ปรากฏการณ์ความสำเร็จของ Renault Kwid ในตลาดอินเดียถือเป็นปรากฏการณ์หน้า
ใหม่ที่ Renault จะต้องจารึกเอาไว้ จากเดิมที่ Renault เคยเป็นแบรนด์รถยนต์นั่งระดับ
รองที่มียอดขายอยู่แค่ไม่กี่พันคันต่อเดือนกลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขายหลักหมื่นต่อเดือน
ทั้งที่มีรถจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่น
Renault Kwid เปิดตัวในตลาดอินเดียช่วงเดือนกันยายนเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์
ยอดจอง 100,000 คันภายใน 6 เดือนแรกของการเปิดตัวและจนบัดนี้มันก็มียอดขายไม่
ต่ำกว่า 10,000 คันต่อเดือนเลย
และด้วยความสำเร็จของ Renault Kwid ก็ทำให้ Renault เริ่มมีสูตรสำเร็จเป็นของตัวเอง
และมุ่งหน้าไปสู่การขยายแบรนด์ให้กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ยิ่งใหญ่อันดับ 3 ของตลาด
อินเดียต่อจาก Maruti-Suzuki และ Hyundai
Renault อินเดียวางแผนรุกตลาดอย่างหนักเพื่อเตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งเอสยูวี, มินิแวน
และครอสโอเวอร์ทุกปีอันเนื่องจากได้เพิ่มเม็ดเงินการลงทุนการวิจัยและพัฒนาให้ใหญ่โตขึ้น
, ลงทุนซื้อเครื่องจักรสายการผลิตเพิ่มและมุ่งหวังที่จะใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศครบ 100%
เพื่อนำพาแบรนด์ Renault ให้มียอดขายเป็นอันดับ 3 ของตลาดในระยะยาว
แหล่งข่าววงในที่รู้ซึ้งถึงแผนการในอนาคตกล่าวว่า ณ เวลานี้ Renault มีความมั่นใจใน
ตลาดอินเดียเป็นอย่างมาก เพราะตลาดอินเดียจะกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่เป็น
อันดับ 3 ของโลก ในอนาคต Renault ก็จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากรุ่นที่สร้างขึ้นบน
พื้นตัวถัง CMF-A
ภายในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2017 ก็จะแนะนำ Renault Kaptur ขนาดตัวถังใหญ่
กว่า Captur ในยุโรปที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง M0 Platform แบบเดียวกับรถยนต์ Dacia
Renault MPV-Crossover รหัสพัฒนา RBC คู่แข่ง Maruti-Suzuki Eritga สร้างขึ้น
บนพื้นตัวถัง CMF-A+ พื้นตัวถังที่ต่อยอดจาก CMF-A มาตรฐานรองรับการพัฒนารถยนต์
ขนาดใหญ่ขึ้นเตรียมเปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2018
Renault Duster ใหม่รหัสพัฒนา H79 Phrase3 สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง M0 Platform
คู่แข่ง Hyundai Creta เตรียมเปิดตัวในเดือนมิถุนายน-มิถุนายน 2019
Renault SUV รหัส HBC สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMF-A+ คู่แข่ง Maruti Suzuki Brezza
เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2019
Renault Compact Sedan รหัส LBC สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMF-A+ คู่แข่ง Honda Brio
Amaze เตรียมเปิดตัวภายในเดือนมิถุนายน 2020
ทั้งหมดนี้คือแผนการที่จะทำให้ Renault ครองความยิ่งใหญ่อันดับ 3 ในตลาดอินเดียในอนาคต
ที่มา : Economictimes