MINI Cooper SE (EV : Electric 100%)
ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU)
- MINI Cooper SE 2,290,000 บาท
มาพร้อม MSI Standard รับประกันตัวรถ 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ฟรีค่าบำรุงรักษา MSI นาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร
โดยรายละเอียดของแต่ละ Package ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อเพิ่มได้ บวกจากราคาข้างต้น มีดังนี้
- MSI Plus : เพิ่ม MSI ฟรีค่าบำรุงรักษาเป็น 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร + 30,000 บาท
- Warranty Plus : เพิ่ม การรับประกันตัวรถเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง + 40,000 บาท
- MSI Ultimate : เพิ่ม ทั้ง 2 อย่าง (MSI ฟรีค่าบำรุงรักษา และ การรับประกันตัวรถ) +70,000 บาท
Dimension มิติตัวถัง
- ยาว : 3,845 มิลลิเมตร
- กว้าง : 1,727 มิลลิเมตร
- สูง : 1,432 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ wheelbase : 2,495 มิลลิเมตร
- ความจุที่เก็บสัมภาระด้านท้าย : 211 – 731 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)
Powertrain ขุมพลัง
ขุมพลังของ MINI Cooper SE ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ lithium-ion ความจุ 32.6 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 217 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC)
Charging การชาร์จไฟฟ้า
รองรับการชาร์จหลายรูปแบบ ทั้งไฟบ้าน AC และ สถานี DC Quick Charge สำหรับชาร์จแบบด่วน 10 – 80% ใช้เวลาประมาณ 28 นาที ช่องชาร์จไฟจะติดตั้งอยู่บริเวณเดียวกับฝาถังน้ำมันเดิมของ MINI รุ่นเครื่องยนต์ปกติ
ตัวเลขเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.3 วินาที
- Top Speed ความเร็วสูงสุด 150 km/h
การชาร์จไฟ
- ไฟฟ้า AC 2.1 kW (ปลั๊กไฟบ้าน) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 15 ชั่วโมง 30 นาที
- ไฟฟ้า AC 7.4 kW (Wallbox) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 4 ชั่วโมง 24 นาที
- ไฟฟ้า AC 11 kW (Charging Station) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 2 ชั่วโมง 54 นาที
- ไฟฟ้า DC 50 kW (Quick Charge) ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 80% ประมาณ 36 นาที
รายละเอียด Option เบื้องต้นของ MINI Cooper SE : EV 100% เวอร์ชั่นไทย
ระบบขับเคลื่อน Transmission & Technology
- มอเตอร์ไฟฟ้า 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร
- แบตเตอรี่ lithium-ion 12 modules ความจุ 32.6 kWh
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC
- โหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ
- Sport
- MID
- Green
- Green+
- แป้นคันเร่งแบบ One-Pedal Feeling
- ระบบจัดการพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ Regenerative Brake
- แผ่นปิดใต้ท้องรถตลอดทั้งคัน
- ไฟหน้า Adaptive LED Headlights
- ไฟส่องสว่าง MINI Logo Projection
- ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Corona Spoke (Electric Spoke)
- ยาง Runflat Tyres
Interior ภายในห้องโดยสาร
- ระบบ Comfort Access
- ปุ่ม Start / Stop System
- พวงมาลัย Multifunction หุ้มด้วยหนัง
- เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีดำ Carbon Black ลาย Double Stripe
- เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone
- หน้าจอมาตรวัด Digital ขนาด 5.5 นิ้ว ดีไซน์ Black Panel
- พรมพื้นรถ พร้อม MINI Electric Logo สีเหลือง
ระบบความบันเทิง Entertainment
- หน้าจอกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 6.5 นิ้ว
- ระบบนำทาง Navigation System
- ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
- ระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging
- หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-up Display
- รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play
- ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
- ช่องเชื่อมต่อ USB
- ระบบเชื่อมต่อ MINI Connected
- ระบบแสดงข้อมูลการจราจรแบบ Real-time
- บริการติดต่อผู้ช่วยส่วนตัว Concierge Service
- ระบบ Remote Service
- ระบบ Teleservice
- ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน Intelligent Emergency Call
ระบบความปลอดภัย Assistant & Safety
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control with braking function
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning
- พร้อมฟังก์ชั่นตรวจจับคนเดินถนน Pedestrian Detect
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC
- ระบบป้องกันการลื่นไถล ASC + T
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist
- ระบบควบคุมการขับขี่ DTC พร้อม Electronic Differential Lock Control (EDLC)
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- คู่หน้า
- ด้านข้าง
- ม่านนิรภัย
- เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง PDC
- กล้องมองภาพขณะถอยจอด
สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 1 สี
Body Paint
- สีขาวเงิน White Silver เฉพาะรุ่น Electric Cooper SE เท่านั้น
Roof
- สีดำเงา Jet Black
Grille and Mirror Caps
- สีเหลือง Energetic Yellow
MINI Cooper SE (Electric EV 100%) : 2,290,000 บาท
อัตราเร่ง Acceleration
- อัตราเร่ง 0 – 100 km/h : 7.32 วินาที
- อัตราเร่ง 80 – 120 km/h : 4.44 วินาที
Top Speed
- ความเร็วสูงสุด 155 km/h (locked)
MINI Cooper SE (Electric EV 100%) : 2,290,000 บาท
Short Review
MINI เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Full Electric EV 100% ครั้งแรกในโลกเมื่อเดือน กรกฎาคม 2019 โดยเป็นรุ่นแรกของค่าย มาในชื่อ ” MINI COOPER SE ” E ตัวหลังนั้นย่อมาจาก Electric นั่นเอง หรือ เรียกกันง่ายๆว่า MINI Electric จากนั้นมาเปิดตัวในไทย เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมา ด้วยราคา 2,290,000 บาท ถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปปกติ Hightrim ถึง 600,000 บาท ล็อตแรกเปิดรับจอง 25 คัน หมดในเวลาอันรวดเร็วไม่ถึง 1 นาที ตั้งแต่เริ่มเปิดรับจองทาง Online รวมถึงอุปกรณ์ติดรถที่พกพามาใน MINI Electric ถือว่าให้มาเต็มที่ เยอะกว่าปกติทั่วไปในราคาที่ถูกกว่า
ชุดมาตรวัดแบบ Full Digital ถูกใช้กับ MINI Electric เป็นครั้งแรก พร้อมเสียงสตาร์ทระบบแบบอวกาศสุดๆ พร้อมระบบ Comfort Access, ลำโพง Harman Kardon เสียดายที่ไม่มีหลังคากระจก Panoramic Sunroof มาให้
การชาร์จไฟ
- ไฟฟ้า AC 2.1 kW (ปลั๊กไฟบ้าน) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 15 ชั่วโมง 30 นาที
- ไฟฟ้า AC 7.4 kW (Wallbox) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 4 ชั่วโมง 24 นาที
- ไฟฟ้า AC 11 kW (Charging Station) ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 2 ชั่วโมง 54 นาที
- ไฟฟ้า DC 50 kW (Quick Charge) ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 80% ประมาณ 36 นาที
ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟ
คำนวณค่าไฟฟ้า จากการชาร์จไฟฟ้า 0-100% 1 ครั้ง โดย www.headlightmag.com
- ช่วงเวลา Off Peak หน่วยละ 2.6369 บาท (22.00 – 08.59น.)
- ช่วงเวลา Peak หน่วยละ 5.7982 บาท (09.00 – 21.59น.)
- ค่าไฟฟ้าต่อการชาร์จเต็มจาก 0-100% : 85 – 188 บาท/ครั้ง
- ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ระยะทางประมาณ : 160 กิโลเมตร (จากการใช้งานจริงในกรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย)
- ค่าใช้จ่ายต่อการเดินทางโดยประมาณ 0.53 – 1.17 บาท/กิโลเมตร* (*ขึ้นอยู่กับประเภท และ อัตราค่าไฟฟ้าของแต่ละบ้าน)
ประหยัดค่าชาร์จไฟง่ายๆ สามารถเสียบปลั๊กทิ้งไว้ ตั้งเวลาชาร์จจาก Application ” MINI Connected ” ได้ทั้ง iOS และ Android ช่วงเวลา Off Peak ก็จะประหยัดค่าชาร์จไฟได้เกินครึ่งเลยล่ะครับ หรือ ไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าก่อนเข้าบ้าน ชาร์จ 11kW แปปเดียวก็เต็มแล้วล่ะครับ หลายที่ชาร์จฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
ตัว Application สามารถสั่งล็อค-ปลดล็อครถ, บีบแตร, เปิด-ปิดไฟหน้า, ดูการชาร์จ, สั่งเวลาเริ่มชาร์จ, ระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่, สถานะของรถว่าลืมปิดประตู กระจก หรือไม่ และ ตำแหน่งของรถในปัจจุบัน ว่าอยู่ตรงไหนได้เลย
MINI Cooper S Hightrim น้ำหนักตัวอยู่ที่ 1,280 กิโลกรัม ส่วน MINI Electric อยู่ที่ประมาณ 1,440 กิโลกรัม น้ำหนักตัวที่เพิ่มมาร้อยกว่าโล มาจากแบตเตอรี่ที่ติดตั้งเพิ่มที่พื้นรถ ทำให้ฟีลลิ่งของช่วงล่างมีความต่างจาก MINI รุ่นปกติอยู่ ตัวรถจะโยนตัวกว่ากันอยู่ประมาณนึง ใครขับ MINI บ่อยๆ จับอาการได้ทันทีเวลามุด เวลาหักเปลี่ยนเลนแบบรวดเร็ว แต่โดยรวมก็ยังให้ความมั่นใจ และ ขับสนุก สไตล์มินิเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นความคมของพวงมาลัย หรือ ความนิ่งเมื่ออยู่ในความเร็วสูง
ในรุ่นเครื่องยนต์สันดาปปกติ อัตราเร่ง MINI Cooper S Hatch 3 Doors Hightrim ที่ใช้ตัวถังเดียวกัน กับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 TwinPower Turbo 192 แรงม้า ได้อัตราเร่ง 0-100 km/h : 7.30 วินาที และ อัตราเร่งแซง 80-120 km/h : 5.31 วินาที เมื่อเทียบกับ MINI Electric Cooper SE ที่ได้ตัวเลข 0-100 km/h : 7.32 วินาที และ 80-120 km/h : 4.44 วินาที จะเห็นได้ว่าช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ไม่ต่างจากรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เลย แถมยังตรงกับตัวเลขที่โรงงานเคลมพอดี
แต่…ความสนุกของ Electric Cooper SE อยู่ที่ช่วงเร่งแซง มันพุ่งแบบไม่มีการรอรอบ หรือ รอจังหวะใดใดทั้งสิ้น เหยียบเท่าไหร่ พุ่งเท่านั้น กดปุ๊ป วาร์ปทันที ตัวเลขอัตราเร่งแซง 80-120 km/h : 4.4 วินาที เราจะได้จากรถคันไหนบ้าง ครับ…MINI Electric ทำอัตราเร่งแซงได้ไวกว่า MUSTANG EcoBoost 300 แรงม้า (4.68 วินาที) อยู่เล็กน้อย นี่แหละครับ…พลังของมอเตอร์ไฟฟ้า แม้จะมีเรี่ยวแรงแค่ 184 แรงม้า แต่ทำตัวเลขได้ดีขนาดนี้ เป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่ง แม้ทางด้านความรู้สึก หรือ อารมณ์จะให้ไม่ได้แบบที่เครื่องยนต์สันดาปปกติทำไว้ แต่ได้ความกระชากทันทีเมื่อกดคันเร่งมาแทน
เหนือสิ่งอื่นใด ความพิเศษของเจ้า MINI Electric คันนี้ คือ คันเร่งไฟฟ้า แบบ e-pedal ที่สามารถปรับความหน่วงของระบบ Re-generative Braking (Recuperation) ได้ 2 ระดับ หน่วงมาก หรือ หน่วงน้อย ทำให้เวลาขับทางไกล ปล่อยเท้าจากคันเร่ง รถก็จะหน่วงเสมือนการเหยียบเบรก ทำให้เราไม่ต้องสลับเท้าไปมา แถมยังชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้อีกด้วย หรือ หากขับในเมืองก็หน่วงน้อยลง จนเราแทบไม่ต้องใช้แป้นเบรกเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แป้นเบรกก็ยังสามารถใช้การได้ปกตินะครับ
และ เมื่อเราปล่อยเท้าจากเบรก ผมลองสังเกตดูแล้วจากไฟสะท้อนจากกระจกมองหลัง พบว่า เมื่อปล่อยเท้าจากคันเร่ง ไฟเบรกจะติดใน ” ทันที ” ปลอดภัยหายห่วง ไม่ต้องกลัวรถด้านหลังจะไม่รู้ว่าเราเบรก แล้วเกิดอุบัติเหตุได้ ไม่เหมือนในบางรุ่นที่ไฟเบรกติดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการหน่วง
ความสนุกทั้งหมดอาจจะหายไป ถ้าคุณต้องใช้เจ้ารถคันนี้ในระยะทางไกล เนื่องจาก Range หรือ ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จไฟเต็ม 100% ทำได้อยู่ราวๆ 160 กิโลเมตร เท่านั้น ระยะทางนี้วิ่งไกลได้แค่ไหน ก็ประมาณ กรุงเทพฯ-พัทยา ขาเดียวเท่านั้น และ รถจะต้องไม่ติดแบบช่วงเทศกาลด้วยนะครับ ไม่งั้นอาจมีลุ้นไฟหมดก่อนถึงจุดหมายได้
สิ่งที่ทำให้ความสนุกถดถอยลงไป คงเป็นความรู้สึก PANIC ต่อระยะทางวิ่งที่เจ้าคันนี้ทำได้ มันน้อยไปหน่อย จนเราเกิดอาการวิตกกังวล ไม่มาใช้งานจริง ไม่รู้หรอกครับ ว่ามันค่อนข้างเกิดอาการเครียดนะ ฮ่าๆๆ แต่ถ้าส่วนใหญ่เราใช้แต่ในเมืองก็ไม่ต้องกังวลมากนักครับ ยังไงก็เพียงพอ เพียงแต่ผมต้องขับไปกลับ พัฒนาการ-ราชพฤกษ์-พัฒนาการ ทุกวัน 80+ กิโลเมตร แถมยังรถติดเกือบตลอดเส้นทางด้วย พอเห็นตัวเลขแบตเตอรี่ที่ลดลงเรื่อยๆ ก็กังวลแล้วล่ะครับ
โหมดการขับขี่มีให้เลือก 4 โหมด
- Green+ วิ่งได้ระยะทางมากที่สุด แต่ระบบปรับอากาศปรับได้แต่ความแรงพัดลมเท่านั้น ไม่สามารถเพิ่ม-ลด อุณหภูมิได้
- Green
- Normal
- Sport
การเลือกโหมดก็มีผลต่อระยะทางวิ่งด้วยเช่นกัน รวมไปถึงเปิด-ปิดแอร์ ความแรงของพัดลมแอร์ อุณหภูมิที่ตั้งไว้ ล้วนมีผลต่อระยะทางวิ่งหรือ Range ทั้งหมด ! ยิ่งปรับแอร์เย็นมาก หรือ พัดลมแอร์แรง ก็ลดระยะทางวิ่งให้น้อยลง
สุดท้ายมองที่ราคาค่าตัว 2,290,000 บาท แม้จะวิ่งได้ระยะทางน้อยไปหน่อย แต่ค่าตัวที่ถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาป ถึง 600,000 บาท แต่ได้อุปกรณ์เท่ากัน หรือ บางรายการมากกว่า บวกกับอัตราเร่งที่ทำได้เทียบเท่ากัน แถมเร่งแซงยังทำได้ไวกว่า ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้ามองรถคันนี้เป็นคันที่ 2 หรือ 3 4 5 ของบ้าน แล้วใช้วิ่งไม่ไกล แค่ในเมืองเท่านั้น ก็ได้รถที่ขับสนุก คุ้มราคาค่าตัว
…แต่ถ้าใครใช้วิ่งระยะทางต่อวันเยอะหน่อยต่อวัน อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก แต่ถ้าใช้ขับไปไหนมาไหนแค่ในเมือง ไร้มลพิษ ขับสนุก อัตราเร่งติดวาร์ป มุดมันส์ เป็นรถคันที่ 2 3 4 5 ของบ้าน ต้องคันนี้เลยครับ MINI Cooper SE
แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >> community.headlightmag.com/78213.0