร้อม Turbocharger เรียงลำดับการจุดระเบิดตาม
กระบอกสูบ 1 – 2 – 4  – 3 รอบเดินเบาอยู่ที่ 720 รอบ/นาที

กำลังสูงสุด 220 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.66 กก.-ม
ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 137 กรัม/กิโลเมตร

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย รุ่น R-Limited จะมีจำนวน 28 คัน ที่ถูกอัพเกรดด้วย
ชุดเพิ่มสมรรถนะ Polestar Performance Optimisation มูลค่า 57,400 บาท
ซึ่งก็คือ การลงโปรแกรมในกล่องสมองกลเครื่องยนต์ ECM Engine Control
Module) ให้แรงขึ้นเป็น 245 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุด
เท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสมรรถนะของรุ่น T5 R-Limited มันช่างเหมือนกับสเป็ก
ของรุ่น เบนซิน T5 แบบมาตรฐานในเมืองนอกไม่มีผิดเพี้ยน

2014_Volvo_V40_Engine_03

ส่วนขุมพลังใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งประจำการในปี 2016 ทั้งในเมืองนอกและเมืองไทย
คือรุ่น D4 วางขุมพลังรหัส D4204T14 บล็อก 4  สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.8 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยราง Common Rail แบบ Direct Injection พ่วง Turbocharger

จุดเด่นของเครื่องยนต์ลูกนี้ อยู่ที่การติดตั้งเทคโนโลยี i-Art (Intelligent Accuracy
Refinement Technology) ซึ่งเคยเปิดตัวในบ้านเรามาแล้วกับ XC60 D4 หลักการ
ทำงานก็คือ กล่องสมองกลเครื่องยนต์ ECM (Engine Control Module) จะตรวจ
วัดแรงดัน จากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ที่หัวฉีดของแต่ละกระบอกสูบ ให้เหมาะสมต่อการ
เผาไหม้ เพื่อให้จุดระเบิดได้สมบูรณ์ขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น ลดมลพิษลงได้ ระบบนี้จะ
สามารถสั่งให้ฉีดจ่ายน้ำมันสูงสุด 9 ครั้ง ต่อการหมุนของเครื่องยนต์ 1 รอบ ด้วยแรงดัน
สูงสุดถึง 2,500 Bar Turbocharger

กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้น จาก 181 แรงม้า (PS) ใน XC60 D4 เป็น 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,250
รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุดยังเท่าเดิมคือ 40.76 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/
นาที ต่อเนื่องกัน เป็น Flat Torque ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 132 กรัม/กิโลเมตร

2014_Volvo_V40_Engine_02_6AT

ขุมพลัง T5 ใน V40 และ V40 Cross Country ของบ้านเราเชื่อมต่อเข้ากับ
ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก Aisin AW รุ่น
AW TF-80SD

อัตราทดเกียร์มีดังนี้

เกียร์ 1……………………….4.148
เกียร์ 2……………………….2.370
เกียร์ 3……………………….1.556
เกียร์ 4……………………….1.155
เกียร์ 5……………………….0.859
เกียร์ 6……………………….0.686
เกียร์ถอยหลัง………………3.394
อัตราทดเฟืองท้าย………..3.46

แต่ในรุ่น T5 R-Limited และ Cross Country D4 จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
AISIN SEIKI รุ่น AW TG-81SC ยกมาจาก XC60 D4 พร้อมโหมด บวก – ลบ
Gear Tronic ให้ผู้ขับขี่ เลือกเปลี่ยนเกียร์เล่นได้เอง ทั้งจากคันเกียร์ หรือบนแป้น
เปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………….5.250
เกียร์ 2……………………….3.029
เกียร์ 3……………………….1.950
เกียร์ 4……………………….1.457
เกียร์ 5……………………….1.121
เกียร์ 6……………………….1.000
เกียร์ 7……………………….0.809
เกียร์ 8……………………….0.673
เกียร์ถอยหลัง………………4.015
อัตราทดเฟืองท้าย…………2.67 – 3.08

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 6.1 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ในเมือง 8.1 – 11.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร นอกเมือง
เฉลี่ย 6.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 189 กรัม/ 1 กิโลเมตร

แล้วสมรรถนะบนถนนเมืองไทยจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?

เรายังคังจับเวลาด้วยวิธีการเดิม นั่นคือ ใช้เวลากลางคืน บนเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถ
พลุกพล่าน ปราศจากผู้คนในมาตรฐาน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน ผู้มาช่วย
จับเวลาให้เรา ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10ThLnD แห่งกลุ่ม The Coup Team ของเรา
ตามเคย และ ตัวเลขที่ออกมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้

V40_01
V40_02

ถ้าดูจากตัวเลข ก็ต้องพูดกันตามตรงละครับว่า สมรรถนะของ V40 T5 ปกตินั้น
ถือว่ายังด้อยกว่าคู่แข่งในกลุ่ม Sport Premium Compact Hatchback แทบ
ทุกรุ่น ยกเว้น Hyundai Veloster ซึ่ง มีระดับราคาในบ้านเรา พอๆกันกับ V40
T5 แต่ทำตัวเลขออกมาได้ด้อยกว่ากัน เพราะความจุกระบอกสูบของ Hyundai
Veloster Turbo มันน้อยกว่า V40 T5 อยู่แล้วเป็นทุนเดิม

แต่พออัพเกรดสมรรถนะมาเป็นรุ่น T5 R-Limited ปุ๊บ ตัวเลขอัตราเร่งกลับลดลง
ทำเวลาได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากการที่แรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 25 ตัว นั่น
ส่งผลให้ รุ่น R-Limited กลายเป็น V40 ที่แรงสุด จนฟัดเหวี่ยงกับ โหมด Sport
ของ Mercedes-Benz A250 ได้สบายๆ (และแน่นอนครับ ทั้งคู่ ยังคงแพ้ให้กับ
VW Golf GTi Mk6 อยู่ดี)

ขณะเดียวกัน รุ่น Cross Country D4 ทำผลงานได้ดีใกล้เคียงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ใครจะไปนึกว่า ขุมพลัง Diesel Turbo ของ Volvo ในวันนี้ เริ่มให้ความแรงขึ้นมา
ทัดเทียมกับคู่แข่งเพื่อนฝูงชาวยุโรปอย่างจริงจังกันเสียที ช่วง ออกตัว 0 – 100 นั้น
แรงกว่า CrossCountry รุ่นเบนซิน อย่างเห็นได้ชัด ราวๆ 0.5 วินาที แต่ช่วงเร่งแซง
80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น กลับทำได้พอๆกันกับ CrossCountry รุ่นเบนซิน

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น แน่นอนครับว่า Golf GTi พาคุณขึ้นไปต่อเนื่อง
จนสุดที่ระดับ 252 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ได้แบบมีลุ้นให้เสียว
อยู่นิดๆ ในขณะที่ A250 AMG กว่าจะไต่ขึ้นไปจนสุดมาตรวัดได้ที่
239 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ลุ้นกันเยี่ยวเหนียวเลยละ!

แต่ V40 T5 อยู่ตรงกลางระหว่าง ทั้ง 2 คันนี้ การไต่ขึ้นไปถึงความเร็ว
ระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นเรื่องง่ายดายมากกกก! และจะเป็น
เช่นนี้ ต่อเนื่องข้นไปถึง 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังจากนั้น จึงจะ
ค่อยๆ เริ่มไหลช้าลง แต่ก็ยังเร็วกว่า A250 นิดหน่อย อยู่ดี แถมด้วย
ตัวเลขตอนจบ มันไปอยู่ที่ 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง (บนมาตรวัด) ที่
5,900 รอบ/นาที อีกต่างหาก…

เพียงแต่ว่า ในจังหวะที่ตัวเลขขึ้นไปถึง 242 นั้น ผมกดชัตเตอร์บันทึกภาพ
ไว้ไม่ทัน และต้องถอนเท้าจากคันเร่งออกมาเสียก่อน เพราะอีกไม่กี่อึดใจ
ระยะทำความเร็วได้ปลอดภัยก็จะหมดลง จึงต้องยกเท้าขวาออกจากคันเร่ง
และหลังจากนั้น ต่อให้ทดลองกันซ้ำ อีก 1 รอบ ก็ไม่อาจทำตัวเลขได้ใน
ระดับนั้นอีก เนืองจากสภาพการจราจร ไม่เอื้ออำนวยให้ปลอดภัยกับทั้ง
ตัวเรา และผู้ใช้เส้นทางคันอื่น มากพอ

ส่วนรุ่น Cross Country T5 นั้น น่าแปลกว่า ความเร็วสูงสุด ดูเหมือนถูกล็อก
เอาไว้ ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ตัวเลขบนมาตรวัดจริง กลับแสดงไว้ ถึง
218 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5,200 รอบ/นาที ณ เกียร์ 5 ถือว่าน่าแปลกใจอยู่

ขณะที่รุ่น Cross Country D4 นั้น การไต่ความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จะต่อเนื่อง
และสัมผัสได้ถึงเรี่ยวแรงจากเครื่องยนต์ได้ดี จนถัึงระดับ 150 กิโลเมตร/
ชั่วโมง หลังจากนั้น อาจต้องมีอาการลุ้นอยู่บ้าง กว่าจะไต่ขึ้นไปจนถึงขีด
ความเร็วสูงสุด ที่ทำได้สูงเกินกว่า Cross Country T5 ปกติ ชัดเจน

ย้ำกันตรงนี้เหมือนเช่นเคยว่า เราทำการทดลองความเร็วสูงสุดให้ดูกัน ด้วย
เหตุผลของการให้ความรู้ เพื่อการศึกษา ไม่ได้กดแช่กันยาว หรือมุดกันจน
เสี่ยงอันตรายต่อผู้ร่วมใช้เส้นทาง เราระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับเรื่อง
ความปลอดภัยมากๆ และเราไม่อยากเห็นใครต้อง เสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลข
แบบนี้กันเอาเอง ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะหากพลาดพลั้ง
ขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความ
ปลอดภัยของคุณแต่อย่างใดทั้งสิ้น! อีกทั้งเราไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลอง
ทำความเร็วสูงสุด แบบนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร

ในการขับขี่ใช้งานจริง เราคงต้องมาแยกออกจากกันเป็นรุ่นๆ ไป เพราะการ
ตอบสนองของแต่ละขุมพลัง แตกต่างกัน ชัดเจน

สำหรับรุ่น T5 และ Cross Country เบนซิน อัตราเร่งที่พวกเท้าหนักจะบอกว่า
ยังไม่แรงพอนั้น ผมบอกเลยว่า เหลือเฟือแล้ว แรงบิดที่คุณคาดหวัง มันจะเริ่ม
โผล่มาทักทายคุณกันตั้งแต่ 2,000 รอบ/นาทีขึ้นไป แต่จะปรากฎให้เห็นชัดเจน
จนสร้างความสนุกได้ ก็ต้องผ่านไปถึง 4,000 รอบ/นาที แรงดึงจึงจะชัดเจนขึ้น
มันเป็นเครื่องยนต์ที่ให้อัตราเร่งในช่วงรอบกลางๆ ได้ดีมากๆ เครื่องหนึ่ง

การเร่งแซงนั้น ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งจมมิด แต่เพียงแค่เหยียบสักราวๆ
30 – 40% รถก็เริ่มทะยานขึ้นไปข้างหน้าให้คุณได้แล้ว แต่อย่าคาดหวังว่าจะ
มีเสียงอันเร้าใจ เพราะบุคลิกของ V40 T5 คันนี้ จะให้อัตราเร่งแบบพุ่งทะยาน
ขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คุณอาจไม่ทันตั้งตัว

ในจังหวะที่ผมขับรถอยู่บนทางยกระดับบูรพาวิถี ทันทีที่พ้นออกจากด่านรับบัตร
ช่วงบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 6 ผมพุ่งออกจากด่านด้วยความเร็วต่อเนื่อง กะว่า
จะขับคลานๆ ที่แถวๆ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอดีมีจังหวะแซงรถคันข้างหน้า
ก็เลยเหยียบคันเร่งไปราวๆ 70 – 80% จ่ๆ ความเร็วก็พุ่งพรวดขึ้นไป จากระดับ
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง…พอละสายตาจากถนนลงมาดูมาตรวัดอีกที..

ชิบหาย! 209 กิโลเมตร/ชั่วโมง! เฮ้ยยย มันจะขึ้นไวไปไหมวะเนี่ย!

ผมต้องรีบชะลอรถลงมาเหลือ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามเดิม เพื่อความปลอดภัย
เพราะในตอนกลางวัน รถราขวักไขว่ แม้ในระยะข้างหน้าผม จะยังไม่มีรถอะไร
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดโดยไม่จำเป็น

เหมือนกับคุณ หันไปขอน้ำเปล่า จากบริกรในร้านอาหาร แล้วจู่ๆ หล่อนกลับมา
พร้อมกับน้ำส้มปั่น แช่เย็นกำลังดี ไม่เย็นเจี๊ยบเกินไป แถมประดับตกแต่งใส่
แก้วทรงสูง พร้อมหลอดแบบงอได้ และส้มฝานบางๆเสียบขอบแก้วมาให้
พร้มกับทำเสียงเรียบๆ บอกกับคุณว่า

“อ่ะ นี่ค่ะ น้ำส้ม อภินันทนาการพิเศษจากฉัน รับไปซะ” แล้วหล่อนก็เดินจากไป
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้คุณอ้าปากหวอจนแมลงวันบินเข้าปากไปนั่นละ!

อัตราเร่งแซงของรถคันนี้ ทำให้ผม หนีพ้นจากบรรดา Toyota Fortuner ที่ขับมา
จี้ตูด ได้อย่างง่ายดาย และทิ้งพวกเขาให้หายลับ กลายเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยเล็กๆ
ในกระจกมองหลัง ก่อนจะกลืนหายไปกับความมืด ไปอยู่ไหนก็ไม่รู้  เรียกได้ว่า
V40 T5 ให้อัตราเร่ง ที่สนุกสนานเพียงอกับความต้องการของผม และถือได้ว่า
แรงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับ Volvo คันอื่นๆ ที่ผมเคยลองขับมา แน่นอนว่า มันแง
กว่ารถเก๋งบ้านๆ อีกหลายๆคัน

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบ V40 T5 รุ่นมาตรฐาน กับ คู่แข่งชาวเยอรมัน ก็คง
ต้องยอมรับว่า ทั้ง A250 และ Golf GTi ให้อัตราเร่งที่กระชากใจมากกว่า ทว่า การ
ทะยานความเร็วขึ้นไปอย่างต่อเนื่องและสัมผัสได้ว่าทรงพลัง คือเสน่ห์อีกอย่างที่
V40 T5 มี และน่าจะถูกใจใครอีกหลายๆคน ที่ยังไม่ได้ต้องการความแรงระดับ
กระชากจิตจนหลังติดเบาะ

แต่ถ้าเป็นรุ่น T5 R-Limited Polestar 245 แรงม้า (PS) แล้ว บอกเลยว่า A250 กับ
Golf GTi มีหนาวแน่ๆ ในช่วง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะบุคลิกการตอบสนอง
แม้จะเหมือนกันกับร่น T5 ปกติ แต่พละกำลังที่เพิ่มเติมเข้ามา มันเยอะมากกว่ากัน
อย่างชัดเจน แรงสะใจขึ้นเอาเรื่อง และพร้อมจะพาคุณมุดออกมาจากสถานการณ์
คับชันต่างๆ บนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าที่เคยได้รับ
จากรุ่น T5 ปกติ!

ไม่เพียงแค่คว้าตำแหน่ง V40 ที่เร็วมากสุดในรุ่น แต่ยังสามารถพูดได้เต็มปากเลย
ว่า V40 T5 R-Limited เป็น Volvo ที่แรงสุด เท่าที่เคยทำตลาดกันในเมืองไทย!

จุดที่น่าประทับใจมากๆ คือเสียงคำรามของเครื่องยนต์ 5 สูบ ที่หวาน ไพเราะ
เสนาะโสตมากๆ ในแบบที่ เครื่องยนต์จากค่ายอื่น ก็ยังให้คุณไม่ได้แบบนี้
เสียงของมันหวาน แบบสุภาพ แต่ดุดันอยู่ในที ไม่โหด แต่เหมือนจะขู่ว่า
อย่ามาต่อกรใกล้ๆเชียวนะ

ขณะเดียวกัน ถ้าคุณชื่นชอบในอัตราเร่งของรุ่น T5 R-Limited แต่จับจองเพื่อ
เป็นเจ้าของไม่ทัน อัตราเร่ง และการตอบสนองของรุ่น D4 ก็แรงไม่ยิ่งหย่อน
ไปกว่ากันเท่าใดนัก

สารภาพเลยว่า ผมไม่ได้คาดหวัง ว่ารุ่น D4 มันจะ “แรงได้เกินความคาดหมาย”
ถึงเพียงนี้มาก่อน จนกระทั่ง พอเริ่มรับรถจาก Volvo ขับออกมาบนถนนนั่นละ
สัมผัสได้เลยว่า กำลังทั่งหมดของเครื่องยนต์มันเหมือนมารออยู่ที่คันเร่งแล้ว
แค่เพียงคุณเหยียบลงไปตามต้องการ อัตราเร่ง มาอย่างไวจนน่าตกใจเลยละ!

การเร่งแซงรถคันข้างหน้า คุณแทบไม่ต้องกดคันเร่งเต็มเท้า เอาแค่ครึ่งคันเร่ง
นั่นก็มากพอที่จะพาให้รถทะยานจาก 80 ถึง 150 กิโลเมตร /ชั่วโมง ในเวลาแค่
เพียงคุณค่อยๆผ่อนลมหายใจเบาๆ ขณะนั่งละเลียดกาแฟในร้านหรูๆ เท่านั้น!

ไม่นึกเลยว่า ด้วยเทคโนโลยี i-Art จะทำให้ Volvo พัฒนาเครื่องยนต์ Diesel
Turbo Common-rail ได้ดีเยี่ยมขนาดนี้ แรงบิดมีให้เรียกใช้ได้ตลอดเวลาที่คุณ
ต้องการมัน แถมยัง ยืดหยุ่นต่อทุกสถานการณ์อีกด้วย เรียกใช้เมื่อไหร่ เป็นมา!
ไม่ประวิงเวลาโอ้เอ้รำไร เหมือนขุมพลัง Diesel Turbo จาก Volvo ยุคก่อนๆ
มันช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่ทางไกลขึ้นอีกมากกกกก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณควรรับรู้และทำใจก่อนลองขับคือ V40 Cross Country
D4 มันเหมาะกับการขับออกทางไกล ต่างจังหวัด ยาวๆ มากกว่าจะเดินทาง
ระยะสั้นๆ ในตัวเมือง เพราะในทันทีที่คุณเริ่มแตะคันเร่งลงไปเบาๆ แค่ใน
ระดับที่คุณเริ่มพรมนิ้วลงบนเปียโน ตัวรถจะพุ่ง “วืด” ไปข้างหน้าแทบทันที
จนคุณต้องรีบ เหยียบเบรก ยิ่งพอมาเจอกับแป้นเบรกที่เบา แตะแค่นิดเดียว
หน้ารถก็แทบจะทิ่มจึ๊ก! ทันที ถึงจะไม่ทิ่มหยุดสะดุดกึก แบบ VW Golf GTi
Mk6 แต่เมื่อคุณต้องเจอ อาการพุ่งพรวด และทิ่มจึ๊ก นี่ ต่อเนื่องกัน ไปตาม
สภาพการจราจรที่ติดขัดเหนียวหนึบหนับของ กรุงเทพมหานคร ช่วงเย็น
วันศุกร์สิ้นเดือนแห่งชาติ ด้วยแล้ว  โอ้โห! เล่นเอาผม คว้าแป๊ะฮวยอิ้วมาดม
แก้เวียนหัวแทบไม่ทันเลยละ!

ในเกียร์ D ของ V40 ทั้ง 4 รุ่น คันเร่ง อาจจะยังมีอาการ Lag อยู่นิดๆ ถึงจะน้อย
กว่าคันเร่งของ Volvo แบบ ไฟฟ้า รุ่นอื่นๆ แล้วก็ตาม หากต้องการเบี่ยงรถ เพื่อ
เปลี่ยนเลน จากจุดหยุดนิ่ง และต้องเร่งออกอย่างฉับพลัน ก่อนที่รถคันข้างหลัง
จะแล่นตามมาทัน คุณต้องเผื่อเวลาไว้สักราวๆ 0.3 – 0.5 วินาที หลังเหยียบคันเร่ง
กว่าที่รถจะพุ่งตัวออกไป ตามคำสั่ง

แต่ถ้าหากต้องการความไวยิ่งกว่านี้ ลองผลักคันเกียร์ไปสู่โหมด บวก/ลบ ดู คุณจะ
พบว่า คันเร่งตอบสนองไวขึ้นทันทีอย่างเห็นได้ชัด เรียกแรงบิดมาใช้ได้ต่อเนื่อง
เพิ่มความสนุกสนานบานตะเกียงขึ้นอีกเยอะ กลายเป็นคนละบุคลิกกับเกียร์ D ใน
โหมด ปกติ ไปเลย

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเข้าเกียร์ในโหมด บวก-ลบ แล้วลากรอบเครื่องยนต์ไปจนถึง
ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ สมองกล TCM (Transmission Control Module)
จะสั่งตัดและเปลี่ยนเกียร์ขึ้นไปให้เอง 1 จังหวะ ทันที เพื่อลดความเสียหายจาก
ความร้อนของ น้ำมันเกียร์ และการสึกหรอกภายในระบบเกียร์

ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น ทำได้ดีมาก เสียงยางจะเริ่มลดเข้ามาให้
ได้ยิน นิดๆ ที่ความเร็วเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ยังจะเบาอยู่ จนกว่าจะเริ่ม
เข้าสู่ความเร็วระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ จึง
เริ่มเข้ามาให้ได้ยินบ้าง ก่อนจะเริ่มดังข้น นิดหน่อย ณ ความเร็ว ช่วงแถวๆ
160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไล่ขึ้นไปจนสุด…แต่ช่วง ความเร็ว 200 กิโลเมตร/
ชั่วโมงนั้น เสียงกระแสลม เบากว่า คู่แข่งในพิกัดเดียวกันแทบทุกคันนิดๆ

แต่ด้วยความเงียบสงบของห้องโดยสาร ทำให้คุณได้ยินทุกสรรพเสียงที่ดัง
กว่าปกติ แทรกเข้ามา คุณอาจได้ยินเสียง คนขี่จักรยานยนต์ 2 คน คุยกัน
ขณะที่พวกเขาแล่นผ่านคุณไป อย่าแปลกใจครับ คุณฟังพวกเขาคุยกันเรื่อง
ศึกวันแดงเดือด แมนฯยู และ ลิเวอร์พูล ได้ชัดเจนเลยละ!

พวงมาลัยเป็นแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
EPAS (Electrically Power Assisted Rack and Pinion Steering)
มีคอพวงมาลัยที่หนา เสริมสปริงและมีฉนวนที่แข็งแรง เพิ่มความ มั่นคง ช่วยให้
ผู้ขับขี่จับอาการของล้อขณะสัมผัสพื้นถนน ได้ชัดเจน รัศมีวงเลี้ยว 5.85 เมตร
ซึ่ง กว้างพอๆกับอ่าวไทย จะเลี้ยวกลับรถที ต้องเผื่อไว้ 1 เลนเพิ่มเติม

จุดเด่นที่แตกต่างไปจากคู่แข่งในเวลานี้คือ มีระบบปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้
3 ระดับ ถือได้ว่า ตอนนี้ V40 ทั้ง T5 และ Cross Country T5 ถือว่า
เป็นรถยนต์ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท เพียงรุ่นเดียวในเมืองไทย ที่คุณสามารถ
เลือกปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้เอง

วิธีการปรับ ให้กดปุ่ม MY CAR บนแผงควบคุมกลาง (ปุ่มจะอยู่ฝั่งขวาสุด ใกล้
สวิชต์หมุนฝั่งขวาด้านบน) จากนั้น เลือกเข้าไปที่ เมนู Setting แล้วหมุนสวิชต์
ฝั่งขวาบนนั่นแหละ เลื่อนลงมา เลือกไปที่ เมนู ปรับระดับพวงมาลัย จะมีให้
เลือกได้ 3 ระดับ คือ..

Low – พวงมาลัยเบาหวิวมาก แทบจะไร้น้ำหนัก เหมาะกับคุณสุภาพสตรี และ
บรรดาชะนี SME ที่กำลังมองหาที่จอดรถบนอาคารสูง เอานิ้วก้อยมือขวา ไป
หมุนพวงมาลัยได้ง่ายดาย ระบบจะส่งแรงช่วยมากที่สุด เพื่อให้พวงมาลัยนั้น
เบาที่สุด เมื่อเทียบกับแบบอื่นๆ เบาในระดับใกล้เคียงกับน้ำหนักพวงมาลัยของ
Mercedes-Benz E-Class W212 แต่ ไม่เบาโหวง แบบรถญี่ปุ่นทีใช้พวงมาลัย
เพาเวอร์ไฟฟ้าทั่วไป เหลืออาการขืนมือมาให้บ้าง แต่น้อยมากๆ

Medium – คนทั่วไปน่าจะชอบโหมดนี้กัน มันหนืดขึ้นนิดนึง ใช้งานในเมือง
ได้คล่องตัว และไม่เบาจนน่าเกลียดเกินไปอย่างระดับ Low เอานิ้วก้อย หมุน
พวงมาลัย เริ่มยากขึ้น

High – เกร็งไปเถอะครับ เกร็งจนนิ้วก้อยแทบหัก พวงมาลัยนี่ยังหนืดหนักจน
ขี้เกียจจะเขยื้อนหมุนให้ มันหนืดมากจนชวนให้ผมนึกถึงพวงมาลัยเพาเย่อ
ของ Chevrolet Optra เป็นยิ่งนัก! ออกแรงหมุนเยอะ ขับทางไกล หรือขับเร็วๆ
ปรับเปลี่ยนมาอยู่โหมดนี้เถิด!  ระบบจะส่งแรงช่วยน้อยมาก เพื่อให้น้ำหนัก
พวงมาลัย หนืดกำลังดี ในแบบที่ผมต้องการจะเห็น แรงขืนที่มือเพิ่มขึ้นชัดเจน
ในระดับพอๆกันกับ Mercedes-Benz A250 หรือ C-Class Coupe C250 รวมทั้ง
Volvo C30 ที่ใส่ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยาง Piralli PZero Rosso ซึ่งผมเคย
ประทับใจเมื่อปี 2008 มาแล้ว

สำหรับผม ถือว่า การเข้าถึงเมนูเพื่อปรับน้ำหนักพวงมาลัย ออกจะยากไปหน่อย
ถ้ามีสวิชต์ ติดตั้งแยกออกมาต่างหากให้เลือกได้เลย น่าจะสะดวกสบายกว่า และ
ใช้งานได้ง่ายกว่านี้

ในช่วงความเร็วต่ำ คุณจะปรับน้ำหนักพวงมาลัยไว้อย่างไรก็ได้ แล้วแต่ชอบ
มันจะตอบสนองในแบบที่คุณต้องการได้อย่างดี ถ้าต้องการให้เบาแรงสุดๆ
คุณผ้หญิงทั้งหลายน่าจะชื่นชอบกัน ส่วนในโหมด Medium ผมว่าผู้ชายที่
ขับรถในเมืองเป็นหลัก น่าจะชอบกว่า เพราะ ไม่เบามากเท่าโหมด Low

แต่สำหรับผม เซ็ตค่าไว้ที่โหมด High ตลอด เพราะผมชอบพวงมาลัยที่หนืด
และมีน้ำหนักกำลังดีมากกว่า

แต่ความนิ่งในขณะเดินทางด้วยความเร็วปกติ และความเร็วสูง คือสิ่งที่ทำให้
พวงมาลัยของ V40 แตกต่างไป การใช้ระบบอีเล็กโทรนิคส์ ควบคุมสั่งการให้
พวงมาลัย มีความหนืดที่เหมาะสม ระยะฟรีที่มีพอประมาณ แต่ On Center
Feeling นิ่งดีมากๆ ทำให้พวงมาลัยของ V40 เด่นขึ้นมาใช้ได้เลย น้ำหนัก
แอบเบากว่า พวงมาลัยของ Volvo C30 เดิม แต่แค่นิดเดียวเท่านั้น ผมถือว่า
อยู่ในระดับยอมรับได้ เพราะใกล้เคียงกันมาก

อัตราทดเฟืองพวงมาลัย เหมาะสมกับประเภทรถ คือ ถ้าคุณใช้ความเร็วราวๆ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วลองหักเลี้ยวเปลี่ยนเลนกระทันหันดู คุณไม่ต้อง
หมุนพงมาลัยมากนัก แค่ขยับไปนิดหน่อย ตัวรถก็เลี้ยวฟ้าบ อย่างฉับไว
จนคุณอาจออกอาการเหวอได้อยู่ และพาให้เข้าใจไปว่า พวงมาลัย มันไว

แต่ความจริงแล้ว พวงมาลัย ไม่ภึงกับเฉียบคมนัก ยังเนือยอยู่ในระดับที่
ถือว่าเหมาะสม และพอรับได้ สำหรับการขับขี่ ของทุกๆคน ไม่ได้ไวจน
เอาใจนักแข่ง แต่ก็ไม่ได้หน่วง หรือซื่อบื้อ จนนักขับรถรำคาญ ทุกอย่าง
ตอบสนองออกมาได้ในระดับกำลังดีมากๆ

น้ำหนักพวงมาลัยที่ขืนมือ ขณะเลี้ยวเข้าโค้งอยู่นั้น นิ่ง และให้ความมั่นใจ
ในการบังคับควบคุมดีมากๆ ใกล้เคียงกับ BMW 3-Series E90 พวก
330i หรือ 320d รุ่นที่แล้ว เลยทีเดียว!

สรุปแล้ว พวงมาลัย ยอดเยี่ยมดี และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรอื่นอีก
เว้นเสียแต่ว่า จะมี Defect อะไรในอนาคต อันนั้นก็ว่ากันไป แต่ขอว่า
Feeling ทั้งหมดนี้ ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนอีก

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมคอยล์สปริง และ
ช็อกอัพ ซึ่งมีแกนกลางขนาด 25 มม. เหมือนกับที่ติดตั้งใน Volvo S60  รุ่น
ปัจจุบัน ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link  พร้อมคอยล์สปริง และช็อกอัพ
ซึ่งมีกระบอกน้ำมัน เป็นแบบช่องทางเดินเดียว ควบคุมด้วยวาล์ว เมื่อเกิด
จังหวะการยุบตัว วาล์วจะเปิดและปิดในจังหวะที่สั้นและรวดร็ว เพื่อให้
น้ำมันไหลเข้าออกได้เร็วขึ้น ทำให้ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี

เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ผมและ ตาแพน Commander CHENG ถึงขั้น
ลงความเห็นตรงกันว่า “นี่แหละ คือช่วงล่างในแบบที่เราต้องการให้ BMW
เอาไปใส่ใน 3-Series ใหม่ F30 กันตั้งแต่แรก!!!!!”

ภาพรวมของช่วงล่าง V40 นั้น ไม่ได้นุ่มเกินไปเหมือน 3-Series F30 แต่ก็
ไม่ได้แข็งเป็นเกวียนเหมือน A250 AMG Dynamic มันถูกปรับแต่งมาให้
เอาใจคนรักความสนุกในการขับขี่ ในระดับกำลังดี ความเร็วต่ำ อาจมีอาการ
ตึงตังอยู่บ้าง แต่ยังพอรับรู้ได้ว่าพยามดูดซับแรงสะเทือนให้แล้วส่วนหนึ่ง
ขณะที่ให้ความนิ่ง มั่นใจได้มากๆๆ ในย่านความเร็วสูง หรือการเข้าโค้ง
ที่แอบมีอาการบั้นท้ายออกได้นิดหน่อย ถ้าเร่งส่งในโค้งมากไป ให้บุคลิก
แบบ Premium Compact Hatchback สไตล์รถหนักๆ ที่คล่องตัวเกินคาด
ใกล้ถึงขั้น Sport Premium Compact สำหรับเอาไว้ซิ่งโหดๆ

ถือเป็นช่วงล่างที่ผมชื่นชอบมาก อีกรุ่นหนึ่งเท่าที่เคย เจอมา พอๆกับ C30

เพราะในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ V40 ไม่ว่าจะเป็นรุ่น T5 ธรรมดา
T5 R-Limited หรือรุ่น Cross Country ทั้ง T5 และ D4 ต่างก็จะปล่อยให้
คุณได้สัมผัสถึงพื้นผิวของก้อนหินก้อนกรวด หลุมบ่อต่างๆ แทบเกือบ
ทุกเม็ด!

ครับ นี่คือ ช่วงล่าง Volvo ที่แข็ง และสะเทือนที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
เมื่อเทียบ กับ Volvo รุ่นอื่นๆ แต่ภาพรวม ก็ยังพอจะซับแรงสะเทือน
ในช่วงความเร็วต่ำ ได้ดีกว่า A250 AMG กันแน่ๆ

แต่ในช่วงความเร็วสูง ช่วงล่างของ Cross Country จะนุ่มกว่ากัน เพียงแค่
เล็กน้อย จากความสูงของตัวรถที่เพิ่มขึ้น 4 เซ็นติเมตร และแก้มยางที่หนา
เพิ่มขึ้นนิดหน่อย พอให้สัมผัสได้

พูดกันตามตรง ความแตกต่างระหว่าง V40 T5 กับ Cross Country T5 มี
เพียงแค่ความนุ่มนวลของช่วงล่าง ขณะเดินทางด้วยความเร็วตั้งแต่ 40
กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป Cross Country จะถูกเซ็ตมาให้นุ่มกว่านิดๆ และ
ยังแอบมีการโยนตัวขณะเข้าโค้ง เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ อีกเพียงนิดหน่อย

สิ่งที่น่าประทับใจคือการเข้าโค้ง จากเดิมที่ C30 เคยมีบุคลิกเป็นกลางอย่าง
น่าประทับใจ มาวันนี้ V40 ใหม่ มีพื้นตัวถังที่ถูกปรับปรุงให้บั้นท้ายเริ่ม
เหวี่ยงออกข้างได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย พอให้คนขับเริ่มรู้ว่า ท้ายกำลังจะออก
แล้วนะ แก้อาการคืนมาได้แล้ว

บนทางโค้งต่างๆ ทั้งโค้งขวารูปเคียว ของทางด่วนขั้นที่ 2 ช่วงมักกะสัน เชื่อม
กับทางโค้งซ้าย เข้าทางด่วนขั้นที่ 1 ฝั่ตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว V40 ทุกรุ่น
พาผมเข้าโค้งดังกล่าวได้ด้วยความเร็ว 105 และ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้สบายๆ
แต่ต้องระวังช่วงรอยต่อของพื้นถนน ซึ่งจะลื่นพอสมควร รถมีโอกาสสะบัดได้

ขณะเดียวกัน ทางโค้งขวายาว ต่อเนื่องด้วยโค้งซ้าย และขวาอีกครั้ง เชื่อมจาก
ทางด่วนขั้นที่ 1 ย่าน สุขุมวิท 50 ขึ้นไปบน ทางยกระดับ บูรพาวิถี ผมยังคงพา
V40 แต่ละคัน สาดเข้าโค้งได้ด้วยความเร็ว 100 – 110 และ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้อย่างมั่นใจ แต่ด้วยพื้นผิวทางโค้ง ที่มีลักษณะรูปคลื่น ในช่วงโค้งซ้ายยาว
อาจทำให้คุณต้องถือพวงมาลัยดีๆ นิ่งๆ

ส่วนทางยกระดับโค้งซ้าย – ขวายาว รูปเคียว เชื่อมจากมอเตอร์เวย์ เข้าสนามบิน
สุวรรณภูมิ ผมพา V40 แต่ละรุ่น เข้าโค้ง ได้ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ผมไม่กล้าไต่ขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ ก็มากพอแล้ว เมื่อเทียบกับสภาพของ
สีทาพื้นถนนที่เริ่มไม่เหลือการยึดเกาะให้กับหน้ายางอีกต่อไป

ท้ายสุด โค้งขวา เชื่อมจาก ถนนสนามบินสุวรรณภูมิ ลงสู่ถนนบางนา – ตราด
กิโลเมตร ที่ 14 ตัวรถยังสามารถเข้าไปในโค้งได้ด้วยความเร็ว 105 กิโลเมตร/
ชั่วโมง แต่อาจต้องเพิ่มวงเลี้ยวพวงมาลัยเข้าไปอีกนิด ถ้าท้ายเริ่มออก ใช้วิธี
ถอนเท้าขวาจากคันเร่งช่วย เพื่อถ่ายน้ำหนักกลับไปทางด้านหลังมากขึ้นนิดๆ
ก่อนที่จะผ่อนพวงมาลัยมาทางซ้ายนิดๆ เพื่อช่วยประคองรถให้ผ่านพ้นโค้ง
ไปได้สบายๆ

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มีรูระบายความร้อนที่จานเบรคคู่หน้า
พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบเพิ่ม
แรงเบรคในภาวะฉุกเฉินแบบไฮดรอลิก HBA (Hydraulic Brake Assist)
ระบบเตรียมเบรกฉุกเฉินในภาวะกระทันหัน RAB (Ready Alert Brake)
ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force
Distributor) ระบบเสริมแรงเบรคในภาวะฉุกเฉิน EBA (Electronic Brake
EBA (Electronics Brake Assist)

ในช่วงความเร็วเดินทางในเมือง หรือคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด
ระบบเบรก ก็ยังให้ความนุ่มนวล แตะเลี้ยงเพื่อให้รถหยุดนิ่งโดยไม่มีการ
สะดุดก็ทำได้ไม่ยาก ยิ่งพอมีระบบตัวช่วยต่างๆ เช่น City Safety (ข้อมูล
เลื่อนลงไปอ่านได้ข้างล่าง) ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขับมากขึ้น

การหน่วงรถลงมาจากความเร็วระดับ เกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
หากคุณ ค่อยเหยียบ เบรก แบบเพิ่มน้ำหนกเท้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อาการหน่วง เกิดขึ้นเยอะ หน่วงรถลงมาได้เร็ว ในระดับที่คาดหวังได้
อย่างมั่นคง มั่นใจ นิ่ง ใช้ได้ บั้นท้าย แทบไม่เหลืออาการส่าย ทำได้ดี
มากๆ เสมอเท่าเทียมกับ ระบบเบรกใน Mercedes-Benz ตอนนี้เลย

2014_Volvo_V40_Safety

ด้านความปลอดภัยนั้น Volvo ยังคงอัดแน่น สารพัดอุปกรณ์ ไฮเทค มาให้ลูกค้าได้
ใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คราวนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการ Upgrade ระบบ
City Safety โดยเพิ่ม ระบบตรวจจับผู้ขับขี่จักรยานพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบเต็ม
แรงเบรก (Cyclist Detection with Full Auto Brake) ที่ถูกยกระดับให้ทำงานได้
ในความเร็วสูงขึ้น จาก 30 เป็น ไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง!

ระบบนี้จะประกอบด้วย เรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลัง
ของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60
องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น

ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา
หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน กล้องนี้
มีความละเอียดสูงกว่ารุ่นเดิมมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของ
คนเดินถนนและผู้ขับขี่จักรยานนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงาน
เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระบบตรวจจับผู้ขับขี่จักรยานพร้อมระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานเมื่อความเร็วของรถ
ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถหลีกเลี่ยงการชนได้เมื่อ

– รถใช้ความเร็วต่ำกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
– จักรยานมีความเร็วสัมพัทธ์ (relative speed) ต่ำกว่า 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง
– ผู้ขับขี่จักรยานหยุดนิ่งหรือขับขี่จักรยานไปในทิศทางเดียวกันกับรถ
– ผู้ขับขี่จักรยานอยู่หน้ารถ
– จักรยานติดตั้งแผงสะท้อนแสงด้านหลังสูงจากพื้นอย่างน้อย 70 เซ็นติเมตร
– เป็นรถจักรยาน 2 ล้อสำหรับผู้ใหญ่

หากความเร็วของรถยนต์สูงกว่า 50 กิโลเมตร แต่ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบ
ป้องกันการชนเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำหรือ City Safety จะทำงานร่วมด้วยเพื่อช่วย
ลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนจักรยาน   แต่ถ้ารถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูงกว่า
80 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะทำให้ระบบเบรกอัตโนมัติแบบเต็มแรงเบรกไม่สามารถ
ทำงานได้เต็มที่และถูกปิดการทำงานในที่สุด

ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (Park Assist Pilot) เพียงแค่เริ่มชะลอความเร็วบริเวณ
ริมถนนที่เราต้องการจะจอดรถแบบขนานขอบทาง (Pararell Parking) ตั้งล้อ
ให้ตรง กดปุ่มที่แผงควบคุมตรงกลาง ดูสัญญาณบนจอมาตรวัดตรงกลาง เมื่อ
เซ็นเซอร์ที่มุมกันชนหน้า ตรวจเจอพื้นที่ว่าง ซึ่งยาวพอจะให้ตัวรถเข้าจอดได้
จะแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบ และให้ผู้ขับขี่ หยุดรถในตำแหน่งที่เลยพื้นที่จอดไปนิดนึง

จากนั้น ผู้ขับขี่ แค่เพียงเข้าเกียร์ถอยหลัง โดยยังคงประคองเท้าไว้ที่แป้นเบรก
เพียงเท่านี้ รถจะเริ่มถอยหลัง พวงมาลัยจะหมุนเอง และปรับทิศทางของรถ จน
ถอยเข้าจอดได้เองโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม คุณยังจำเป็นจะต้องเหยียบเบรก
เมื่อรถเริ่มถอยเข้าใกล้รถคันข้างหลังซึ่งจอดอยู่ ถ้ายังจอดไม่ชิดขอบทาง ระบบ
จะแจ้งขอให้คุณช่วยเข้าเกียร์ D อีกครั้งเพื่อที่รถจะเดินหน้า และบังคับพวงมาลัย
ด้วยตัวของมันเอง ให้เข้าจอดจนเรียบร้อยเมื่อคุณเหยียบเบรกอีกครั้งหนึ่ง ระบบ
จะแจ้งว่า ทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ตามด้วยการยกเลิกระบบเองอัตโนมัติ เป็นอันจบ

ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติใหม่ (Active High Beam) ซึ่งจะเปิดฟสูงตลอดเวลา
แต่เมื่อมีรถสวนมา ระบบจะลดระดับแสงของไฟสูงให้พ้นจากสายตารถที่สวนมา
ขณะเดียวกันก็ยังคงส่องสว่างเป็นไฟสูงในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ที่ไม่รบกวนสายตารถ
ที่อยู่ด้านหน้าหรือที่สวนมา ระบบดังกล่าวทำงานโดยใช้เทคโนโลยีสะท้อนแสง
ไฟที่ติดตั้งอยู่ในไฟหน้า ซึ่งจะปรับระดับความสว่างของแสงอย่างเหมาะสมกับ
สถานการณ์  เมื่อพ้นไปแล้วก็จะปรับมาเป็นไฟสูงเหมือนเดิมเพื่อให้ผู้ขับขี่มอง
เห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจนในยามค่ำคืน

ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติยังสามารถทำงานร่วมกับระบบไฟหน้าแบบหักเห
ตามพวงมาลัย (Active Bending Lights) รวมทั้งเซ็นเซอร์วัดน้ำฝนเพื่อปรับการ
ทำงานของไฟและที่ปัดน้ำฝนไปด้วย

ระบบไฟส่องสว่างเพิ่มมุมมองด้านข้างเมื่อใช้สัญญาณไฟเลี้ยวขณะขับขี่ช่วง
ความเร็วต่ำ (Cornering Light) พัฒนามาจากระบบไฟหน้าแบบหักเหตาม
พวงมาลัยและปรับระดับสูง/ต่ำโดยอัตโนมัติ  โดยจะส่องสว่างในพื้นที่ที่ผู้ขับขี่
จะมองเห็นได้ โดยหักเหมุมส่องสว่างตามพวงมาลัยเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำในเส้นทางมืดๆ  แสงสะท้อนจาก
ไฟส่องสว่างดังกล่าวจะครอบคลุมมุม 15 องศาจากตัวรถ  ระบบความปลอดภัย
นี้จะทำงานเมื่อรถยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพร้อมกับเปิด
ไฟเลี้ยว และจะปิดการทำงาน เมื่อใช้ความเร็วเกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และ ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด
(Cross Traffic Alert) ใช้เรดาร์เซ็นเซอร์ที่ท้ายรถตรวจจับยานพาหนะที่แล่น
เข้ามาด้านข้าง และเตือนผู้ขับขี่ที่กำลังถอยออกจากที่จอดให้ระวังหรือหยุดรถ
ระบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และถอยออกจากที่จอดบนถนนที่
คับคั่งจอแจ และมีรถคันอื่น หรือมีต้นไม่ มีอาคารบังอยู่ ทำให้อาจมองไม่เห็น
ด้านข้างอย่างชัดเจน

ส่วนระบบ เซ็นเซอร์เรดาร์แจ้งเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในมุมอับของสายตา
(Enhance Blind Spot Information system – BLIS) จะเปลี่ยนจากกล้อง
มาใช้เรดาร์เซ็นเซอร์แทน เพื่อช่วยเฝ้าระวังทั้งสองข้างของรถ

หากมียานพาหนะเข้ามาในโซนจุดบอดหรือระยะประมาณ 70 เมตรจากท้ายรถ
ระบบนี้จะเตือน โดยหลอดไฟที่ติดอยู่กับประตูหน้าด้านซ้ายหรือขวาจะสว่างขึ้น
ระบบนี้ จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10  กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) ระบบ
เปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อขับขี่เข้า/ออกจากที่มืด (Tunnel Detection)
ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน (Lane Departure Warning: LDW) และ ระบบ
เตือนผู้ขับขี่ เมื่อจับอาการได้ว่า ง่วงนอน (Driver Alert Control: DAC) ระบบ
ควบคุมความเร็ว Cruise Control แบบมาตรฐาน ยังคงมีประจำการมาให้จาก
โรงงาน ตามเดิม

แทบจะเรียกได้ว่า นี่คือเทคโนโลยีของรถยนต์ประเภท ขับขี่ได้กึ่งอัตโนมัติ
(Semi-Autonomous Drive Vehicle) แล้วนะนั่น!!

ด้านความปลอดภัย เชิงปกป้อง Passive Safety หรือ Protective Safety
ถ้าในกรณีที่บรรดาสารพัดอุปกรณ์ไฮขเทคข้างบน เอาไม่อยู่ โครงสร้าง
ตัวถังนิรภัย ก็จะเข้ามารับช่วงทำหน้าที่ปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารแทน

โครงสร้างตัวถังของ V40 ใหม่ ก็เหมือนกับ Volvo รุ่นอื่นๆ คือมีการนำ
โลหะในรูปแบบต่างๆกันมาใช้ อาทิ คานกันชนหน้า ทำจากอะลูมีเนียม
คานเหล็กรอบห้องเครื่องยนต์ ครึ่งท่อนบน ต่อเนื่องไปจนถึง คานช่วง
เส้นสะเอวของบานประตูทั้ง 4 รวมทั้งโครงสร้างด้านหลังพนักพิงเบาะ
แถว 2 และพื้นตัวถังจนถึงขอบประตูห้องเก็บของด้านหลัง เป็นเหล็ก
แบบ High Strenght Steel (สีฟ้า)

ส่วนครึ่งท่อนล่าง บริเวณคาน Cross Member รวมทั้งเสา B-Pillar ด้าน
ในตัวรถ และคานเหนือกระจกบังลมหน้า จะทำจาก เหล็ก Very High
Strenght Steel (สีเหลือง) คานนิรภัยเสริมประตูทั้ง 4 บาน ทำจากเหล็ก
Extra High Strenght Steel และบริเวณเสากรอบประตู อันเป็นโครงของ
ห้องโดยสารทั้งหมด จะทำจากเหล็กที่แข็งแรงสุด Ultra High Strenght
Steel เพื่อช่วยรับ และส่งกระจายแรงปะทะ ไปยังทิศทางที่เหมาะสม
เพื่อช่วยลดแรงปะทะ ที่จะส่งผลกระทบถึงผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

นอกจากนี้ V40 เวอร์ชันไทย ทุกคัน ยังติดตั้งระบบป้องกันหากเกิดการ
พลิกคว่ำ Roll-Over Protection System (ROPS) ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและ
ด้านข้าง ม่านลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าผู้ขับขี่ รวม 7 ใบ
พนักศีรษะป้องกันการบาดเจ็บของกระดูกต้นคออันเกิดจากการสะบัด
WHIPS (Whiplash Protection System ระบบกระจายแรงปะทะด้าน
ข้างตัวรถ SIPS (Side Impact Protection System) เข็มขัดนิรภัยแบบ
ELR 3 จุด ทั้ง 5 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และปรับระดับสูง
หรือ ต่ำได้ สำหรับเบาะนั่งคู่หน้า (Pre-Tensioner) รวมทั้งยังมีจุดยึด
เบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX บนเบาะหลังทั้ง 2 ฝั่ง และ
ระบบล็อกประตูกันเด็กเปิดจากด้านในด้วยระบบไฟฟ้า

ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และรักษามาตรฐาน
ในด้านนี้ของ Volvo ทำให้ V40 ใหม่ ได้รับการจัดอันดับในการทดสอบ
การชนของ Euro NCAP สูงถึงระดับ 5 ดาว โดยสามารถทำคะแนนสูงสุด
เป็นประวัติการณ์ในทุกหัวข้อของการทดสอบ ณ ปี 2014 ทั้งการปกป้อง
ผู้ใหญ่ (Adult Protection) ด้วยคะแนน 98% ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดตั้งแต่
Euro NCAP เคยก่อตั้งมา รวมทั้งการปกป้องเด็ก ด้วยคะแนน 75% แถม
ยังและผ่านการทดสอบด้านระบบเพิ่มความปลอดภัย (Safety Assist)
ด้วยคะแนนเต็ม 100% ด้วยสารพัดเทคโนโลยีตัวช่วยมากมาย ส่วนการ
ป้องกันคนเดินถนน ทำคะแนนได้ 88%

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่
http://www.euroncap.com/en/results/volvo/v40/10952

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_1_EDIT

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่อ V40 ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า ตัวเลขสมรรถนะ ดีขึ้นกว่า C30 เดิมชัดเจน
ก็ยังเหลืออีกประเด็นให้รอการพิสูจน์ นั่นคือ ความประหยัดน้ำมัน ยิ่งพักหลังมานี้
ขุมพลังรุ่นใหม่ๆของ Volvo ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นเยอะ ยิ่ง
ทำให้ผมแอบคาดหวังตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของ V40 ไว้สูงพอประมาณ

เรายังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95
Techron และ Diesel Techron Power D ณ สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนน
พหลโยธินใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

ด้วยเหตุที่ V40 เป็นรถยนต์นั่งกลุ่ม Premium Compact แม้จะมีคนอยากรู้ถึงอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่ลูกค้าในกลุ่มนี้ ไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขกันมากขนาดนั้น เราจึง
ตัดสินใจเติมน้ำมัน ด้วยวิธีเติมเสร็จแล้วให้หัวจ่ายตัด พอ ไม่ต้องเขย่ารถ อย่างเช่นที่
ต้องทำกับรถยนต์นั่งต่ำกว่า 2,000 ซีซี และรถกระบะ ให้ปวดเมื่อยหัวเข่าและก้นกบ

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_2_EDIT2

เมื่อเราเติมน้ำมันจนเต็มถัง เราก็ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถไป
เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ โผล่ออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ
จนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก อุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนเลี้ยวกลับย้อน
ขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ด้วยมาตรฐานเดิมคือ

ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน คราวนี้ เพื่อรักษาความเร็ว
ให้นิ่งยิ่งขึ้น เราเปิดระบบควบคุมความเร็ว Redar Cruise Control ซึ่งต้องขอชื่นชม
ว่า ยังคงรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ ต่อเนื่อง ได้ดี แม้จะขึ้นทางลาดชัน

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_3_EDIT

เราลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เลี้ยวซ้ายสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน กันอีกครั้ง
เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron และ Diesel Techron Power D ให้เต็มถัง แค่ปล่อย
ให้หัวจ่ายตัดพอ เหมือนตอนเริ่มต้นทดลอง

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_4

ผู้ช่วยทดลอง และสักขีพยานของเราคราวนี้ มีทั้ง น้องโจ๊ก V10ThLnD และ
น้องเติ้ง กันตพงษ์ สมชนะ สมาชิกใหม่ของ The Coup Team จากเว็บเรา

เอาละ มาดูตัวเลขที่ ออกมากันดีกว่า เริ่มที่รุ่น V40 T5

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.05 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.33 กิโลเมตร/ลิตร

แน่นอนว่า ตัวเลขดีขึ้น เมื่อเทียบกับ C30 รุ่นเดิม

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_5

คันต่อมา เป็นรุ่น V40 Cross Country T5

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 93.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 5.85 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.93 กิโลเมตร/ลิตร

เดี๋ยวๆๆ ต่างกันตั้ง 0.8 กิโลเมตร/ลิตร เลยนะเนี่ย งานนี้ถ้าจะเพี้ยน
ก็คงอยู่ที่หัวจ่ายตัดไวไปนิดนั่นละครับ ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ยังถือว่า
ไม่เกิน 16 กิโลเมตร/ลิตร ดังนั้น คงไม่ต้องทดลองซ้ำครับ

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_6_R_Limited

ส่วนรุ่น V40 T5 R-Limited (Polstar Performance)

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 91.6 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.10 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.01 กิโลเมตร/ลิตร

ถึงจะมีตัวเลขด้อยสุดในกลุ่ม แต่ก็ยังเติมกลับในปริมาณไล่เลี่ยกัน
กับรุ่น T5 มาตรฐาน น้ำมันที่เติมเข้าไป ต่างกันแค่ 0.5 ลิตร ทำให้
ตัวเลขต่างกันประมาณ 0.2 กิโลเมตร/ลิตร ผมถือว่า เฉยๆ ห่างกัน
ไม่มากเท่าไหร่

2014_Volvo_V40_Fuel_Consumption_7_D4

แต่รุ่นสุดท้ายเนี่ยสิ ทำผลงานดีจนน่าตกใจ V40 Cross Country D4

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 5.09 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.11 กิโลเมตร/ลิตร

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย! นี่มันประหยัดกว่า ECO Car บางรุ่น แล้วนะเว้ย!
การเติมน้ำมันที่ต่างกันมากถึง 1 ลิตร ให้ผลที่ต่างกันมากถึง 3 กิโลเมตร/ลิตร
เลยแหะ!

V40_03
V40_04

แล้วน้ำมัน 1 ถังจะแล่นไปได้ไกลแค่ไหนละ?

V40 รุ่นเบนซิน T5 และ T5 R-Limited รวมทั้ง CrossCountry เบนซิน ทำได้
ราวๆ 450 -500 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่ด้วย
แต่รุ่น CrossCountry D4 นี่ เจ๋งกว่าเพื่อนสักหน่อย คือได้ราวๆ 600 กิโลเมตร
ขึ้นไป ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนิสัยเท้าขวาคุณเป็นสำคัญ

2014_Volvo_V40_07_EDIT

********** สรุป **********
สวยพริ้วรุ่นสุดท้ายของ Volvo ที่มาพร้อมห้องโดยสารอันอึดอัดไปหน่อย
ถ้าอยากแรง ประหยัด สะใจ ไปหา CrossCountry D4 แต่ถ้าอยากหนึบขึ้น
อีกนิด คงต้องทำใจเลือก T5 เพราะ R-Limited หมดแล้ว

นานมากแล้ว ที่ผมไมได้ทำบทความรีวิวรถยนต์รวดเดียว 4 รุ่นย่อย ใน 1 โมเดล
แบบนี้ เพราะมันออกจะเป็นการเตรียมงานที่ต้องใช้เวลายาวนานมาก ก่อให้เกิด
ความเหนื่อยล้ากับผมและทีมงานพอสมควร ทั้งในขั้นตอนการเตรียมงาน ช่วง
ที่ได้รับรถยนต์มาทดลองขับ และช่วงหลังจากคืนรถยนต์เรียบร้อย หรือที่เรียก
ว่า post-Production

แต่สำหรับ V40 นั้น ออกจะเป็นความโชคดีเล็กน้อย เพราะแม้ว่าในต่างประเทศ
จะเริ่มมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ออกจำหน่ายบ้างแล้ว แต่สำหรับเมืองไทย
รุ่นปัจจุบันที่เปิดตัวมาแล้ว 2 ปีครึ่ง ก็ยังคงทำตลาดกันอยู่เรื่อยๆต่อไป เพื่อเอาใจ
ลูกค้ากลุ่ม Young Creative ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และ
รต้องการความแปลกใหม่ แตกต่างจากผู้อื่น อีกทั้งยังมองว่า รถยนต์ Crossover
SUV มีขนาดใหญ่โต เทอะทะ เกินความจำเป็นของพวกเขา

การทำตลาดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นย่อยแค่ 2 ครั้ง
นับว่าช่วยให้การทำงานของผม ในการขุดเอาบทความที่เคยดองค้างเติ่งมาตั้งแต่
ปี 2014 มาปรับปรุงใหม่ยกชุด เรียบเรียง และเติมข้อมูลเข้าไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
จนกลายมาเป็นบทความสรุปเรื่อราวของ V40 ใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะ
หาอ่านได้จากบทความภาคภาษาไทย

สิ่งที่ผมประทับใจใน V40 คือความสวยของเส้นสายภายนอก นี่คือ Volvo อีก
รุ่นหนึ่งซึ่งผมแทบไม่รู้สึกว่ามีเส้นสายบริเวณไหนให้ตำหนิเลย มันสวยงามตาม
แบบฉบับ Scandinavian Design ที่ร่วมสมัย และปรับตัวให้เข้ากับคนยุคใหม่
มากยิ่งขึ้น เป็นจุดขายข้อแรกที่สำคัญสุดของ V40 ใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า
ที่มองหาความสวยงามของตัวรถ ก่อนขอใบราคาและแคมเปญผ่อนชำระ

ข่าวร้ายก็คือ หลังการเปิดตัวของ Volvo 3 รุ่นใหม่ล่าสุด ทั้ง XC90 S90 และ
V90 ตลอดช่วงปี 2015 – 2016 มานี้ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่า V40
ที่เราเห็นกันอยู่นี้ อาจเป็น Volvo รุ่นสุดท้ายที่ออกแบบได้ดึงดูดใจบรรดา
คนวัยเยาว์ Young Generation ทั้งหลาย เพราะบรรดารุ่นหรูๆของพวกเขา
กลับย้อนสภาพกลายไปเป็นรถยนต์ในสไตล์ เรียบๆ แก่ๆ ไม่มีเส้นสาย
ส่วนไหนให้น่าจดจำ แถมยังทำให้ผมรู้สึกในครั้งแรกที่ได้เห็นรูปโฉมทั้ง
3 รุ่นนั้นว่า

“นี่เราต้องทนเห็นรถพวกนี้ไปอีกนานอย่างน้อยเกือบ 10 ปีเลยเหรอวะเนี่ย!?”

มันเป็นความรู้สึกเลวร้ายๆ พอๆกับการที่คุณต้องมาทนอยู่อาศัยกับเพื่อนบ้าน
นิสัยไม่เป็นที่พึงประสงค์ เลยเชียวละ!

คุณงามความดีด้านอื่นๆ ก็คือ บุคลิกการขับขี่ที่ผมเคยประทับใจใน C30 ทั้ง
ความหนักแน่นและแม่นยำในขณะเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนกระทันหัน
และความมั่นใจในการขับขี่ย่านความเร็วสูง ช่วงไม่เกิน 200 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ยังคงปรากฎอยู่ใน V40 ใหม่ ครบถ้วน แถมยังเพิ่มเติมการสนอง
ต่อความต้องการของผู้ขับขี่ ในช่วงเสี้ยววินาทีขะคลานไปตามสภาพการ
จราจรที่ติดขัด ได้กระฉับกระเฉง มากขึ้นอีกเล็กน้อย จากทั้งพวงมาลัย
ที่สามารถเลือกปรับน้ำหนักได้เองถึง 3 ระดับ อัตราเร่งจากรุ่นเบนซิน
T5 R-Limited ที่แรงสะใจเกินความคาดหมาย และ CrossCountry D4 ที่
แรงเอาเรื่อง ชวนให้ตื่นจากภวังค์ได้ดีนักแล

ขุมพลัง Diesel i-Art ในรุ่น D4 กลายเป็นเครื่องยนต์ Diesel Turbo ที่
ให้ประสิทธิภาพการทำงานภาพรวม ได้ดีที่สุดในบรรดา Volvo Diesel
ที่เคยมีขายกันในประเทศไทย ทั้งในด้านความแรง ซึ่งทำได้ดีจนค่าย
เยอรมัน หันมามองค้อน รวมทั้งความประหยัดที่ไล่บี้ตามจี้ตูด BMW
320d F30 (20 กิโลเมตร/ลิตร) เข้ามากระชั้นชิดยิ่งขึ้น กลายเป็นจุดขาย
ที่ 2 ของรถรุ่นนี้ไป และทำให้ลูกค้าหลายคนเริ่มหันมาสนใจใน V40
CrossCountry อีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น จุดขายประการที่ 3 นั่นคือ สารพัดอุปกรณ์ความปลอดภัย
สุดแสนจะไฮ-เทค ที่ถูกอัดแน่นมาท่วมคันรถ ทั้งหมดได้ถูกยกระดับทั้ง
ด้านศักยภาพ และความทนทานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบ BLIS ที่
คอยเตือนเวลามีรถแล่นมาขนาบข้าง นับจากนี้จะไม่มีปัญหากวนใจ
ประเภ กล้องสกปรก ไฟกระพริบ ต้องคอยดับเครื่อง Reset ระบบใหม่
อีกต่อไปแล้ว แถมยังมีระบบเตือนเวลามีรถหรือคนเคลื่อนที่ผ่านท้าย
ขณะที่คุณกำลังจะถอยรถ ซึ่งเป็นระบบที่เริ่มติดตั้งกันในรถยนต์รุ่น
ใหม่ๆ ในบ้านเราบ้างแล้ว

2014_Volvo_V40_08_CrossCountry_EDIT

พูดถึงข้อดีไปเยอะละ แล้วข้อด้อยในด้านอื่นๆ ละ ?

ข้อดีด้านเส้นสายที่สวยงามเมื่อมองจากภายนอกรถ กลับส่งผลกระทบต่อ
การเข้า – ออก จากตำแหน่งคนขับ และผู้โดยสารคู่หน้า ทุกครั้งที่ผมต้อง
ก้มตัวเข้าไปนั่งใน V40 ใหม่ ต่อให้เลื่อนเบาะไฟฟ้าถอยหลังไปมากแล้ว
ผมก็มักจะเจอปัญหา ศีรษะไปโขกโป๊ก กับเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar อยู่ดี

ไม่เพียงแค่นั้น การออกแบบเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ที่เน้นความสวยงาม
กลับส่งผลกระทบต่อความคล่องแคล่วในการตัดสินใจของผู้ขับขี่ขณะบังคับ
ควบคุมรถ มันถูกลดทอนลงด้วยการจนทำให้มีผลในเชิงจิตวิทยา ขณะต้อง
เปลี่ยนเลนกระทันหัน เพื่อหลบหลีกจากฝูงรถติดที่แออัดกันอยู่ทางเลนขวา
เพื่อเบี่ยงไปใช้เลนซ้ายที่เคลื่อนตัวได้คล่องกว่า

นอกจากนี้ การออกแบบเสาหลังคา ในลักษณะบีบพื้นที่กระจกหน้าต่างจน
ตีบลงแบบนี้ แม้ว่าจะเป็นบุคลิกของรถแนวสปอร์ต แต่มันแอบก่อความ
อึดอัดให้กับผู้โดยสารและผู้ขับขี่บนเบาะคู่หน้า เสาหลังคาที่ลาดเอียงมาก
ทำให้ตำแหน่งของแผงบังแดด อยู่ใกล้ผู้ขับขี่มาก ในระดับที่ไม่แพ้กันกับ
Honda City รุ่นปี 2008 – 2014 ซึ่งทำให้เกิดความอึดอัดทางสายตาขณะ
มองไปบนถนนข้างหน้าอยู่บ้างเหมือนกัน

พื้นที่ห้องโดยสาร ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง รวมทั้งพื้นที่โดยสารด้านหลัง
มีขนาดเล็ก จนทำให้ผมเริ่มคิดถึง V50 ที่โปร่งและแอบสบายกว่านี้เล็กน้อย
นั่นเป็น ความคับแคบในลักษณะนี้ แม้จะเป็นเทรนด์ของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ในยุคสมัย 5 ปีมานี้ แต่มันกลับทำให้ V40 และ V40 CrossCountry ใหม่
เหมาะกับ คนโสด หรือคนที่เพิ่งเริ่มมีคู่ชีวิต ยังไม่มีลูก หรืออาจมีทารก
ตัวเล็กๆ พอจะจับนั่ง Child Seat บนเบาะหลังได้ มากกว่าที่จะเอาใจกลุ่ม
ลูกค้าทั่วๆไป เหมือนอย่างที่ V40 รุ่นแรก และ V50 เคยเป็นมา

น่าเสียดาย แต่ช่วยไม่ได้ครับ ในเมื่อ Volvo บอกเองว่า ยอดขายกว่า 85%
ที่พวกเขาคาดหวังนั้น มาจากชาวยุโรป และแนวโน้มของตลาดรถยนต์ที่นั่น
ก็คือ กลุ่ม C-Segment หรือ Premium C-Segment ที่นั่น เริ่มต้องการรถยนต์
ที่มีบุคลิก Unique โดยยังยึดติดกับค่านิยมเดิมๆว่า ต้องเป็นรถยนต์ท้ายตัด
หรือ Hatchback เป็นหลักเท่านั้น ไม่เอา Sedan ถ้าไม่เชื่อ ลองไปเปิดดู
เว็บไซต์ ของ Volkswagen Renault Opel Peugeot Citroen ดูสิครับ คุณ
จะเข้าใจเลยว่า รถยนต์ C-Segment Hatchback จากยุโรป ตอนนี้ มันมา
ในแนวเดียวกันกับ V40 A-Class 1-Series และ A3 กันหมดเลย!

ชาวเอเชีย อย่างเรา ก็ต้องทำใจ เพราะขนาดตลาดของบ้านเรามันไม่ใหญ่
เท่า เมืองจีน จนถึงขั้นที่แต่ละค่าย ยอมทุ่มทุน ทำรถเก๋ง Sedan เวอร์ชัน
ยาวพิเศษออกมาให้เป็นเจ้าของกัน

นอกจากนี้ การเลือกข้อมูลบนหน้าจอต่างๆ ทั้งมาตรวัดแบบ 3 Style หรือ
Volvo Sensus ก็ยังไม่ถึงกับง่ายต่อการใช้งานนัก ยังต้องอาศัยความจำ และ
การปรับตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่ขึ้นมาขับอยู่ดี ต่อให้พยายามทำ User Interface
ให้ง่ายต่อการใช้งานมากแค่ไหน แต่ผมว่า ยังไม่ดีพอ เราอาจต้องการแผง
สวิตช์มือหมุนขนาดใหญ่กำลังดีในการเลือกเมนูต่างๆ แทนที่จะต้องไป
หมุนสวิตช์เล็กๆอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ครับ ส่วนหนึ่ง ผู้บริโภคหลายๆคน
ทั่วโลก ดันไปคุ้นชินกับวิธีการเปลี่ยนเมนูแบบ iDrive ของ BMW ไป
เสียแล้ว และแม้ว่ามันก็เป็นระบบที่ยังออกแบบ User Interface อาจยัง
ไม่สมบูรณ์ แต่ Volvo เอง ก็มีความพร้อมในเรื่องนี้ไม่แพ้ใครในโลก
และเรายังคาดหวัง จะเห็นระบบ Sensus ที่สะดวกต่อการใช้งานเพิ่ม
มากขึ้นไปกว่านี้อีก

2014_Volvo_V40_13_R_Limites_Polestar

นอกเหนือจาก V40 แล้ว ตัวเลือกในพิกัดเดียวกันที่มีขายอยู่ในเมืองไทยตอนนี้
มีใครบ้าง?

น่าเสียดายที่ Mercedes-Benz A-Class ยุติการจำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว
เมื่อช่วง ประเดิมศักราชใหม่ ปี 2016 ที่ผ่านมา คงเหลือแต่ CLA และ GLA
ประกอบในประเทศไทย เท่านั้น ทำให้ V40 T5 เหลือคู่แข่งอย่างเป็นทางการ
เพียงแค่รุ่นเดียว นั่นคือ BMW 116i ขุมพลัง 3 สูบ DOHC 1.5 ลิตร ที่ยกมา
จาก MINI (ขับล้อหน้า) แล้วมากลับหัว เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

ข้อดีที่เหนือกว่าของ 1-Series คือ กฎเกณฑ์การออกแบบแนวเสาหลังคาของ
BMW ทำให้เสาหลังคาของ 116i ยังคงตั้งชันกว่า V40 แม้ว่าจะทำให้ตัวรถดู
หาความสวยงามแทบไม่ได้เลย แต่ก็ทำให้การลุกเข้า – ออกจากเบาะคู่หน้า
ทำได้โปร่งสบายขึ้น โอกาสที่ศีรษะจะชนกับเสาหลังคา ลดน้อยลงกว่า V40
อย่างชัดเจน แถมบรรยากาศ เมื่อขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ ก็โปร่งโล่งกว่า
อย่างชัดเจน

กระนั้น V40 ยังให้บรรยากาศผ่อนคลาย และอยู่ตรงกลางระหว่างภายใน
ของ 1-Series LCI และ A-Class โดยจะกระเดียดไปทาง 1-Series มากกว่า

ส่วนการขับขี่นั้น ผมยังไม่ได้ทดลองขับ 116i เพราะเคยลองแต่ 118i รุ่นก่อน
ปรับโฉม LCI แต่มีแนวโน้มพละกำลังของ 116i จะด้อยกว่า 118i และด้อย
กว่า V40 อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน กระนั้น บุคลิกการตอบสนองอันคล่องตัว
ในแบบรถขับเคลื่อนล้อหลัง คือเอกลักษณ์ที่ BMW มี และถึงยังไง๊ยังไง
Volvo ก็จะไม่มีทางทำรถยนต์ของตน ออกมาในแนวเดียวกับ BMW อย่าง
เด็ดขาด

กระนั้น ถ้าเทียบบุคลิกกับ A-Class แล้ว ผมยังถือหาง V40 มากกว่า ด้วย
เหตุผลด้านความมั่นใจในการขับขี่ การเข้าโค้ง A-Class ถูกออกแบบขึ้น
บนพื้นตัวยถังขับเคลื่อนล้อหน้าแบบใหม่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ของค่ายรถยนต์ตราดาว ทีมวิศวกร ตั้งใจสร้างความสนุกในการขับขี่ ให้
ตัวรถมีอาการท้ายออกเล็กๆในขณะเข้าโค้ง

ปัญหาก็คือ รถในตระกูลขับล้อหน้าของ Mercedes-Benz ที่ใช้พื้นตัวถัง
เดียวกันนี้ จะมีบุคลิกที่เหมือนๆกันประการหนึ่งคือ ถ้าเข้าโค้งโดยใช้
ความเร็วมากเกินไป แทนที่จะยืดหยุ่นให้ผู้ขับขี่ ด้วยการเริ่มส่งอาการ
ท้ายออกนิดๆ เตือนผู้ขับขี่ แบบที่ Mazda กับ Ford เขาทำกัน ที่ไหนได้
ถ้าท้ายออกเมื่อไหร่ โอกาสจะแก้อาการสำหรับบรรดามือใหม่หนะ แทบ
ไม่เหลือเลย ท้ายก็จะกวาดออกง่ายมากจนเกินไป บางที แค่เพียงทดลอง
เปลี่ยนเลนกระทันหันที่ความเร็ว 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเจอพื้นถนนลื่น
แบบเงาแปร๊บ ทั้งที่ฝนยังไม่ตก และแดดยังออกเปรี้ยงๆ บั้นท้ายของรถ
ในตระกูลนี้ จะกวาดออกข้างอย่างรวดเร็วทันที ซึ่งต้องใช้ความระวัง
กันสักหน่อยนะครับ

ขณะเดียวกัน คู่แข่งตรงๆตัวของ V40 CrossCountry ก็หนี GLA 200
จากค่ายตราดาว ไปไม่พ้นเช่นกัน เอาละ อย่างน้อย ในบรรดากลุ่ม
รถยนต์ Mercedes-Benz ที่ใช้พื้นตัวถังขับล้อหน้า GLA ถือได้ว่ามี
การตอบสนองในภาพรวม ดีที่สุดในกลุ่ม นั่นยังพอใจชื้นขึ้นมาบ้าง
จนกว่าคุณจะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน เพื่อพบกับความอึดอัดชนิด
ไม่แพ้ V40 เท่าใดนัก แต่คุณภาพของวัสดุที่ใช้ประกอบภายในรถ
มันด้อยกว่า Volvo อย่างเห็นได้ชัด พนักศีรษะก็ดันกบาลอย่างหนัด
ในระดับ “จะดันบ้าดันบอไปถึงไหน” พวงมาลัยตอบสนองดีชนิด
ใกล้เคียงกับ V40 เพียงแต่ปรับระดับความหนืดแบบ V40 ไม่ได้
อัตราเร่ง ถือว่า ใช้ได้ ไม่ขี้เหร่เลย เพียงแต่ว่า การตอบสนองของ
เกียร์อัตโนมัติ ยังคงเหมือนกับ รถยนต์ตราดาวรุ่นอื่นๆ ถ้าอยู่ใน
โหมด E ทำใจเลยครับ คันเร่ง Lag ชิบหายวายป่วง แต่พอเข้า S
คันเร่งนี่ไวขึ้นทันตาเห็น แทบจะไวแข่งกับข่าวในโลก Social
Media เลยทีเดียวละ

2014_Volvo_V40_16_Cross_Country_D4

ทีนี้ ถ้าตกลงปลงใจว่าจะเลือก V40 แล้ว ควรเลือกรุ่นไหน?

Volvo V40 T5 (B)………………………….1,680,000 บาท
Volvo V40 T5 (S)………………………….1,820,000 บาท
Volvo V40 Cross Country T5………….1,920,000 บาท
Volvo V40 T5 R-Limited Polestar……1,990,000 บาท  (หมดแล้ว)
Volvo V40 Cross Country D4………….2,099,000 บาท

ทุกรุ่นมาพร้อมการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร นอกจากนี้
ยังมี Package Volvo Maintenance บำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ให้
อีกด้วย

ถ้าเป็นไปได้ การอุดหนุน รุ่น R-Limited Polestar ซึ่งมีจำนวนจำกัด แค่ 28 คัน
ดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากสุด แต่ข่าวร้ายก็คือ มันถูกจับจองกันไปจนเกลี้ยง
หมดแล้วไม่มีเหลืออีกต่อไป

ดังนั้น เราก็คงจะเหลือแค่ รุ่น T5 ตัวเตี้ย 1 รุ่น กับรุ่นยกสูง CrossCountry 2 รุ่น
แยกตามประเภทขุมพลัง เบนซิน 1 รุ่น Diesel Common-Rail Turbo อีก 1 รุ่น

พูดกันตามตรง ความแตกต่างระหว่าง V40 T5 กับ Cross Country T5 มีเพียงแค่
ความนุ่มนวลของช่วงล่าง ขณะเดินทางด้วยความเร็วตั้งแต่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่า Cross Country จะถูกเซ็ตมาให้นุ่มกว่า และยังแอบมีการ
โยนตัวขณะเข้าโค้ง เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ นิดหน่อย ไม่มากนัก และแค่นั้น

ถ้าคุณคิดว่า ความมั่นใจในการเข้าโค้ง เป็นเรื่องสำคัญ ยอมรับได้กับตัวเลขอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ทำได้ในเกณฑ์มาตรฐานของรถเก๋ง B และ C-Segment
ในประเทศไทยเวลานี้ แต่ได้อัตราเร่งที่ดีขึ้นกว่ากันนิดนึง มีเรี่ยวแรงในช่วง
กลางใช้ได้ แต่ช่วงปลายเหี่ยวหด ก็คงต้องเลือกรุ่น เบนซิน T5 213 แรงม้า
ไปเลย

แต่ถ้าคุณต้องการแร็คหลังคาไว้บรรทุกจักรยาน หรือซอยทางเข้าบ้าน มีปัญหา
น้ำท่วมขัง ระดับไม่เกินตาตุ่ม เป็นประจำ รุ่น Cross Country น่าจะตอบสนอง
ความต้องการของคุณได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องเลือกระหว่างเบนซิน กับ
D4 ด้วยตัวเลขสมรรถนะ และการตอบสนองต่างๆ รวมทั้งราคาน้ำมัน Diesel
ที่ยังไง๊ยังไง ภาครัฐก็ยังจำเป็นต้องตรึงมันไว้ในระดับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผม
มองว่า รุ่น D4 คือคำตอบที่คุ้มที่สุดในกลุ่ม V40 ณ ปี 2016 นี้

คุ้มยิ่งกว่าแฟล็ตปลาทอง ในมุมมองของคนที่กำลังเล็ง Volvo เลยละ!!

ถ้าอ่านรีวิวนี้ แล้วยังมีข้อสงสัย เดินไปดูรถคันจริงที่โชว์รูม Volvo นั่นเลยครับ
ที่สำคัญ ถ้าเป็นไปได้ ขอเขาทดลองขับด้วย จะดีที่สุด เพราะคุณจะได้รู้ว่า สิ่งที่
ผมบ่นถึงในช่วงสรุปข้างบนนี้ โดยเฉพาะด้านทัศนวิสัย เป็นสิ่งที่คุณยอมรับ
ได้หรือไม่

รวมไปถึงบริการหลังการขายของ Volvo ที่แม้จะพยายามปรับปรุงกันมาตลอด
แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ปัญหายากๆ หรือ Defect ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
คราวละหลายๆคัน กันนานมากโขอยู่ แถมราคาอะไหล่ ก็ยังสูงกว่ารถยุโรป
ระดับ Premium แบรนด์อื่นๆในตลาด อยู่นิดหน่อย

ถ้ายอมรับได้…ยังไงคุณก็คงไม่แคล้วไปจาก V40 หรอกครับ นี่คือรถที่น่าจะตอบ
ความต้องการในชีวิตคุณได้ดีพอสมควร

แต่ถ้ารับไม่ได้กับข้อมูลทั้งหมดที่อ่านมานี้…

ก็กลับไปหาค่ายรถยนต์ตราดาว และค่ายรถยนต์ตราใบแก้ว..เอ้ย ใบพัด ตามเดิมเถิด!

————————————–///———————————

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
คุณ ณัฎฐา จิตราคม
บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ


 

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และภาพถ่ายรถยนต์ในประเทศไทยทั้งหมด
โดยผู้เขียน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย จากต่างประเทศเป็นของ Volvo Cars Corporation
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
10 พฤษภาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 10th,2016

 แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!