1 ปี แล้วสินะ ที่เรา ได้ ทดลองขับ Lexus RX รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 3 ไป
คราวนั้น เป็นรุ่น RX350 เครื่องยนต์เบนซิน V6 ที่ทำตัวเลขสมรรถนะได้
น่าประทับใจพอประมาณ

แต่ดูเหมือน หลายๆคน อาจลืมไปแล้วว่า นอกเหนือจาก RX350 แล้ว
Toyota Motor Thailand ก็ยังสั่งนำเข้า RX อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อเข้ามาเป็น
ทางเลือก สำหรับลูกค้าผู้ร่ำรวยเงินทอง และอยากลองของแปลก ในเวลาเดียวกัน
ลูกค้ากลุ่มนี้ จะว่าไปก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว

นั่นคือ Lexus RX450h ยานยนต์ SUV คันเบ้อเร่อ สำหรับผู้มีอันจะกิน
ที่ไม่อยากใช้ SUV เกร่อๆ ทั่วไป แถมยังมีใจคิดหวังความประหยัดน้ำมัน
ควบคู่ไปกับการช่วยกันลดมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม

ฟังดู แนวคิดนี้ ก็เข้าท่าดีไม่หยอกหรอกครับ

ว่าแต่…แล้วทำไม คุณจิมมี่ ถึงเพิ่งได้มาทดลองขับรุ่น HYBRID เอาตอนนี้ละ?

เหตุผล ไม่มีอะไรมากครับ มันเป็นความเกี่ยวพันกัน ในระดับ ไตรภาคี
ฝ่ายแรกหนะ ก็คือ ผม ฝ่ายที่ 2 ก็คือ ทางพี่แข พี่สาวของผมที่ แผนกพีอาร์ของโตโยต้า
และฝ่ายที่ 3 ก็คือ รถทดลองขับคันสีขาวมุกนี่แหละ

ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ผมอยากจะติดต่อขอยืม RX450h มาทำรีวิว ต่อเนื่องไปเลย
แต่…รถคันนี้มักไม่ว่าง เพราะต้องใช้ในการโชว์ตัว เป็นรถทดลองขับ สำหรับลูกค้า
หรือรถสำรองใช้งาน ในกรณีรถของลูกค้า เกิดมีปัญหา ถึงขั้นที่ว่า ลูกค้าบางราย
ต้องการยืมรถคันนี้ ถ้าไม่ได้ ก็จะถอนจอง รถคันที่ตัวเอง สั่งซื้อไว้ เจ้าขาวมุกคันนี้
เลยต้องรับใช้ผู้คนมากมายหลากหลาย จนทำให้ เลขไมล์ ณ วันที่ผมรับรถ ปาเข้าไป
33,600 กว่ากิโลเมตร เข้าไปแล้ว ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น !!!!!

ฝ่าย ผม และพี่แข เอง เราต่างก็มีงานการวุ่นวายยุ่งเหยิง ต่างฝ่ายต่างลืมกันไปมา
ถ้าไม่ใช่ผมลืม พี่แขเองก็ลืม พอผมนึกได้ รถก็ไม่ว่าง พอผมลืม พี่แขของเราก็เกิดจำได้ขึ้นมา
เล่นไล่จับกับความจำกันพัลวัน ไปมา อย่างสนุกสนานสำราญอุรา แสนจะเฮฮาพาเหียก
ของเราทั้ง 2 คน เป็นอันมาก (ฮา)

พอเราทั้งคู่ ต่างเกิดจำได้ขึ้นมาพร้อมกัน เจ้าขาวมุก ก็ดันไม่มีคิวว่างจนลงตัวอีก
ผมเองก็เลยบอกกับทางพี่แขว่า ผมรอได้ ไม่รีบร้อน เพราะที่ผ่านมา หากรถคันนี้มีเวลาว่าง
มันมักจะว่างแค่เพียง 1-2 วันเท่านั้น ซึ่งเมื่อคิดดูดีๆ เวลาให้เราเพียง 2 วัน กับ 1 คืน
ที่เราต้องใช้ในการเรียนรู้จักรถที่มีเทคโนโลยีติดรถมากขนาดนี้ ผมว่า น้อยไปสักหน่อย
เลยเลือกที่จะรอ จนกว่าจะมีเวลาว่างลงตัวตรงกันหมดทั้ง 3 ฝ่าย

พอเวลาสุกงอมได้ที่ ตามกำหนดรับรถครั้งล่าสุด คืนก่อนวันรับรถ ก็ดันเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
ที่แยกศาลาแดง ถนนสีลม ซึ่งก็ใกล้กับ อาคาร All Season สถานที่รับรถของเราพอดีเป๊ะ!
ทำให้เช้าวันรุ่งขึ้น สำนักงานของ Toyota ที่ All Season ต้องปิดทำการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย
ของพนักงาน

และนั่นทำให้ ผมต้องเสี่ยงออกจากบ้าน เข้าไปในเมือง เพื่อไปรับรถคันนี้มา
ท่ามกลางความหวั่นใจเล็กๆ ว่าอาจมีเรื่องไม่คาดคิด

แล้วก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริงๆด้วย….ระหว่างนั่งอยู่บน Taxi ซึ่งกำลังแล่นอยู่
บนทางด่วน และใกล้จะถึง ทางลงพระราม 4 แล้วนั่นเองละ

“จิมมี่ ค่ะ ทาง ตึกออลซีซัน เขาประกาศปิดตึกอะค่ะ กุญแจรถคันที่จะส่งให้จิมมี่
ยังอยู่บนตึกเลย แล้วคนที่เขาจะส่งมอบรถให้จิมมี่ เขาก็กลับไปแล้วค่ะ เอ่อ
เอายังไงดีเอ่ย…”

นั่นไง ตูว่าแล้ว…ว่าต้องมีเรื่อง พี่แข วางสายไป ก่อนที่จะต่อโทรศัพท์ถึงกันอีกครั้ง เพื่อแจ้งว่า
“ถ้ายังไง จิมมี่ รออยู่แถว ออลซีซัน ก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะเข้าไปจัดการให้นะค่ะ”

โห!! เอ่อ..อึ้งไปเลย…

อยากจะบอกว่า ขอขอบคุณพี่แข อย่างมากเลยครับ ที่ช่วยจัดการประสานงาน
ทุกอย่างจนเรียบร้อย ลุล่วงไปด้วยดี ยิ่งโดยเฉพาะคราวนี้ ยิ่งต้องขอขอบคุณ
เป็นพิเศษ เพราะ งานนี้ พี่แข เกือบถึงขั้น ต้องเดินทางจากสำนักงานใหญ่ที่สำโรง
ฝ่ารถติดเข้ามาจัดการปล่อยรถให้ถึงตึกออลซีซัน กันเลยทีเดียว

แต่โชคดีมาก ที่พี่แข ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น และมีพี่สัญชัย General Manager
ของ Lexus Group มาช่วยปล่อยรถให้ พอดี มิเช่นนั้น ผมคงจะรู้สึกเกรงใจ
พี่แข มากกว่านี้แน่ๆ

ขอบคุณมากๆ อย่างมาก และมากที่สุดครับพี่ (^_^)

ประทับใจ อ่ะ!!

พี่แข ทำให้ผมประทับใจ เกินความคาดหมาย ว่าแต่ ตัวรถละ?
ให้ความประทับใจ ได้เทียบเท่ากัน หรือเปล่า?

เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา  แต่ทำเอาผม คิดหนัก ไปพักใหญ่
ถ้าจะตอบกันง่ายๆ สั้นๆ เพียงคำเดียว ผมก็ตอบได้เลยทันที

แต่คำตอบที่ว่านั้น จะทำให้ รีวิวนี้ จบลง ณ บรรทัดนี้ กันเลยทีเดียว
ดังนั้น จะให้จบง่ายๆ ดื้อๆ แต่เพียงเท่านี้ ก็ดูจะผิดไปจากมาตรฐานของ
Review By J!MMY ที่ต้องเต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไร อันยาวเฟื้อย
ยืดเยื้อ เหมือนกับเส้นชีส ที่ยืดยาว เมื่อคุณตัดแบ่ง และยกพิซซ่า
จากถาดร้อนๆ ไปไว้ในจานของคุณ…เหมือนในโฆษณานั่นละครับ

แน่นอน ผมไม่อยากจบรีวิวนี้ เพียงแค่ เปิดเรื่องมาได้ 3 รูป
4 ย่อหน้า แล้วก็โบกมือลา บ๊ายบาย ไปดื้อๆ ฉะนั้น ถ้าอยากรู้ว่า
ผมคิดอย่างไรกับ เจ้าขาวมุก คันนี้ แล้วละก็

กรุณาอ่าน ทุกคำ บรรทัดต่อบรรทัด และดูรูปทุกรูป นับตั้งแต่
ย่อหน้าข้างล่างนี้ เป็นต้นไป ตามอัธยาศัย ก็แล้วกัน

สำหรับ แบรนด์ Lexus ภายใต้ปีกของ Toyota แล้ว RX คือ SUV
รุ่นสำคัญ ที่สร้างยอดขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนแบรนด์ Lexus
เติบโตและแข็งแกร่ง ในช่วง ตั้งแต่ ปี 1998 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน

RX เกิดขึ้นมาจากความพยายามต่อยอด ให้แบรนด์ Lexus มีศักยภาพเติบโต
ไปได้มากกว่าเดิม เมื่อช่วงทศวรรษ 1990 ตลาดรถยนต์ SUV เริ่มขยายตัว
ในสหรัฐอเมริกา Toyota จึงลงมือสร้าง SUV รุ่นนี้ขึ้น บนพื้นฐานงานวิศวกรรม
ร่วมกับ Toyota Camry ออกอวดโฉมครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show
เดือนตุลาคม 1997 พร้อมกับในตลาดอเมริกาเหนือ และเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่น
เมื่อเดือนธันวาคม 1997

ในช่วงก่อนปี 2005 Toyota ยังไม่คิดจะเปิดตลาดแบรนด์ Lexus ในญี่ปุ่น
ก็เลย ผลิตรถรุ่นนี้ ขายในบ้านตัวเองด้วยชื่อ Toyota Harrier ส่วนตลาดอื่นๆ
ใช้ชื่อ Lexus RX300

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ยอดจำหน่ายหนะ ทะลุผ่านหลัก 1 ล้านคันไปไกลโขพอสมควรแล้ว!!

ส่วนในเมืองไทย พ่อค้ารายย่อย พากันโหมสั่งรถรุ่นนี้เข้ามาขาย แน่นอน หลายรายรวยเละเทะ
รวยด้วยรถรุ่นนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง Toyota มองว่า ไม่ได้การณ์แล้ว เลยสั่ง RX350 เจเนอเรชัน 2
เข้ามาประเดิมตลาดด้วยตัวเอง ช่วงปลายปี 2004  ด้วยราคา 3.4 ล้านบาทเศษ

แต่สำหรับ รุ่น HYBRID ของตระกูล RX นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Toyota เคยสั่งนำเข้า
RX400h หรือ Harrier HYBRID รุ่นที่แล้ว มาหยั่งเชิงกัน ด้วยราคาสูงถึง 6.2 ล้านบาท
เปิดตัวครั้งแรกเมื่องาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม 2007 ทั้งที่รถรุ่นนี้ เปิดตัว
ในตลาดโลกก่อนหน้านั้นมาแล้วราวๆ 2 ปี

Lexus RX ที่เห็นอยู่นี้ ถือเป็น เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งคลอดออกสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก ในงาน L.A.Auto Show
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2008 และ ออกสู่ตลาดญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อ 19 มีนาคม 2009 ที่ผ่านมา พร้อมๆกับสหรัฐอเมริกา

อีกทั้งยังเป็น RX รุ่นแรกที่จะทำตลาดในญี่ปุ่น ด้วยชื่อ Lexus RX เสียที ยุติบทบาทของชื่อรุ่น Harrier ที่มีมา
ยาวนานถึง 13 ปี ลงไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อสิ้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา

และประเทศไทย คือประเทศที่ 3 ในโลก ที่ได้สัมผัสรถรุ่นนี้ก่อนชนชาติอื่นๆ เปิดตัวตามหลังญี่ปุ่น ไม่เกิน 1 เดือน
คือเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2009 ส่วนรุ่น Hybrid นั้น เปิดตัวครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show
เดือนมีนาคม 2009 หรืออีกเพียง ไม่กี่สัปดาห์ หลังการเปิดตัวครั้งแรก ที่โรงละครอักษรา ศูนย์การค้า King Power
ย่าน ซอยรางน้ำ

ในเมื่อ RX450h เป็นรถยนต์ที่ใช้ตัวถัง และโครงสร้างต่างๆ ร่วมกันกับ RX350
ที่เราเคยทำรีวิวกันไปเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้น เราจะนำเสนอเฉพาะรายละเอียดที่ทำให้
RX450h เวอ์ชันไทย แตกต่างออกไป จาก RX350 เวอร์ันไทยด้วยกัน ซึ่งนั่นคือ
ระบบขับเคลื่อนแทบจะทั้งหมด และอุปกรณ์ติดรถ บางรายการ เป็นหลัก

มิติตัวถังยังคงไม่แตกต่างอะไรจาก RX350 เท่าใดเลย
ความยาวตัวถัง ยังอยู่ที่ 4,770 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,885 มิลลิเมตร
สูง 1,690 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถตัวเปล่า 2,115 – 2,205 กิโลกรัม แต่น้ำหนักรถ
ที่รวมน้หนักบรรทุก และของเหลว ก็จะเพิ่มขึ้นปาเข้าไป
เป็น 2,700 กิโลกรัม

แม้เพียงแล่นผ่าน อาจดูคล้ายกัน แต่ รายละเอียดการตกแต่งที่ทให้ RX450h แตกต่างจาก
RX350 รุ่นมาตรฐาน อยู่ที่ ชุดเปลือกกันชนหน้า ออกแบบให้มีช่องรับอากาศด้านหน้า
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ติดตั้งอยู่ใต้กระจังหน้า ที่มีสัญลักษณ์ รูปตัว L ของ แบรนด์ Lexus
เป็นสีน้ำเงินเรืองๆ อันเป็นหนึ่งในเครื่องหมายที่บ่งบอกว่า รถคันนี้ ของ Toyota / Lexus
แตกต่างจากรถรุ่นปกติ เพราะใช้ขุมพลัง Hybrid ไฟตัดหมอก ล้อมกรอบด้วยโครเมียม
ให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง อันกลายเป็นมาตรฐานที่รถหรูสมัยนี้ ควรจะมี ไปแล้ว

ชุดไฟหน้าเป็นแบบ AFS (Adaptive Front Lightning-System) ปรับมุมองศาตามการเลี้ยว
เพื่อช่วยให้มองเห็น รถที่แล่นสวนมาในทางโค้งยามค่ำคืนได้ดีขึ้น

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ลายพิเศษ สำหรับรถรุ่นนี้ โดยเฉพาะ สวมเข้ากับยาง 235/55R19
มีมาให้ครบ ไม่เว้นแม้แต่ล้ออะไหล่ ยางติดรถคันทดลองขับนั้น เป็นยาง DUNLOP
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ถึงกับเกาะถนนดีมากมายนัก เพราะเพียงแค่เลี้ยวเข้าโค้งธรรมดาๆ
ด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือแค่เพียงเลี้ยวกลับรถธรรมดาๆ ยางก็
ส่งเสียงครางเอี๊ยดอ๊าดเล็กๆให้ได้ยินกันแล้ว

กระจกหน้าต่าง ครึ่งคันหลัง ติดฟิล์มเข้ม แบบ Privacy Glass ตามสไตล์รถยนต์เวอร์ชันญี่ปุ่นแท้ๆ
ด้านล่างของประตูทั้ง 4 บาน มีแถบโครเมียม พร้อมสัญลักษณ์คำว่า HYBRID แปะเอาไว้
ขณะที่ชุดไฟท้ายนั้น ก็มาในสไตล์รถยนต์ HYBRID รุ่นอื่นๆของ Toyota / Lexus
อีกเช่นกัน คือ มีกรอบเป็นสีฟ้าใสๆอ่อนๆ สปอยเลอร์ด้านหลังมีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
และมีไฟตัดหมอกสีแดง ที่มุมกันชนหลังทั้ง 2 ฝั่ง

ครับ ความแตกต่างหากมองจากภายนอกหนะ มีเพียงแค่นี้เลย

การเปิดประตูเข้าออกจากรถ ของ RX เจเนอเรชัน 3  ทุกรุ่นที่ขายในเมืองไทย ยังคงใช้
วิธี พกการ์ด รีโมทคอนโทรล Keyless entry ที่เห็นนี้ เอาไว้กับตัว เดินเข้าใกล้รถเมื่อใด
คว้ามือจับเปิดประตู แล้วดึงเปิดได้เลย รถจะปลดล็อกให้คุณในทันที แต่ถ้าต้องการจะล็อกรถ
ก็แค่ปิดประตู แล้วเอานิ้วชี้ วางแหมะลงไปที่ หลุมเล็กๆ บนมือจับประตูนั่นละครับ
รถก็จะสั่งล็อกเองทันที

และในยามค่ำคืน คุณก็จะเห็นไฟส่องสว่าง ใต้กระจกมองข้าง เพื่อส่องให้เห็นในยามค่ำคืน
(เผื่อว่าคุณจะทำคีย์การ์ด ตกพื้น หรือทำสิ่งของหล่น หรืออยากจะรู้ว่า ตรงไหนควรหรือไม่ควรเหยียบ
ก่อนขึ้นรถ ซึ่งอุปกรณ์นี้ ก็กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอยู่แล้วใน รถยนต์ระดับ Premium แทบทุกรุ่น
ที่ขายกันในบ้านเราไปแล้ว

เมื่อปีก่อนๆ ผมอาจจะอึ้ง ในทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องโดยสาร ของ RX350
ว่า สัมผัส ต่างๆ อันคุ้นเคย ในสไตล์ Toyota และ Lexus มันหายไป

แต่คราวนี้ เมื่อผมเคยขับ RX350 มาก่อนแล้ว RX450h ก็เลยไม่ใช่เรื่องน่าฉงนสำหรับผมอีก

การเข้าออก จากตัวรถนั้น ทำได้สะดวก และไม่ต้องออกแรงยกตัวขึ้นนั่งบนเบาะ
มากเท่ากับ SUV จากยุโรป ระดับเดียวกัน คันอื่นๆ แถม ขากางเกง ก็ยังไม่ต้อง
กังวลเรื่องการเลอะเทอะคราบขี้โคลน จากชายล่างของตัวรถอีกด้วย

เบาะนั่ง และพื้นที่เหนือศีรษะ รวมทั้งพื้นที่วางแขน และขา ก็ยังคงเหมือนเดิม สามารถปรับตำแหน่ง
เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ปรับนักพิงเอนนอน รวมทั้ง ปรับที่ดันหลัง ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และมีสวิชต์บันทึก
ตำแหน่งเบาะนั่งที่ปรับเอาไว้ 3 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับ พวงมาลัยแบบปรับสูง-ต่ำ และ ระยะใกล้-ไกล
จากตัวผู้ขับขี่ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า รวมทั้งตำแหน่งกระจกมองข้าง ปรับและพับเก็บได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกัน

เพียงแต่คราวนี้ 1 ปี ผ่านไป สัมผัส ที่ผมได้รับนั้น มันต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย

ผมเคยเขียนเอาไว้ในรีวิว Lexus RX350 ว่า “การเดินทางไกลบนเบาะนั่งของ RX350 ใหม่
ไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อยล้า แต่อาจจะต้องปรับอิริยาบถบ้าง เพราะนั่งนานๆแล้วมันอาจจะชินไปสักหน่อย”

มาวันนี้ ผมคิดว่า อยากจะขอปรับแก้ไขสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนเอาไว้สักนิดนึง เพราะจากการขับขี่ทางไกล
ในระยะเวลานานๆ ทำให้ผมเริ่มพบว่า ถึงแม้ เบาะนั่งคู่หน้า นั้น เมื่อเดินทางไกล “ทั้งวัน” ในฐานะ พลขับ
ผมเริ่มพบความเมื่อยล้า ในบริเวณด้านล่างของแผ่นหลัง อยู่นิดหน่อย แม้จะไม่มากนัก แต่ หากคุณต้อง
เดินทางไกลกันเกินครึ่งวันไปแล้ว คุณอาจจะเริ่มพบอาการที่ว่านี้

สิ่งที่ผมคิดว่า เหมือนเดิม และไม่ต้องปรับเปลี่ยนในข้อความดั้งเดิม มีเพียงแค่คำว่า “แต่ต้องปรับอิริยาบถบ้าง
และยังไม่รู้สึกสบายเต็ม 10  รวมทั้งตำแหน่งวางขา ที่วางไว้อย่างเหมาะสม ”

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ผมเคยมีความเห็นว่า
มีพื้นที่กำลังดี อย่างไร ก็อยากจะคงความเห็นเดิมเอาไว้ อย่างนั้น ไม่คิดเปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับพื้นที่วางของใต้คอนโซลกลาง ที่คั่นกลางผู้ขับขี่และผู้โดยสารเอาไว้ ซึ่งเชื่อว่า คู่รักบางคู่ คงไม่ค่อยชอบ

(เพราะจะสวีทกัน ก็คงไม่ถนัด แต่ ผมชอบคอนโซลแบบนี้แหะ)

ประตูคู่หลัง  ถูกออกแบบอย่างใส่ใจ แม้เพียง การเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อย
อย่างที่บอกไปในรีวิวของ RX350 แล้วว่า บานประตูทั้ง 4 บาน มีชายด้านล่าง คลุมทับ
จนแทบจะถึงชายล่างของตัวถังอยู่แล้ว  แต่ในส่วนของบานประตูคู่หลัง มีการออกแบบ
ให้เว้ารองรับส่วนของซุ้มล้อตามเข้าไปด้วย และพอจะช่วยทุเลา ปัญหา คราบสกปรก
จากขี้ฝุ่น โคลน เลน ติดกับขากางเกง หรือกระโปรงได้พอสมควร

เบาะนั่งแถว 2 นั้น ถึงจะนั่งสบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม พนักพิง นั่งสบาย และสามารถปรับเอนได้อิสระ
และนั่งได้ดีกว่า SUV หลายๆรุ่นในตลาด แต่ก็ยังไม่ถึงกับน่าชมเชยนัก เพราะเบาะรองนั่งยังคงสั้นอยู่
และน่าจะยาวได้กว่านี้อีกสักนิด อีกทั้ง มุมเงยของเบาะรองนั่ง ยังควรจะเพิ่มขึ้นได้อีกสักหน่อย
มี ที่วางแขน พร้อมที่วางแก้วน้ำแบบมีฝาลายไม้ปิด ที่ใช้งานได้จริง รวมทั้งมีกล่องเก็บของพร้อมฝาปิด

พื้นที่เหนือศีรษะ ทั้งเบาะหน้าโปร่งสบาย แต่กับเบาะหลังนั้น พื้นที่เหนือศีรษะฝั่งซ้าย และขวา
ไม่ถึงกับชวนให้อึดอัด ทว่า ก็ไม่ได้มีพื้นที่เยอะนัก แต่ถ้าจำเป็นต้องนั่งตรงกลางแล้วละก็
ศีรษะคุณก็จะติดแหงกกับเพดานหลังคาพอดี

เบาะนั่งแถวหลัง สามารถแบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 หรือสามารถแบ่งพับได้ 3 ชิ้น
แยกกันอิสระ การพับเบาะนั้น มีขั้นตอนง่ายๆ คือเพียงแค่ดึงก้านโยค ที่ติดอยู่กับเบาะรองนั่ง
ทั้ง 2 ฝั่งอย่างที่เห็น

หรือไม่ ก็ต้องเปิดฝาประตูห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งเปิดได้จากทั้งสวิชต์ไฟฟ้า ใกล้สวิชต์ เปิดฝาถังน้ำมัน
หรือ จะกดสวิชต์ ที่ติดตั้งไว้ ด้านใต้แถบโครเมียม ณ ช่องใส่ป้ายทะเบียน ก็ได้ทั้ง 2 ตำแหน่ง

แล้วจึงดึงคันโยกพับเบาะ เพื่อให้ชุดพนักพิงเบาะของแต่ละฝั่ง พับลงไปเองด้วยระบบกลไก

เมื่อไม่สามารถออกแบบให้พื้นรถต่ำลงได้มากกว่านี้ ตำแหน่งการวางยางอะไหล่ จึงต้องโผล่พ้นขึ้นมาจาก
ระดับพื้นรถปกติ จนต้องมีการออกแบบฝาครอบยางอะไหล่ ให้นูนขึ้นมา และออกแบบช่องวางของ
อเนกประสงค์ ทำจากโฟมรีไซเคิล ไว้วาง เครื่องมือต่างๆของรถ ไปเสียเลย

มีแบ็ตเตอรี เสริม ของระบบ Hybrid ติดตั้งอยู่ในช่องนี้ด้วยอย่างที่เห็น ติดตั้งอยู่ข้างยางอะไหล่
ฝั่งซ้ายมือ แถมมีฝาพลาสติกปิดทับเรียบร้อยอย่างดี

ซึ่งก็อาจจะเสียพื้นที่การวางสัมภาระไปบ้าง แต่ ถ้าเปลี่ยนมาเป็น ยางอะไหล่แบบบาง สีเหลืองๆ
ก็น่าจะช่วยให้พื้นรถ แบนราบลงไปได้อีก ทว่า ยางเหลืองแบบนั้น ก็ไม่ถูกโฉลกกับการใช้งาน
ของลูกค้าชาวไทย ที่มักใช้ยางอะไหล่ แทนยางรถที่มีปัญหาเส้นนั้นไปเลย จนกว่าจะหมดอายุของยาง
และมักไม่ค่อยเปลี่ยนยางกัน แม้จะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามหลักสากล แต่ในประเทศที่แม้แต่ ยางรถยนต์
ก็ยังต้องมีรายการ ผ่อนชำระกันได้ แถมผู้คนส่วนใหญ่ ก็ยังขี้เกียจจะเปลี่ยนยางกัน ดังนั้น ยางอะไหล่
แบบที่สามารถทดแทนล้อและยางเส้นเดิมได้เลยนั้น จึงยังจำเป็นต้องมีมาให้กันต่อไป

บริเวณห้องเก็บของด้านหลัง มีไฟส่องสว่าง เปิด-ปิดได้ทั้ง 2ข้าง อกทั้ยังมีม่านสัมภาระ
ทั้ง แบบ ปิดคลุมทั้งหมด หมือนเอสยูวี ชั้นดี และม่านแบบผ้า คล้ายกับใน ยาริส

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบมาให้มีการแบ่งแยกกันออกเป็น 2 Zone
คือ ครึ่งบน เป็น โซน มุมมอง และครึ่งล่าง คือ โซนควบคุม

เหตุผลที่ งานออกแบบขอแผงหน้าปัด เป็นดังที่เห็นอยู่นี้ นั้นเพราะว่า
ทีมวิศวกร และนักออกแบบ คำนึงถึงการเคลื่อนไหวทางสายตา ของผู้ขับขี่
ที่จะพยายาม ลดการละสายตาลงมาจาก ถนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ใช้วิธี จำตำแหน่งปุ่ม แล้วคลำหา ขณะขับรถกัน

ดังนั้น เส้นขอบด้านล่าง ที่โค้งตัดออกมาเป็นอย่างนั้น มันช่วยได้เยอะเลย
เวลาที่ด้านล่าง ฝั่งซ้าย ของสายตาคุณ จะแอบแว่บไปเห็น นิดๆ เส้นที่ว่านี้
มันจะตัดแบ่งชัดเจนเลยว่า ตำแหน่งสวิชต์ต่างๆ มันอยู่แค่ตรงนั้นละ
มันไม่มีสวิชต์อื่นใด ที่อยู่ต่ำลงไปกว่า เส้นโค้งตัดนี้แล้ว ซึ่งผิดไปจากรถรุ่นเดิม
ที่ประโคมติดตั้ง สวิชต์อะไรก็ไม่รู้เต็มแผงควบคุมไปหมด

การติดเครื่องยนต์ด้วยสวิชต์กดปุ่ม สหกรณ์ แบบเดียวกับ เล็กซัส และโตโยต้ารุ่นอื่นๆ
อยู่ที่ฝั่งซ้าย ของมือผู้ขับ ใกล้กับชุดเครื่องเสียง เปลี่ยนมาใช้คำว่า ปุ่ม POWER แทน
เหมือน Camry HYBRID จนให้อารมณ์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ามาก (ฮา)

สวิชต์เปิดฝาถังน้ำมันไฟฟ้า และสวิชต์ เปิด-ปิดฝากระโปรงหลังด้วยระบบไฟฟ้า
ติดตั้งอยู่ติดกันกับ สวิชต์ ฉีดล้างไฟหน้า ใต้ช่องวางแก้วฝั่งขวา พับเก็บได้
ซึ่งใช้งานได้อเนกประสงค์มาก

พวงมาลัย แบบ Multi Function ดีไซน์ใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรก กับ RX รุ่นนี้
ก่อนที่จะส่งต่อไปใช้ร่วมกับ HS250h ซีดานไฮบริดล้วนจากเล็กซัส บนพื้นฐานของ
Camry HYBRID มีสวิชต์ควบคุม 2 ฝั่ง

การำทงานต่างๆ ก็เหมือนกับ RX350 เป๊ะ
ฝั่งขวา นั้น ถ้าคุณจะสั่งเปิด-ปิด ระบบเซ็นเซอร์กะระยะช่วยจอด (Parking Sensor) ระบบ EV Mode
และ ระบบไฟหน้า แบบ BI-HID พร้อมระบบปรับมุมองศาจานฉายตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS
(Adaptive Front Lightning System) ให้กดที่ปุ่ม สี่เหลี่ยม ข้างๆ ปุ่ม Enter นั่นละครับ จากนั้น
ย้ายมาเลือกโปรแกรมต่างๆ โดยขยับนิ้วขึ้นลง เลือกได้ดังใจ แล้วกด Enter ลงไป

การแสดงผล จะปรากฎที่หน้าจอแสดงข้อมูล Multi Information Display ตรงกลาง
ด้านบนสุดของ บนชุดมาตรวัดแบบ OLED (Organic Light Emitting Diode)
ในช่วงติดเครื่องครั้งแรก ต้องให้ตำแหน่งเกียร์ อยู่ที่ P แล้วเหยียบเบรก
ก่อนกดปุ่ม POWER เมื่อทำตามขั้นตอนแล้ว หน้าจอ MID จะขึ้นคำว่า
Lexus Hybrd Drive ก่อน

จากนั้น จะเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมทำงาน ถ้ามีไฟ READY ติดสว่างชึ้นมาเมื่อไหร่
คุณก็พร้อมออกรถได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้เรื่องยนต์ติดขึ้นมาแต่อย่างใด

ตรงนี้ ขอย้ำเตือนนะครับว่า อย่าพยายามปล่อยให้ลูกน้องของคุณ อยู่ในรถยนต์ Hybrid
ตามลำพัง โดยที่เกียร์ อยู่ในตำแหน่ง N เด็ดขาด เพราะโอกาสที่ลูกสุดเลิฟ จะเข้าไป
ผลักคันเกียร์เล่น จนรถไหลขึ้นไปข้างหน้า หรือถอยหลัง เกิดขึ้นได้เสมอ

ส่วนสวิชต์ฝั่งซ้าย เอาไว้ควบคุมการทำงานของชุดเครื่องเสียง CD/MP3 6 แผ่น
เป็น CD Changer ในตัว คุณภาพเสียง ถือว่า ดีในระดับเพียงพอ ใกล้เคียงกับ
Lexus รุ่นอื่นๆ ที่ติดตั้งชุดเครื่องเสียงของ Mark Levinso เลยทีเดียว อันที่จริง
ก็เป็นชุดเครื่องเสียงเดียวกันกับใน RX350 นั่นละ ยกเว้นบางแผ่น ซึ่งเสียงแหลม
หายไปเมื่อเจอเสียงเบสหนักๆ

ระบบเครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้ายขวา เย็นเร็วทันใจสไตล์ DENSO
มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ ที่ด้านหลังของ กล่องเก็บของ คอนโซลกลาง
แต่ การจะปรับอุณหภูมินั้น ไหนๆจะออกแบบให้ผู้ขับขี่ลดการละสายตาจากพื้นถนนแล้ว
รูปแบบของสวิชต์ ปรับอุณหภูมิทั้งฝั่งซ้าย และขวา ก็ควรจะออกแบบให้สะดวกต่อการคลำ
อีกนิด น่าจะดีครับ

ส่วนระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System นั้น Toyota บอกว่า อยู่ในระหว่าง
เตรียมการ เพราะที่ผ่านมา ติดขัดปัญหาของ ทั้งตัวเครื่อง ฮาร์ดแวร์ และ ตัวซอฟต์แวร์แผนที่
นิดหน่อย เลยติดตั้งจอ Multi Information สีขาว ชนิด Electro Luminescence มาเป็นหน้าจอ
ของทั้งเครื่องปรับอากาศ และเครื่องเสียง แก้ขัดทดแทนจอมอนิเตอร์สี ที่ควรจะมี กันไป
เมื่อเป็นดังนั้น เราจึงไม่มี Mouse แบบใช้นิ้วเลื่อนคลิ๊ก บนคอนโซลกลาง ใกล้มือคนขับ
อย่างที่เวอร์ชันญี่ปุ่นหรืออเมริกาเหนือเขามี แต่กลับพบ ช่องวางของเล็กๆ บนพื้นที่เดียวกัน
ตรงจุดนั้นแทน

RX450h เวอร์ชันไทยนั้น ไม่มี Sunroof เลื่อนเปิด-ปิดได้ แบบที่เวอร์ชันญี่ป่นเขามีให้สั่งติดตั้ง
หากแต่เป็นหลังคากระจก โปร่งแสง มีม่านบังแดด เลื่อนเปิด-ปิด ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ที่ไม่ดีดกลับ
หากมีสิ่งกีดขวาง แต่อย่างใด! พร้อมเคลือบกระจกกันรังสี UV เอาไว้ให้ แบบเดียวกับ RX350

แผงบังแดด สามารถเลื่อน เข้า-ออก ตามทิศทางของแสงแดด ได้ ไฟในห้องโดยสาร ตอนกลางคืน
สว่าง และสวยงามตามสไตล์ Lexus รุ่นใหม่ ทั่วๆไป มีไฟแต่งหน้าให้ทั้ง 2 ฝั่ง มือจับ เหนือประตู
ทุกบาน ออกแบบมาให้ สามารถให้ตัวได้

กระจกมองหลัง สามารถรับสัญญาณจากกล้องเล็กๆ ที่ติดตั้ง บริเวณช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง
เพื่อช่วยในการกะระยะขณะถอยหลังเข้าจอดรถได้ แม้ว่าจะแสดงขึ้นมาเป็นหน้าจอขนาดเล็ก
แต่ ก็ช่วยผู้ขับขี่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นอุปกรณ์ที่ผมว่า ดีมากๆ หากจะมีการนำมาติดตั้ง
ในรถยนต์ระดับรองๆลงไป ที่ไม่ได้ติดตั้งจอมอนิเตอร์ใดๆ หลังจากนี้ ก็มีเหมือน RX350 เปี๊ยบ!

แถมยังเป็นกระจกแบบตัดแสงไฟหน้ารถคันที่ตามลังมา โดยอัตโนมัติยามค่ำคืนอีกด้วย

กล่องเก็บของ ข้างผู้โดยสารคู่หน้า เป็นชุดเดียวกับ RX350 มีขนาดใหญ่โตมาก
แบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าตา คล้ายถังขยะขนาดเล็ก แต่มีผ้ากำมะหยี่บุข้างในโดยรอบ
เหมือนกัน เมื่ถอออกดู จะพบช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้า รวมทั้งช่องเสียบ
ต่อเชื่อม AUX เชื่อมกับเครื่องเล่น MP3 จากภายนอกได้อีกด้วย

การใช้งานค่อนข้างลำบากลำบน กว่าจะหาปลั๊กเจอ ก็ต้องยกถังขยะออกมา
เสียบเสร็จ ต้องใส่ถังกลับเข้าไปใหม่ ดีแต่มีช่องสำหรับ ให้สายเคเบิล ลอดออกมาได้ด้วย
น่าจะออกแบบให้มองเห็นได้โดยง่าย ไม่ต้องไปซ่อนเอาไว้ซะลึกขนาดนี้เลยแหะ

ตอนที่ลองขับ RX350 ผมยังไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่พอต้อง
ทำทุกขั้นตอนข้างบน เพื่อจะเสียบระบบนำทาง GPS แยกออกมาต่างหากนั่นละ
ถึงได้รู้ว่า การออกแบบ ในประเด็นเล็กๆน้อยอย่างนี้ น่าจะใช้งานง่ายกว่านี้
และอยู่ในตำแหน่งที่เห็นชัดกว่านี้สักหน่อย

สรุปว่า อุปกรณ์มาตรฐานของ RX450h นั้น เหมือนกันกับ RX350 ทุกประการ
ยกเว้น มีระบบ EV Mode มาให้ รวมทั้ง Heater อุ่นเบาะคู่หน้า ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า
จะติดตั้งมาให้ลูกค้าเมืองไทย อันเป็นเมืองที่ไม่ต้องพึ่งพาฮีตเตอร์อุ่นเบาะ เพราะ
แค่จอดรถตากแดด เบาะก็ร้อนจี๋จนไข่สุกได้แล้ว กันทำไม?

แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างละครับว่า ในช่วงเตรียมการสั่งรถเข้ามาขายในประเทศไทยนั้น
บริษัทแม่ มักจะกำหนดสเป็กของรุ่นส่งออกเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว ในบางประเทศ
อาจจะมี ออร์เดอร์ พิเศษ ขออุปกรณ์ แปลกๆ ที่แตกต่างไปจากแค็ตตาล็อก ซึ่งบริษัทแม่
เตรียมเอาไว้ให้ แต่ นั่นหมายถึงว่า ต้องมี ปริมาณการสั่งรถเข้าไปทำตลาดเยอะมากพอ
ที่โรงงาน จะยอมประกอบส่งขายให้ โดยไม่ขาดทุน ดังนั้น การจะเอาอุปกรณ์บางอย่าง
เข้า หรือออกจากรถ ในรุ่นที่ทำตลาดในบ้านเรา จึงอาจเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ในหลายๆกรณี
จนเป็นเรื่องปกติ

และดูเหมือนว่า RX450h น่าจะเข้าข่ายดังกล่าวนี้อยู่เหมือนกันแหะ
ถึงได้มี ฮีตเตอร์ อุ่นไข่เจ้าของรถ ติดมาให้อย่างที่เห็นกันอยู่นี้

ส่วนทัศนวิสัยรอบคัน ก็เหมือนกับ RX350 ไม่มีผิดเพี้ยน ก็แหงละ ตัวถังเดียวกันนี่นา
ด้านหน้าที่ดูสูงโปร่งนั้น สะดวกต่อการมองเห็นสภาพการจราจรข้างหน้า แต่อาจจะ
กะระยะ ตอนเข้าจอด ในที่แคบๆ ยากสักหน่อย เป็นธรรมดา

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา  ยังไม่พบปัญหาอะไรมากนัก รู้แต่ว่ากระจกมองข้าง
มีขนาดใญ่โตมาก มองเห็นรถทุกคัน ที่มาจากด้านหลัง ได้ชัดเจน เป็นเลิศ

เสาหลังคาคู่หน้า ฝั่งซ้าย แม้ว่าจะดูโปร่ง และไม่ค่อยบดบังทัศนวิสัยมากนักสำหรับผม
แต่กับ เจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา พบว่า พอจะมีการบดบัง ขณะ
เยวกลับรถอยู่บ้าง นิดหน่อย

ขณะที่ ด้านหลัง เสาหลังคา C และ D-Pillar มีช่องกระจก โอเปรา ขนาดเล็ก
พอให้มองเห็นรถคันที่ตามมาได้บ้าง แต่ การบดบังนั้น เยอะครับ บังมอเตอร์ไซค์
เกือบจะมิดทั้งคันด้วยซ้ำ ซึ่งต้องทำใจ เพราะในเมื่อ งานออกแบบเส้นสายภายนอก
เป็นอย่างนี้ ก็ต้องมีผลกับทัศนวิสัยด้านหลัง กันตามคาดหมาย

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ความแตกต่างที่ชัดเจนของ RX350 กับ RX450h อยู่ที่ ตัวเลขระบุรุ่น และอักษร h ด้านท้าย
อันหมายความว่า Lexus คันใดที่มีตัวอักษร h ต่อท้าย แสดงว่า เป็นรถยนต์ที่ใช้ขุมพลัง
แบบ HYBRID ที่ผสมผสานการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปแบบทั่วไป เข้ากับ
มอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีแบ็ตเตอรี ขนาดใหญ่ กักเก็บพลังงานไฟฟ้า

เครื่องยนต์เป็นรหัส 2GR-FXE บล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว 3,456 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 94.0 x 83.0 มิลลิเมตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI
ความแตกต่างที่คุณควรรู้ก็คือ สำหรับเครื่องยนต์ของ Toyota / Lexus ตัวใด
ที่มีรหัส X อยู่ตรงกลาง ของตัวอักษรตามต่อท้ายชื่อรุ่นเครื่อง แสดงว่า เป็น
เครื่องยนต์ที่ใช้กับระบบขับเคลื่อน HYBRID นั่นหมายความว่า ไม่สามารถ
ยกมาใส่ในรถรุ่นทั่วๆไปได้ เพราะมันถูกปรับปรุง รายละเอียดทางเทคนิค
ในด้านต่างๆ ให้เหมาะสมกับการเชื่อมต่อเข้ากับ มอเตอร์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ

มีตั้งแต่ การปรับตั้ง จังหวะการจุดระเบิด ให้เป็นแบบ Atkinson-Cycle ซึ่งก็คือ
เครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบให้ ยึดเวลาปิดวาล์วไอดีออกไปอีกนิดหน่อย เพื่อให้
ไอดีบางส่วน (ไม่ใช่ทั้งหมด) ก็จะไหลออกกลับไปค้างอยู่ในท่อร่วมไอดีอีกครั้ง
เพื่อรอรอบจุดระเบิดครั้งต่อไป รอให้วาล์วไอดีเปิดในรอบหน้า จึงจะไหลกลับ
เข้าไปยังห้องเผาไหม้อีกครั้ง อัตราส่วนกำลังอัด อยู่ที่ระดับ 12.5 : 1

พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที (SAE NET)
แรงบิดสูงสุด 317 นิวตันเมตร (32.30 กก.-ม.) ที่ 4,800 รอบ/นาที

เติมน้ำมันเบนซิน 95 และ แก็สโซฮอลล์ 95 (E10) ได้เท่านั้น
ไม่สามารถเติมน้ำมันแก็สโซฮออล์ E20 ขึ้นไปถึง E85 ได้แต่อย่างใด

การทำงานจะเชื่อมต่อเข้ากับ มอเตอร์ไฟฟ้า ในระบบขับเคลื่อน
ซึ่งมีกันถึง 2 ตัว มอเตอร์สำหรับล้อคู่หน้า เป็นแบบกระแสสลับ
(แม่เหล็กถาวร) รุ่น  4JM กำลังไฟฟ้าสูงสุด  650 โวลต์
กำลังสูงสุด 123 กิโลวัตต์ หรือ 167 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
335 นิวตันเมตร หรือ 34.2 กก.-ม.

ส่วนมอเตอร์ล้อคู่หลัง เป็นแบบ กระแสสลับ (แบบแม่เหล็กถาวร) รุ่น 2FM
กำลังไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ เช่นกัน แต่ผลิตกำลังสูงสุด 50 กิโลวัตต์
หรือ 68 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 139 นิวตันเมตร หรือ 14.2 กก.-ม.

เมื่อรวมเข้ากันแล้ว ก็เท่ากับว่า RX450h มีระบบขับเคลื่อนแบบ E-Four
คือ ขับเคลื่อนสี่้อ ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งสำหรับล้อคู่หน้า และล้อคู่หลัง
มีพละกำลัง”ทั้งระบบ” รวมกันอยู่ที่ 220 กิโลวัตต์ หรือ 295 แรงม้า (PS)

ส่วนแบ็ตเตอรี ที่ใช้ในระบบ เป็นแบบ Nickel Metal Hydride 3 ก้อน
ติดตั้งไว้ที่บริเวณ ใต้เบาะหลัง มี ทั้งแบบ 12 โมดูล 2 ก้อน อยู่ฝั่งซ้าย-ขวา
และมี แบบ 6 โมดูล 1 ก้อน แทรกตัวระหว่างกลาง รวมแล้วทั้งหมด 30 โมดูล
กำลังไฟ 288 โวลต์ ความจุ 6.5Ah (3h) มีรูระบายความร้อน ที่ใต้เบาะแถวหลัง

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติระบบ ECVT ซึ่งจะไม่มีอัตราทดเกียร์ที่ตายตัว
มีแต่อัตราทดเฟืองท้าย อยู่ที่ 3.542 : 1 เท่านั้น

และถ้าดูให้ดีๆ จะไม่มีตำแหน่งเกียร์ B เอาไว้คอยช่วยหน่วงความเร็ว
อย่าง Camry HYBRID ดังนั้น ถ้าคุณจะขับขี่ขึ้นเขา ที่ค่อนข้างจะชัน
แถวภาคเหนือของไทยแล้วละก็

ผมลองให้แล้วครับ ทางขึ้น-ลง ร้านอาหาร ลาแมร์ ที่เขาตะเกียบ หัวหิน ชัน และพับผ้าซะด้วย
ขอบอกว่า ระบบ ไม่ได้ช่วยหน่วงรถ หรือ มี Engine Brake ช่วยแต่อย่างใดครับ
ต่อให้ เปลี่ยนมาเข้า โหมด บวก ลบ แล้วผลักไปที่เกียร์ 1 แล้วก็ตาม ทุกอย่าง ก็เหมือนเดิม

หลักการทำงานของระบบ HYBRID ของ Toyota / Lexus นั้น ใช้วิธี รวมข้อดีของ
ทั้งระบบ Series Hybrid และ Pararell Hybrid เข้าไว้ด้วยกัน แม้จะเขียนไปหลายรอบแล้ว
แต่ ถ้าจะสรุปให้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็คือ

1. เมื่อกดปุ่ม Power เพื่อติดเครื่องยนต์ รถจอดอยู่ เครื่องยนต์จะยังดับอยู่ มอเตอร์ก็ ไม่ทำงาน
แต่ระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในรถ เช่นแอร์ วิทยุ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า จะทำงานโดยใช้ไฟ
จากแบ็ตเตอรี ถ้าเมื่อใดที่ไฟใกล้หมด เครื่องยนต์จะติดขึ้นมา เพื่อเดินเบา ปั่นไฟส่งไปเก็บไว้
ในแบ็ตเตอรี

2. เริ่มออกรถ ถ้าเหยียบคันเร่ง อย่างแผ่วเบา (และไฟในแบ็ตเตอรี มีเยอะ) มอเตอร์ไฟฟ้า
จะพาให้รถออกตัวอย่างนุ่มนวล และเงียบสนิท โดยดึงไฟในแบ็ตเตอรีมาเป็นพลังงาน

(แต่ถ้าไฟในแบ็ตเตอรี น้อย เครื่องยนต์ จะรับหน้าที่พารถออกตัว แทนมอเตอร์ไฟฟ้า จนกว่าไฟในแบ็ตฯจะมากพอ)

3. เร่งความเร็ว ถ้าต้องการเพิ่มความเร็วให้สูงขึ้น ไม่ว่า ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
หรือเหยียบคันเร่ง ดังป๊าบ  ในทันที เครื่องยนต์ จะเข้ามาช่วยเสริมการทำงาน
ส่งกำลังไปหมุนมอเตอร์ อีกแรง และบางส่วนของกำลังจากเครื่องยนต์ ก็จะแบ่งไป
ปั่นไฟ เก็บไว้ในแบ็ตเตอรีด้วยนิดหน่อย

4. เดินทางไกล ขับธรรมดา หรือเปิด Cruise Control เครื่องยนต์ จะทำงานเพียงอย่างเดียว
มอเตอร์ไฟฟ้า ไปพักผ่อนได้แล้ว

5. ถอนเท้าจากคันเร่ง หรือเหยียบ เบรก มอเตอร์จะเปลี่ยนการทำงาน โดยหันไปปั่นไฟ
ส่งไปเก็บเอาไว้ในแบ็ตเตอรี นั่นเอง ยิ่ง ชะลอรถต่อเนื่อง หรือ ใช้ความเร็วสูงๆ
แล้วเบรกยาวๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะได้กระแสไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรีเพิ่มเร็วและมากขึ้น

6. จอดติดไฟแดง? ย้อนกลับไปอ่านข้อ 1

และที่สำคัญ RX450h มีของเล่นอันโปรดปรานสำหรับผม ติดตั้งมาด้วย
นั่นก็คือ EV Mode หรือ โหมดการขับรถ ด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า
เพียงอย่างเดียว ระบบนี้ ถูกออกแบบมาให้ขับใช้งานได้ ในความเร็ว
ไม่เกิน 30-35 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเกินกว่านี้ ระบบจะยกเลิกการทำงาน
แล้วกลับเข้าสู่ การขับี่แบบ Hybrid ตามปกติ ไปเลย

วิธีการใช้งานระบบ EV Mode ใน RX450h ออกจะวุ่นกว่าใน Prius เล็กน้อย
รายนั้นหนะ แค่กดปุ่ม บนแผงหน้าปัดเฉยๆ ระบบก็ทำงานแล้ว แต่กับเจ้าขาวมุก
คุณไม่ต้องคลำหาสวิชต์นั่นหรอกครับ แต่ต้อง กดปุ่ม เมนู รูปสี่เหลี่ยม บนฝั่งขวา
ของพวงมาลัย เพื่อเข้าเมนู จากนั้น ดูหน้าจอตรงกลางมาตรวัด เลื่อนสวิชต์
ที่เขียนว่า Enter ขึ้น หรือ ลง ก็ได้ จนกว่าจะเจอ EV Mode ซึ่งมันมักจะปิดอยู่
กด Enter ลงไป เพื่อสั่งให้ระบบ เปิดการทำงาน ไฟสัญญาณ EV จะขึ้นบน
ชุดมาตรวัด อย่างที่เห็นในรูปนี้

EV Mode เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับการเลื้อยคลานเข้าบ้าน ยามวิกาล
ของคุณพ่อบ้านเมียเผลอ ทั้งหลาย เพราะแค่ปิดไฟหน้า เปิด EV Mode
ตั้งแต่หน้าปากซอย เพียงแค่นี้ ก็จบ สิ่งที่ต้องทำ มีเพียงแค่ หมั่นขยัน
หยอดน้ำมัน ที่ประตูรั้วบ้าน หรือประตูโรงรถ ไม่ให้เกิดเสียงดังมากนัก ก็พอ
ไม่เช่นนั้น คนในบ้านจะได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว ตื่นขึ้นมาหยิกหูคุณกลางดึกก็เป็นได้

เรายังคงทดลองหาอัตราเร่งและความเร็วสูงสุดกัน ในช่วงกลางคืนเช่นเคย ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
ต่อผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นๆ และตัวของเราเอง โดย เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ผู้เขียน น้ำหนัก 95 กิโลกรัม และ
น้องกล้วย BnN แห่ง The Coup team ของเรา น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม และเปิดไฟหน้า เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ที่ใกล้เคียงกับ RX ที่สุด นั่นคือ NISSAN MURANO และ SUBARU B9 TRIBECA รวมทั้ง RX รุ่นเดิม
และแถมพ่วงเข้ากับ บรรดา Premium Mid-Size SUV ทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกัน RX450h ใหม่ ทำตัวเลขได้ ดังต่อไปนี้…

หลังการทดลองจับเวลา ผมชักสงสัยว่า ทำไม RX450h
ถึงทำตัวเลขออกมาได้ ช้ากว่า RX350 เสียด้วยซ้ำ

จริงอยู่ว่า พละกำลังจากเครื่องยนต์ 2GR-FE ที่ถูกปรับปรุง
ให้เหมาะสมกับระบบ HYBRID เป็น 2GR-FXE พละกำลัง
จากเครื่องยนต์เพียวๆ ย่อมต้องถูกหั่นเฉือนออกไปบ้างอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน การออกตัว เต็มฝีเท้า ต้องใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน
ช่วยเป็นธรรมดา หลายๆคนอาจสงสัยว่า แล้วมอเตอร์ขับเคลื่อน
ทั้ง 2 ลูกนี่ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ?

คำตอบคือ ทั้งคู่ ต่างทำงานได้เต็มที่ และสมบูรณ์แบบอย่างถึงที่สุดของมันแล้วละ

เพียงแต่ว่า ลองมาดูปัจจัยสำคัญอีกด้านที่เราอาจมองข้ามไป กันสักหน่อย
นั่นคือ น้ำหนักตัวรถ

RX350 รุ่นมาตรฐานหนะ น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ อยู่ที่ 1,975 – 2,085 กิโลกรัม
น้ำหนักรถ รวมน้ำหนักรรทุดและของเหลวทั้งระบบ อยู่ที่ 2,545 กิโลกรัม

แต่ RX450h หนะ น้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่  2,115 – 2,205 กิโลกรัม
น้ำหนักรถ รวมน้ำหนักบรรทุกและของเหลวทั้งระบบ อยู่ที่ 2,700 กิโลกรัม

ดังนั้น ด้วยเวลาที่ช้ากว่ากันราวๆ 1 วินาที นั้น เหตุผลสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่
สมรรถนะของเครื่องยนต์แต่อย่างใด

มันอยู่ที่น้ำหนักตัว ของรถ ต่างหาก ที่ทำให้ตัวเลขแตกต่างกันอย่างนี้
ก็แหงละ แบกน้ำหนักมอเตอร์ทั้ง 2 ลูก น้ำหนักแบ็ตเตอรี ก็ปาเข้าไปอีกเท่าไหร่ละนั่น
เหมือนเอาคนประมาณ ผู้การแพน (140 กิโลกรัม ในตอนนี้ อิอิ) กับเจ้ากล้วย BnN
จาก The Coup Team ของเรา (48 กิโลกรัม) นั่งประจำรถเอาไว้ รวม 2 คน

นั่น เป็นเพียงการมอง เปรียบเทียบกัน เพียงแค่ระหว่าง RX350 และ RX450h เท่านั้น
แต่ถ้าลองมาเปรียบเทียบตัวเลขของ Premium Mid-Size SUV ที่เคยผ่านมือเรามา “ทั้งหมด”
คุณจะพบความอัศจรรย์ แห่งฝีมือของวิศวกรเครื่องยนต์จาก Toyota / Lexus !!

ตัวเลขอัตราเร่งทั้งหมด แสดงให้เราเห็นว่า งานนี้ RX350 กลับกลายเป็น
ผู้ชนะ ในเกมจับเวลาท้าดวล คราวนี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ! เร็วที่สุดในกลุ่ม
Premium SUV ขนาดกลางไปแล้ว อย่างน่าตกใจ!! เพราะเร็วกว่า
Range Rover Sport Super Charge V8 4.2 ลิตร ไปเพี้ยง 0.2 วินาที!!
โอ้ว แม่เจ้า Toyota กับ Lexus ทำไปได้!!

นี่ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าจับเอา ตัวท็อป ของแต่ละรุ่น มาดวลกัน
งานนี้ RX อาจร่วงลงไปจากตำแหน่งที่ 1 ของเว็บเรา แต่กระนั้น ก็จะยัง
ติดอยู่ในกลุ่มอันดับต้นๆ ของตารางอยู่ดี

ส่วน RX450h ก็จะตามมาติดๆ เป็นอันดับ 2 ของตารางกันเลยทีเดียว!!
ตัวเลข เป็นอย่างที่เห็นครับ แรงดึงที่พาให้รถพุ่งไปข้างหน้านั้น
แม้จะสัมผัสได้ว่า ด้อยกว่า RX350 แต่ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดเลย
อัตราเร่ง ที่ต้องการ พร้อมจะส่งถึงล้อ และพารถพุ่งออกไป เพียงแค่
กดคันเร่ง ประมาณ 2 ใน 3 คุณอาจจะต้องเหยียบคันเร่งให้ลึกนิดนึง
ลึกกว่า RX350 แต่ไม่ต้องห่วง พละกำลังที่สะใจหนะ มันพร้อมอยู่ทุกเมื่อ

การเก็บเสียง ของ RX450h นั้น ไม่ต่างกับ RX350 เลยครับ เสียงจะเริ่มดัง
หลังความเร็วเกินกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่นอกนั้น เงียบสบายกำลังดี

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ที่เป็นระบบไฟฟ้า EPS
(Electric Power Steering) รัศมีวงเลี้ยว 5.7 เมตร ตอบสนอง เหมือนกันกับ RX350
ไม่มีผิดเพี้ยน ระยะฟรีของพวงมาลัยกำลังดี และนี่แหละ คือสิ่งที่ลงตัว สำหรับผู้ขับขี่
ทั้งชายและหญิง ที่คุ้นเคยกับการขับรถจาก Toyota และ มองหา SUV หรูสักคัน ขับในเมือง
เพราะน้หนักพวงมาลัยที่เบากว่าเพื่อนในความเร็วต่ำ ก็ไม่ได้เบามากมาย จนผู้ชายที่ชอบขับรถ
จะบ่นกัน แต่ผู้หญิงที่เรี่ยวแรงไม่มาก จะจับสัมผัสได้ว่า นี่ละ นุ่มกำลังดี ไม่หนักไม่เบาเกินไป
ความเร็วช่วงเดินทาง นั้น พวงมาลัย ยังคงนิ่ง On Center Feeling ก็อยู่ในเกณฑ์ดีใช้ได้

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง ช็อกอัพแก้ส และเหล็กกันโคลง
ส่วนระบบกันสะเทือนหลังนั้น เป็นแบบ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง ช็อกอัพแก้ส และเหล็กกันโคลง
มีแขนยึด L Arm และ มีแขนยึดเทรลลิงอาร์ม มาพร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง แยกช็อกอัพ
กับสปริงออกจากกัน ก็เป็นอีก 1 ประเด็น ที่ทำงานได้เหมือนกับ RX350

โดยปกติแล้ว ทีมวิศวกรของ Toyota / Lexus จะเซ็ตระบบกันสะเทือนของรถยนต์ที่ใช้
ระบบขับเคลื่อน Hybrid ให้นุ่มนวล ผสมหนักแน่นเล็กๆ มากกว่า รถรุ่นปกติ อยู่พอสมควร
แต่กับ RX ใหม่นั้น น่าแปลกว่า ระบบกันสะเทือนของทั้งคู่ ให้สัมผัสที่ไม่ถึงกับต่างกันนัก
เพียงแต่ว่า RX450h จะเข้าโค้งแล้ว เทออกด้านข้างมากกว่า RX350 นิดเดียว นอกนั้น ในช่วง
ความเร็วต่ำ คานในเมือง ผ่านลูกระนาดต่างๆ กลับแทบไม่พบความแตกต่างกันมากมายนัก

การตอบสนองของทั้งพวงมาลัย และ ระบบกันสะเทือนนั้น เหมือนกันกับรุ่น RX350 แทบจะทุกประการ
เพียงแต่ ใน RX450h คันที่เราลองขับ ผ่านมือผ่านเท้าผู้คนมากมาย มาถึง 33,800 กว่ากิโลเมตรแล้ว
มีรายการแอบโทรม ดังนั้น เมื่อช่วงเจอเนินหลังเต่า ในหมู่บ้าน หรือหลุมบ่อขรุขระ จึงมีเสียงรบกวน
เข้ามาให้ได้ยิน มากกว่ารถออกใหม่ป้ายแดงอยู่นิดหน่อย

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ไฮโดรลิก พร้อมระบบ Regenerative ปั่นกระแสไฟหมุนเข้ากลับไปในระบบได้
จานเบรกหน้ามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 328 มิลลิเมตร ส่วนล้อคู่หลัง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 309 มิลลิเมตร

สิ่งที่มเจอในระบบเบรกของ RX450h คันนี้ ก็คือ ในช่วงที่เราใช้ความเร็วกันตามปกตินั้น
ระบบเบรก ช่วยหน่วงความเร็วลงมาได้ค่อนข้างดี พลังงานกลที่เกิดจากการเบรก หรือชะลอรถ
ถูกนำไปหมุนเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า กลับไปเก็บไว้ยังแบ็ตเตอรี ทุกอย่างก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร

จนกระทั่งในช่วงที่เราลองทำความเร็ว สูง ในระดับ แถวๆ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงกลับจากชะอำ
ขาเข้ากรุงเทพฯ นั่นละ ที่เริ่มสังเกตว่า ในช่วงที่ผมเหยียบเบรก ประมาณ 1 ใน 3 เพื่อชะลอรถนั้น
ผมและ The Coup Team พบอาการสั่น จากจานเบรกคู่หลัง คล้ายกับอาการจับ และปล่อยคาลิปเปอร์
หรือ คล้ายกับอาการเบรก ในช่วงที่จานเบรกคด ผิดรูป เลยทีเดียว ซึ่งตามปกติ มันควรจะมีอาการ
ต่อเนื่องกันนับจากนี้ไป

แต่พอเราย้อนกลับมาใช้ความเร็วเดินทางปกติ และเหยียบเบรกด้วยน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 เท่าเดิม
ก็พบว่า อาการดังกล่าว หายไปแล้ว แทบจะหมดสิ้น คือรู้ละว่า นี่คืออาการเฉพาะรถคันนี้แน่ๆ
แต่ก็ยังชวนให้สงสัยอยู่ ว่า มันมาจากอะไร

แน่นอน จนถึงป่านนี้ ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า อาการดังกล่าว เกิดจากอะไรกันแน่?

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลือเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

แน่นอน ยังไงๆ รถยนต์ HYBRID ก็ประหยัดกว่า และทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีกว่า
รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน สันดาปทั่วไป เพียงอย่างเดียว แน่ๆ แต่เชื่อเถอะว่า ยังมี
อีกหลายคนที่อาจจะสงสัยเหมือนผมว่า RX450h มันจะประหยัดกว่า RX350 มากน้อยแค่ไหน

เมื่อเรารับรถจาก อาคาร All Season บนถนนวิทยุ ผมมุ่งหน้าไปรับเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team
แล้วค่อยขึ้นทางด่วน มุ่งหน้ามายังสถานีบริการน้ำมัน Shell ที่ปากซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน ใต้สถานี
รถไฟฟ้า BTS เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 V-Power  ลงไปในถังน้ำมันความจุ 65 ลิตร ของตัวรถ
น้ำหนักตัวผู้ขับ 95 กิโลกรัม ส่วนของกล้วยนั้น 48 กิโลกรัม

จากนั้น ก็เซ็ต 0 บน Trip Meter A เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ตามเดิม ขับออกจากปั้ม ลัดเลาะเข้าซอยอารีย์
เลี้ยวไปขึ้นทางด่วนที่้ด่านพระราม 6 มุ่งหน้าไปยังปลายสุดทางด่วนสายเชียงรากที่อยุธยา แล้วก็เลี้ยวกลับ
ขับย้อนเส้นทางเดิม มาลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ความเร็วที่ใช้ อยู่ที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดใช้งานระบบ
ล็อคความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ที่ติดตั้งเป็นก้านเล็กๆ ยื่นออกมาจากฝั่งขวาของแป้นแตรบนพวงมาลัย
แทนที่จะฝังลงไปบนสวิชต์ ควบคุมบนพวงมาลัยอื่นๆให้เรียบร้อยกว่านี้

อีกเรื่องแปลกที่เพิ่งรู้ก็คือ ถ้าคุณเปิดใช้ Cruise Control หน้าจอแสดงระบบขับเคลื่อนตรงกลาง
ระหว่างมาตรวัดวงกลมทั้ง 2 จะไม่แสดงผลอะไรเลย นอกจากคำว่า SET แค่นั้น แถมสัญลักษณ์
ของระบบ Cruise Control ด้านล่างสุดของมาตรวัดความเร็ว ยังคล้ายกับรถยุโรป อย่าง BMW อีกด้วย

พอลงทางด่วนแล้ว เราก็เลี้ยวซ้าย ขับมาตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าปั้มเชลล์ แห่งเดิม
เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 V-Power ณ หัวจ่ายเดิม เป๊ะ การเติมน้ำมันของเราในคราวนี้ เนื่องจากเป็น
รถยนต์ขนาดใหญ่ และลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่ได้ซีเรียสกับอัตราสิ้นเปลืองมากมายเท่ากับรถยนต์
ประเภทอื่นๆ เราจึงเติมน้ำมันกันแค่ ให้หัวจ่ายตัด พอดีเป๊ะ เท่านั้น ไม่มีการเติมเพิ่ม

ผลลัพธ์ ออกมามีดังนี้
ระยะทางที่แล่นไป อ่านจากหน้าปัด 90.8 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.87 ลิตร

คำนวนออกมาแล้ว อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.21 กิโลเมตร/ลิตร

เท่ากับว่า การที่รถมีระบบขับเคลื่อน HYBRID เข้ามาช่วย ทำให้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง
ของ RX450h ออกมา ประหยัดเท่ากับ CR-V ขับเคลื่อน 2 ล้อ รุ่นล่าสุด ประหยัดกว่า
RX350 ใหม่ อยู่ราวๆ 3 กิโลเมตร/ลิตร

แต่ถ้าเทียบกับ Premium Mid-Size SUV คันอื่นๆในตลาดแล้วละก็ RX450h
ยังประหยัดได้ไม่เท่า บรรดา SUV ขุมพลัง Diesel Turbo Commonrail ทั้งหลาย
ที่ให้อัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดกว่ากัน ในระดับเทียบเท่ากับรถเก๋งขนาดเล็กระดับ
Sub-Compact กันเลยทีเดียว และตัวเลขที่เราสะสมข้อมูลกันมาตลอดนี้ คือ สิ่งที่
จะบอกกับคุณได้ว่า คู่แข่งแต่ละคันของ RX450h ใช้น้ำมันกันอย่างไร

แล้วถ้าจะถามว่า การเดินทางไกลกันจริงๆ นั้น จะใช้น้ำมันไปเท่าใด
โจทย์ดังกล่าวอันชวนให้น่าสงสัย พาให้ The Coup Team ตัดสินใจทดลองดู

ด้วยการพา RX450h คันนี้ เติมน้ำมันจนเต็มถังอีกครั้ง มุ่งหน้าจากบางนา ไปทางพระราม 2
เพื่อขับต่อเนื่องไปยังชะอำ แล้วไปถึงเขาตะเกียบ หัวหิน ไปกินข้าวเที่ยง และไปหาโลเกชัน
สำหรับถ่ายรูปรถคันนี้ ความเร็วที่ใช้อยู่ในช่วง 110-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีแวะพักตาม
เบี้ยบ้ายรายทาง เช่น แวะเข้าไปในตัวเมือง Fly Now Outlet และอีกนิดหน่อย นั่งไป 5 คน

มีอยู่ 1-2 ครั้ง ที่เหยียบคันเร่งให้ความเร็วขึ้นไปแตะระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วก็ถอนเท้า
ออกจากคันเร่ง ซึ่งแน่นอนว่า นั่นทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น

เมื่อส่งสมาชิกในทริป เข้าบ้านไปแล้ว ผมก็ขับรถกลับมาบ้าน และนี่คือระยะทาง บนหน้าปัด
กับเข็มน้ำมัน อันแสดงถึงปริมาณน้ำมันที่เหลือในถัง

ถ้าเราไม่ได้เหยียบ 200 แล้วถอนเท้าทันที ไป 2 ครั้ง ผมว่าตัวเลขก็น่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้ อีกนิดนึง

แต่ที่ทำเช่นนั้น เพราะ เมื่อเรามองเห็น Lexus RX350 สีขาวมุก ป้ายทะเบียนประมูล เลขต่อเรียงกัน คันหนึ่ง
ซึ่งแล่นตามหลังเรามา และแซงหน้าเราไป จนหายวับไปเลย ในช่วงที่เราขับผ่านชะอำ มุ่งหน้าไปยังหัวหิน นั้น
แม้ว่าเราไม่ได้ขับตามรถคันนั้นไป แต่เราเชื่อแน่ว่า ลูกค้าที่ซื้อ RX ใหม่ไปใช้ ส่วนใหญ่ ไม่ได้ขับกันอีเรื่อยเฉื่อยแฉะ
อย่างที่เราขับกันอยู่นี้แน่ๆ

และถ้าอยากรู้ว่า หลังจากนี้ ขับไปอีกนานแค่ไหน ไฟเตือนน้ำมันใกล้หมดถัง จึงจะติดสว่างขึ้น รูปข้างล่างนี้คือคำตอบครับ

หมายความว่า หลังจาก ขับไปเที่ยวหัวหิน ไป-กลับ 1 รอบ ถ้าบ้านคุณอยู่ย่านบางนาเหมือนผม คุณยังสามารถ
พาเจ้า RX450h ไปทำธุระแถวๆ รามอินทรา ไป-กลับ ได้อีก 1 รอบ เหลือเฟือ! หรือว่าจะขับไปชลบุรี
ไปนอนเล่นอีกสักคืน ก็น่าจะย่อมได้ อย่างไม่มีปัญหา เท่ากับว่า น้ำมัน 1 ถัง RX450h น่าจะแล่นได้ราวๆ
600 – 630 กิโลเมตร ถ้าคุณใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วเฉลี่ย ควรอยู่ในช่วง
80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ผมว่านะ…PRIUS ยังจะประหยัดซะกว่าเลย…
เอ้า! ก็แหงละสิครับ ขนาดรถก็ผิดกัน จุดประสงค์ และโจทย์ในการทำรถมันก็ต่างกัน
ดังนั้นถ้า RX450h ประหยัดกว่า Camry HYBRID กับ PRIUS ได้ละก็ คงได้เห็น
งานโฆษณาอึกทึกครึกโครมมากกว่านี้อีกแน่ๆ

แต่ ผมมองว่า ถ้าประหยัดได้มากกว่านี้อีกนิดนึง ก็ดีนะ ตัวเลข สัก 14.5 กิโลเมตร/ลิตร
จาก ความเร็วเดินทางไกล 100-110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อเนื่อง คือสิ่งที่ผมอยากเห็นจาก RX450h รุ่นต่อไป

ซึ่งสงสัยว่า จะยังอีกนาน กว่าจะได้เห็น

********** สรุป **********
ผมว่า จ่ายแค่ 5 ล้านบาทเศษ แล้วถอย RX350 มาขับเล่นดีกว่า

“รถคันนี้มันแพงที่ตรงไหนคะพี่จิม?”

มุก น้องสาวคนหนึ่งเรา เพื่อนสนิทของเจ้ากล้วย BnN ใน The Coup Team ตั้งคำถามนี้
ด้วยเสียงเรียบๆ ธรรมดา ปราศจากการเหน็บแนม หรือประชดประชันใดๆทั้งสิ้น
ก็ น้องเขาไม่รู้เรื่องรถเท่าไหร่นี่นา

แต่เล่นเอาผม กับน้องๆเพื่อนๆ The Coup Team ของเรา ถึงกับสะอึกกันไปเลย

อันที่จริง สิ่งที่เคยชื่นชอบ หรือคิดอยากให้ปรับปรุง ใน RX350 ก็ยังคงอยู่ใน RX450h ใหม่
อย่างครบถ้วน ความประทับใจ ที่เกิดขึ้นจากตัวรถนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จากความสบาย
ในห้องโดยสาร และมาตรฐานการผลิต ในแบบที่ Toyota วางกฎเหล็กเอาไว้ให้กับรถทุกคัน
ที่แปะตรา Lexus ซึ่งคุณผู้อ่าน ก็คงจะทราบดีว่า มาตรฐานดังกล่าวนั้น มันสูงกว่า
รถยนต์ Toyota ทั่วไป อยู่มิใช่เล่นเลยทีเดียว

การบังคับขับขี่ ที่ผ่อนคลาย แม้ว่าจะไม่ปราดเปรียวเท่ารุ่นก่อน และอุ้ยอ้ายขึ้น
เพราะมีน้ำหนักตัวมากขึ้น จากการขยายร่างให้กว้างขึ้น การใช้พวงมาลัยไฟฟ้า
ที่บังคับง่าย และให้การควบคุมที่ เหมือนกับ RX350 รุ่นเดิม เป๊ะ แทบจะยกเอา
ทุกสิ่งที่อยู่ในบทความรีวิว RX350 มาวางแหมะ ลงไปได้เลย มันไม่ต่างกันหรอก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกัน จนทำให้เริ่มมองว่า จะดีหรือ ถ้าใครสักคนจะจ่ายเงิน
เพื่อรถรุ่นนี้ ก็อยู่ที่ อัตราเร่ง ซึ่งเราคิดและมองจากประสบการณ์กับใน Prius
และ Camry HYBRID ว่า ถ้าวางเครื่องยนต์ ต่อเชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ ที่ Toyota
ทำอยู่นี้ นอกจากได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัดขึ้น ราวๆ 3 กิโลเมตร/ลิตร
เมื่อแล่นทางไกล (เป็นไปตามคาด) แล้ว อัตราเร่ง ก็น่าจะพุ่งทะยาน ยิ่งกว่า RX350 ด้วย

แต่พอจับเวลาจริง มันไม่เป็นเช่นนั้น ตัวเลขที่ออกมา ช้ากว่า RX350 ไป 1 วินาที
ทั้งในเรื่องอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง และอัตราเร่งแซง

อย่างไรก็ตาม  โปรดมองดูคู่แข่งรอบตัวด้วย แล้วคุณจะพบว่า RX450h ก็ยังทำอัตราเร่งได้
ดีกว่า ทั้ง BMW X5 xDrive30d และ Mercedes-Benz ML280 CDI

แค่นี้คุณยังต้องการอะไรอีก หืม?

อย่าลืมนะว่า ในตารางตัวเลขของ Headlightmag.com ตอนนี้ RX350 คือ SUV
ที่เร็วที่สุด ในกลุ่ม แล้วนะครับ การที่คุณขับ RX450h แล้วเข้าป้ายเป็นอันดับ 2
ด้วยเวลาที่ห่างกัน 1 วินาที มันก็คงไม่ได้น่าเกลียดจนโดนเพื่อนฝูงโห่ไล่ขนาดนั้นหรอก

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ เราพอมองเห็น คุณงามความดีของ RX450h มากกว่า RX350 อยู่ที่
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ทำได้ 13.21 กิโลเมตร/ลิตร ประหยัดกว่า RX350 ธรรมดา
ถึง 3 กิโลเมตร/ลิตรเลยทีเดียว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่รถยนต์ Hybrid ทำได้ดี ในแบบของมัน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัดขึ้นมา ประมาณ 3 กิโลเมตร/ลิตร นั้น
หากมันได้มา โดยที่คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 1 ล้านบาท แลกกับการที่ RX ของคุณ
จะต้องมีแบ็ตเตอรี 3 ก้อน แยกกัน 12 / 6 และ 12 โมดูล อยู่ใต้เบาะหลัง แถมยังต้องมีมอเตอร์ไฟฟ้า
อีก 2 ลูก  และอุปกรณ์ต่อพ่วง นานับประการ แล้วมันทำให้น้ำหนักตัวรถ  พุ่งไปอยู่ที่ 2,115 กิโลกรัม
แถมยังให้อัตราเร่งที่ด้อยกว่า RX350 รุ่นปกติ อยู่ 1 วินาที ทั้งการออกตัว หรือเร่งแซงโดยทั่วไป

แถม..ต้องไม่ลืมนะว่า อุปกรณ์ประจำรถ 98% มันก็เหมือนกับ RX350 ที่ถูกกว่ากันเป็นแสนบาทนั่นแหละ!

ผมว่า มันยังอยู่ในพิสัย พอยอมรับได้ หาก RX450h จะมีราคาป้วนเปี้ยนแถวๆ 3.9 – 4.5 ล้านบาท

ทว่า ราคาที่ ขายกันอยู่จริงในตอนนี้ มันแพงกว่านั้นไปไกลโข คืออยู่ที่ 6.24 ล้านบาท!!!

อธิบายกันก่อนว่า ในญี่ปุ่น RX350 นั้น ราคาในญี่ปุ่น อยู่ที่ 4,600,000 – 5,650,000 เยน
หรือตีเป็นเงินไทย ยังไม่รวมภาษีนำเข้า ก็จะอยู่ที่ระหว่าง 1,518,000 – 1,864,500 บาท
ขณะที่ RX450h นั้น มีราคา 5,450,000 – 6,500,000 เยน ถ้าตีเป็นเงินไทย โดยยังไม่รวม
ภาษีนำเข้าต่างๆ ก็จะอยู่ที่ 1,798,500 – 2,145,000 บาท

เมื่อใดที่รถรุ่นนั้น มีแรงม้า เกิน 220 แรงม้า ขึ้นไป การคิดภาษีจะแพงขึ้นอีก
เป็นระดับเทพ กันเลยทีเดียว ไหนจะมีค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายศุลกากร ค่าอะไรต่อมิอะไร
รวมทั้ง ผู้ผลิตเองก็ต้องเอากำไร เพื่อความอยู่รอดตามปกติแล้ว ราคารถนำเข้า
ทุกรุ่นในเมืองไทย จึงแพงหูดับตับไหม้ ไม่ว่ารถคันนั้น จะเป็นรถยนต์ที่จะช่วย
ประหยัดพลังงาน หรือปล่อยมลพิษน้อยกว่ารถรุ่นเดิม มากมายขนาดไหนก็ตาม

แม้ว่าล่าสุด ตามข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA)
จะส่งผลให้ภาษีนำเข้า สำหรับรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีขนาดเครื่องยนต์
พิกัด 3,000  ซีซี ขึ้นไป ลดลงมาแล้ว

แต่ Lexus RX ใหม่ รุ่น RX350 ตอนนี้ ก็ยังมีราคาแถวๆ อยู่ที่ 5,400,000 บาท
ขณะที่รุ่น RX450h นั้น ปาเข้าไป 6,240,000 บาท

แล้วเงินในระดับนี้ จะมีทางเลือกอื่นอีกบ้างไหม?

นอกเหนือจาก Lexus RX แล้ว ผมว่า ในตลาดยังมีตัวเลือกอื่นๆ ที่คุณไม่ควรมองข้ามไปเลย
ด้วยประการทั้งปวง อย่าง Mercedes-Benz ML300 CDI ที่ทำให้ผมประทับใจได้อย่างน่าประหลาด
หรือ BMW X5 xDrive30d ที่ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ประหยัด พอกับ Toyota Vios
ถ้าคุณขับทางไกล และเหยียบไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้ง 2 รุ่นนี้ ทำตัวเลขเกิน 14 กิโลเมตร/ลิตร
ได้ทั้งคู่!!

หรือไม่เช่นนั้น ก็หันไปหารถที่มีตัวถังไล่เลี่ยกัน แต่ราคาถูกลง อย่าง Volvo XC60 D5 ใหม่
ที่ประหยัดน้ำมัน ระดับ 14 กิโลเมตร/ลิตร แถมด้วยการตกแต่งที่สะดุดตามากกว่า และมีค่าตัวถูกกว่า
(แต่อาจต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเลือกออพชันที่ต้องการ) ไปจนถึง Mazda CX-9 ที่นั่งกันได้ถึง 7 คน
และ มีค่าตัวถูกสุดในตลาดกลุ่มนี้ คือแถวๆ 3.9 ล้านบาท รวมออพชัน

แต่…ถ้างบคุณเหลือ และยังยืนกรานว่าอยากได้ Lexus RX แล้วละก็
ผมก็ขอยืนยันกับคุณเช่นเดียวกันว่า ถ้าจะต้องเลือก ระหว่าง RX350 กับ RX450h
ควรซื้อรุ่นไหนดี?

ทั้งหมด มันอยู่ที่ว่า คุณอยากได้อะไรมากกว่ากัน ระหว่าง ความแรง หรือความประหยัด
ถ้าอยากเอาความแรง ก็จ่ายถูกกว่า แล้วถอย RX350 ใหม่ออกมา
แต่ถ้าอยากได้ความประหยัด ซึ่งก็ยังถือว่า ทำตัวเลขดีกว่า RX350
อยู่ราวๆ 3 กิโลเมตร/ลิตร แต่ยังด้อยกว่าคู่แข่งเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ
สัญชาติยุโรปทั้งหลายทั้งปวง แล้วละก็ จ่ายแพงขึ้นกว่าเดิมอีกแสนกว่าบาท
เลือก RX450h ไปก็ได้

แต่ถ้างบของคุณ ไม่อาจรองรับถึงระดับ 6.2 ล้านบาท ไหว แล้วละก็

ซื้อ RX350 ใหม่ อย่างเดิมหนะ ดีกว่าครับ

—————————————///—————————————–

ขอขอบคุณ
คุณ Suchaya Chianklawkla
Assistant Manager, Product & Marketing Communication
สำนักประชาสัมพันธ์

และ ฝ่าย Lexus Group
บริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
และอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างดียิ่ง

——————————————————

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

ทดลองขับ Lexus RX350 ใหม่ : ถึงดีไซน์จะยังไม่เข้าตา แต่ถ้าขับแล้ว “ป๋า” เอาเรื่อง

ทดลองขับ BMW X5 xDrive30d : พุ่งและเกาะเป็นบ้า แต่กินแค่ 14.5 กิโลเมตร/ลิตร!!

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
29 เมษายน 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 29th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่