บรรดาวินรถตู้ และ ผู้ประกอบการขนส่งในเมืองไทย อาจต้องอดทนรอการมาถึงของรถตู้รุ่นใหม่จาก Toyota กันต่อไปอีกสักพัก หลังจากเปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ ปี 2004 (เปิดตัวในประเทศไทย ตามมาในปี 2005) ยืนยันแล้วว่า HiAce / Commuter ใหม่ จะถูกเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างตัวถัง จากเดิมซึ่งเป็นแบบ Cab-Over (หัวเก๋งครอบทับห้องเครื่องยนต์ ด้านหน้ารถสั้นกุด) มาเป็นแบบ Semi-Bonnet Cab (เครื่องยนต์ย้ายมาอยู่ด้านหน้ารถ เพิ่มพื้นที่ฝากระโปรงหน้าให้ยื่นออกมามากขึ้น) ในสไตล์เดียวกับ รถตู้ฝั่งยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle และ บรรดารถตู้หรูอย่าง Vellfire / Alphard
อันที่จริง ตัวถังแบบ Semi-Bonnet Cab ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Toyota เพราะพวกเขาเริ่มทำรถตู้แบบหัวยื่นอย่างนี้ มาตั้งแต่ Toyota Granvia ในปี 1996 แล้ว และได้ดัดแปลง Granvia รุ่นแรก ให้เป็นรถตู้เพื่อการพาณิชย์ ในชื่อ HiAce S.B.V สำหรับตลาดยุโรป ออกจำหน่ายในปี 1997 และนับแต่นั้นเป็นต้นมา รถตู้ Toyota ที่ออกสู่ตลาดยุโรปหลังจากนั้น รวมทั้ง ProAce และ ProAce Verso รถตู้ ที่ Toyota จับมือกับกลุ่ม PSA Peugeot Citroen พัฒนาขึ้นมา เพื่อต่อกรกับ Volkswagen Caravelle และ Ford Transit ก็กลายเป็นรถตู้แบบ Semi-Bonnet Cab แบบนี้ไปทั้งหมด
เหตุผลในการเปลี่ยนรูปแบบตัวรถครั้งนี้ น่าจะมาจากประเด็นด้านความปลอดภัยจากการชนด้านหน้า เพราะจุดอ่อนของรถตู้แบบ Cab-Over ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในตลาด Asia นั้น ก็คือ พื้นที่รับแรงปะทะด้านหน้าค่อนข้างน้อย ระยะห่างจากด้านหน้ารถจนถึงตัวคนขับแทบไม่มี หากเกิดอุบัติเหตุแรงๆ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสาหัส และง่ายต่อการเสียชีวิต จากประเด็นอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรถตู้แบบ Cab-Over ในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ทำให้ Toyota ตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวรถของ HiAce/Commuter มาเป็นแบบ Semi-Bonnet เหมือนตลาดยุโรป กันเสียที
ล่าสุด งานออกแบบภายนอกและภายใน เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดย HiAce / Commuter ใหม่ จะมีเส้นสายที่ถูกดัดแปลงมาจากรถตู้ต้นแบบ LCV D-Cargo Concept ของ Toyota Auto Body บริษัทลูกในเครือ ซึ่งนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในโลก เมื่องาน Tokyo Motor Show ปลายเดือนตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา ผสมผสานกับ เส้นสายของ Toyota ProAce รุ่นล่าสุด ที่เิดตัวในยุโรปไปเมื่อปี 2015 แต่บานประตูคู่หลัง จะมีแนวขอบกระจกหน้าต่าง แบบสี่เหลี่ยมคางหมู เช่นเดียวกับ HiAce/Commuter รุ่นปัจจุบัน
ด้านงานวิศวกรรม HiAce / Commuter ใหม่ จะถูกพัฒนาขึ้นบนโครงสร้างเฟรมแชสซีส์ เช่นเดิม โดยเวอร์ชันญี่ปุ่น จะมาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร และ Diesel รหัส 1GD บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร ซึ่งประจำการอยู่แล้วใน HiLux Revo ส่วนเวอร์ชันไทยนั้น คาดว่า จะวางเครื่องยนต์ มาให้เลือก 2 ขนาด และเป็นแบบ Diesel ตระกูล GD ทั้งแบบ 2.4 และ 2.8 ลิตร จาก Hilux Revo เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันเครื่องยนต์ดีเซล GD ที่อยู่ในตระกูล HiLux Revo / Fortuner / Innova
ดีเซล 2.4 ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 2GD-FTV ขนาด 2.4 ลิตร 2,393 ซีซี. VN-Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 92.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.6 : 1 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 – 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ / เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ดีเซล 2.8 ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร 2,755 ซีซี. VN-Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 92.0 x 103.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.6 : 1 กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 – 450 นิวตันเมตร ที่ 1,400 – 2,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ไม่เพียงเท่านั้น ด้านความปลอดภัย Toyota จะจัดเต็มมาให้ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดรถตู้ส่งของ สำหรับภูมิภาค Asia ด้วยการติดตั้งระบบ Toyota safety Sense มาให้ โดยมีระบบ Adaptive Redar Cruise Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในรุ่นท็อป สำหรับตลาดญี่ปุ่น
คาดว่าเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นภายในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2019 นี้ ดังที่เราเห็นในภาพ Spyshot ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทย อย่างเร็วคงเปิดตัวภายในปลายปี 2019 นี้ หรือ อย่างช้าต้นปี 2020
คราวนี้เราจะได้ใช้รถตู้ประจำประเทศรุ่นใหม่ หลังจากที่ใช้โฉมปัจจุบันมาตั้งแต่ปี 2004 หรือ 15 ปีมาแล้ว
ล่าสุดมีภาพภายในห้องโดยสารหลุดออกมาแล้วก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เบาะนั่งแบบ 5 แถว 13 ที่นั่ง พร้อมเข็มขัดแบบ 3 จุดทุกตำแหน่ง เบาะนั่งสีทูโทน พร้อมกับแดชบอร์ดหน้าดีไซน์ใหม่ พวงมาลัยยกมาจาก Toyota Innova ใหม่ ประตูคู่หน้าบานใหญ่ พร้อมกระจกแบบโอเปร่า ช่วยให้ทัศนวิสัยกว้างขึ้น นี่คือจุดเปลี่ยนจากรุ่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด
ที่มา : JClublegance
เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดโดย www.headlightmag.com