ภาพคันจริง Ford Ranger SUPER DUTY



Ford Ranger Super Duty ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นทั้งด้านมวลรวมของรถ หรือน้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุก (Gross Vehicle Mass – GVM) น้ำหนักรถสูงสุดรวมบรรทุกและลากจูง (Gross Combined Mass – GCM) รวมถึงความสามารถในการลากจูง และสมรรถนะออฟโรดที่สูงขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่มลูกค้าอาทิ หน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน เกษตรกร ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณูปโภค ป่าไม้ เหมืองแร่ ช่างเทคนิคด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อการทำงานด้านอื่นๆ
ตัวถัง มีให้เลือก 4 รูปแบบ ดังนี้
- Single Cab Chassis – ตอนเดียว กระบะพื้นเรียบ
- Super Cab Chassis – ตอนครึ่ง กระบะพื้นเรียบ
- Double Cab Chassis – 4 ประตู กระบะพื้นเรียบ
- Double Cab pick-up – 4 ประตู กระบะปกติ




อุปกรณ์มาตรฐานที่ออกแบบและติตดั้งมาเฉพาะ Ranger Super Duty มีดังนี้
- กระจังหน้า ดีไซน์เฉพาะ Super Duty ขยายช่องรับอากาศ
- กันชนหน้า ดีไซน์เฉพาะ Super Duty
- ชุดเสริมกันชนหน้า Bull Bar
- แผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ Pumped Guards
- ปีกนกบนและล่าง วัสดุอะลูมิเนียม
- แหนบแผ่นซ้อน Leaf Spring ออกแบบเฉพาะ Super Duty
- คิ้วซุ้มหล้อทรงเหลี่ยม ดีไซน์เฉพาะ Super Duty พร้อมไฟเลี้ยวด้านข้าง
- กระจกมองข้างขนาดใหญ่
- Snorkel ติดตั้งบริเวณแก้มด้านข้าง (ออกแบบร่วมกับ Safari)
- ล้ออัลลอย แบบ Off-road ซ่อนจุกลมยาง
- ยาง All-terrain ขนาด 33 นิ้ว
- น็อตล้อ 8 ตำแหน่ง
- ถังน้ำมัน ความจุ 130 ลิตร
- สัญลักษณ์ SUPER DUTY บริเวณคอนโซลหน้า



J!MMY Said
“Ford Ranger Super Duty ไม่ใช่รถกระบะโมดิฟายแบบปกติ แต่นี่คือการโมดิฟาย เพื่องานหนัก จากโรงงานแต่แรกโดยเฉพาะ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ Workhorse เพียวๆ มิติตัวรถโดยรวม มีความกว้างช่วงล่างล้อ (Front / Rear Track) เพิ่มขึ้น ความสูงตัวรถเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับ Ranger Raptor
เฟรมแชสซีส์ หน้าตาคล้ายเดิม แต่… ไม่เหมือนเดิม เพิ่มความหนา และเพิ่มความแข็งแกร่ง เพิ่ม Gross Vehicle Mass (GVM) หรือน้ำหนักรถรวมบรรทุก +1.3 ตัน จาก Ranger รุ่นมาตรฐาน มีการอัพเกรดระบบบกันสะเทือน โดยออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ปีกนกบน ปีกนกล่าง ตลอดจนเพิ่มความแข็งแรงของบุชชิ่งต่างๆ ออกแบบมาสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ไม่สามารถดัดแปลงใส่ในรุ่นปกติได้ นอกจากนี้ ช่วงล่างด้านหลังแบบ Leaf Spring หรือ แหนบแผ่นซ้อน ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ยาวขึ้น กว้างขึ้น หนาขึ้น ออกแบบมาเฉพาะรุ่น Super Duty เท่านั้น พร้อมติดตั้งดุมล้อใหม่ น็อตล้อ 8 ตัว”



ด้านเครื่องยนต์เครื่องยนต์ดีเซล V6 (60 องศา) DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 2,993 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร (Power Stroke) ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection ผ่านราง Common-rail กำลังอัด 16.0 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบล็อกเฟืองท้าย Dift Lock ที่ล้อคู่หลัง ขุมพลังเป็นแบบเดียวกับ Ranger V6 รุ่นปกติ แต่ปรับจูน Software ด้านการปล่อยมลพิษใหม่ พัฒนามาสำหรับกลุ่มรถบรรทุกไปเลย โดย Duty Cycle จะต่างจาก Ranger ปกติ การจำลองค่าความร้อน จะเป็นเกรดรถบรรทุก และมาตรฐาน Euro 6.2 Heavy Duty (Australia)
โดยรวม การออกแบบส่วนต่างๆ ของ Ford Ranger Super Duty ทีมวิศวกรพยามคงแคแรคเตอร์ Ranger ให้ได้มากสุด แต่กระเดียดไปทางรถบรรทุก”






Ford Ranger Super Duty มีแผนทำตลาดในหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศไทย ในปี 2026 รวมถึงจำหน่ายในตลาดอื่นๆ ผ่านโกลบอล ฟลีต โซลูชันส์ (Global Fleet Solutions) โดยมีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย นอกเหนือจะเป็นการขยายไลน์อัพของ Ranger ให้ครบครันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำว่า Ford จะยังคงลงทุนกับฐานการผลิต ณ โรงงาน AAT จังหวัดระยอง ต่อไปในอนาคต
สำหรับรายละเอียดและข้อมูลจำเพาะสำหรับตลาดประเทศไทย จะมีการประกาศในช่วงใกล้การเปิดตัว ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Ford Ranger Super Duty หรือช่องทางโซเชียลมีเดียของ Ford ประเทศไทย
———-//———-
ที่มา : Ford