ผมเป็นเจ้าของ Mazda 2 มานานแล้วละครับ
ซื้อมาได้ ปีกว่าๆ แล้วละ

ถามว่าขับดีไหม คงตอบไม่ได้
เพราะทุกวันนี้ หน้าที่ของมันอย่างเดียวก็คือ
จอดดมฝุ่นอยู่บนหัวเตียงนอนที่บ้าน….

ผมได้แต่เฝ้ามองรถเด็กเล่นคันสีเขียวนี้ มานานแล้วละครับ
เปล่านะ ไม่ใช่เฝ้ารดน้ำพรวนดิน ให้กินปุ๋ย หรือเอานมตรามะลิให้มันกิน
หวังรอให้มันเติบโตขึ้นเป็นคันจริง แต่อย่างใด

แต่ที่รอหนะ ผมรอวันนี้ มาถึงซะทีต่างหาก!

วันที่รถเล็กๆ คันนี้จะทำหน้าที่ของมันซะที…

วันนี้ 17 พฤศจิกายน 2009
ห้องคอนเวนชันเซ็นเตอร์ โรงแรม Centara ที่ Central World

วันที่ มาสด้า เขาพร้อม (ซะที) ที่จะเริ่มเปิดตัว เวอร์ชันขับได้จริงๆ
ของเจ้าคันสีเขียวข้างบนเนี้ย…ออกสู่สาธารณชนกันเสียที

เปิดตัวกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ยาวนานยืดเยื้อเอื่อยเฉื่อย
จนแทบจะหลับฟุบ คาโต๊ะที่นั่ง นั่นเอง

ธรรมดาของ คนญี่ปุ่น ที่มาสด้า มักจะชอบ พูดบรรยาย ถึงคุณงามความดี
ที่รถยนต์ซึ่งพวกตนทำ มันมีมาให้ พูดเจื้อแจ้ว ไปเรื่อยเปื่อย
พรีเซ็นเตชัน ยาวเฟื้อย นานจน บินไปกลับเทพ-เชียงใหม่ ได้รอบนึงพอดี!!!

โดยเฉพาะ ช่วงบรรยาย งานออกแบบ ซึ่ง อันที่จริง เป็น Session ที่น่าสนใจที่สุด
แต่กลับ..น่าเบื่อที่สุด เพราะ ท่านเจ้าประคุณ นักออกแบบ ของมาสด้า
เป็นนักออแบบที่มีฝีมือเจ๋งมาก แต่ การบรรยาย ห่วยมาก!

และในที่สุดหน้าที่ของ เจ้ารถเล็กๆ คันที่ว่า
ก็ได้สำเร็จผล สมดังใจคิดเอาไว้ ทุกประการ….

ก็คือ การเป็น พร็อพ ประกอบฉาก ให้กับ รูปข้างล่างนี้ นั่นละครับ…

เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ หรือ เป้ วงเสลอ ผู้ซึ่งไปๆมาๆ ดังกว่า วงดนตรีที่เขาทำไปแล้วละ

เหตุผลที่ พี่ซู (คุณสุรีย์ทิพย์ ละอองทอง) ผู้บริหารของมาสด้า ให้เหตุผลในการเลือก
น้องเป้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ในครั้งนี้เอาไว้ มีอยู้ว่า

“ในเมื่อ เป็นครั้งแรก ที่มาสด้า เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ ดังนั้น คนคนนั้น บุคลิกของเขา
กับบุกคลิกของรถ จะต้องตรงกัน เราไม่ต้องการเอาใครที่ไหนก็ได้ มายัดเยียดตัวตน
ที่ไม่ใช่เขา เข้าไป และเป้ เอง อายุก็ฉิวเฉียดกลุ่มเป้าหมายของเราพอดี (ถ้าเป้ อายุ
เกิน 25 ปี ไป ก็ต้องหลุดไปอย่างน่าเสียดาย)  และจากเท่าที่เราดูมา เป้ เนี่ยแหละ
ที่มีบุคลิกตรงกับรถของเรามากที่สุด ตั้งแต่เริ่มต้น”

คุณๆ คงได้เห็นภาพยนตร์โฆษณา ชุดดังกล่าวแล้วนะครับ
อันที่จริง หนึ่งในทีมงานทำโฆษณาชิ้นนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล
เป็นพี่ชายรอบข้างผม ใน MazdaClub.net อีกนั่นแหละ

นี่แหละ ต้องให้คนที่ใช้รถยี่ห้อนั้นๆ มาทำโฆษณาให้ มันก็จะออกมา ลงตัว
และสอดคล้องกับบุคลิกของรถ และบุคลิกของแบรนด์ได้ดีอย่างนี้หนะแหละ!

งานนี้ ไม่ใช่แค่มายืนเต๊ะท่าข้างรถ เฉยๆ แต่ เป้ ยังมีโชว์ลวดลายโซโลกีตาร์ด้วย

และ ที่เรียกว่า เป็นช็อตเด็ด จนเล่นเอาผม กับเจ้า HOMY DEMIO ที่ไปงานนี้เหมือนกัน
ตาค้างไปเลย ก็คือ การจับเอา “ก้อย รัชวิน” นักร้องสาวเสียงใส ผู้เคยเป็นหวานใจของ เป้
มาร่วมเดินอยู่บนเวที ในงานเดียวกันอีกต่างหาก!!!!!!!!

ยังไม่พอ…มี สาวๆ เดินเคียงข้างออกมาอีก 3 คน
และหนึ่งในนั้นคือ “คริส หอวัง” ! จากภาพยนตร์เรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ”
มาร่วมเดินแบบ อีกด้วย!!!

งานนี้ คงได้กลายเป็น “รถมาสด้า มาหานะเธอ” สมดังใจ พวกทีมการตลาดเขาแล้วละ!

แต่ เดินแบบโชว์ หนะ มันธรรมดาไป ยังมีช่วงสัมภาษณ์ ให้เห็นกันอีกด้วย
เรียกว่า คราวนี้ กะสร้างกระแสให้ดัง ลามทุ่งไปยังวงการบันเทิง เลยทีเดียว!!!!

อย่างว่าแหละครับ ตลาดรถยนต์ ระดับ ซับ-คอมแพกต์ หรือ B-Segment นั้น มันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2008 ที่ผ่านมา ขายกันมากถึง 104,459 คัน แบ่งเป็น Toyota 56,803 คัน Honda 43,297 คัน
และ Chevrolet 4,399 คัน

ส่วนปี 2009 ตั้งแต่เปิดมา จนถึงเดือนกันยายน ยอดขายของรถในกลุ่มนี้
Toyota อย่างเดียว กวาดไป 39,813 คัน โดย Honda เริ่มตามไล่บี้ติดกระชั้นชิดมากขึ้น เป็น 36,434 คัน
แต่ Chevrolet ยอดขายลดฮวบหลังจากเจอสารพัดปัญหารุมเร้า หล่นเหลือเพียง 1,900 คัน

และยิ่งเมื่อแยกออกมา มองกันเฉพาะ กลุ่ม ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก อย่างเดียวแล้ว
ปี 2006 Toyota Yaris ขายได้ 18,466 คัน ส่วน Honda Jazz ขายได้ 15,457 คัน
ปี 2007 Toyota Yaris ขายได้ 9,926 คัน ส่วน Honda Jazz ตีคู่ไล่บี้กันมาเป็น 9,837 คัน
แต่พอเป็นปี 2008 ตัวเลขมันสลับกัน Honda Jazz เปลี่ยนโฉมใหม่ ขายพุ่งแซงขึ้นไป
เป็น 18,365 คัน ส่วน Yaris ขายลดลงเหลือ 11,499 คัน และเมื่อมาถึง 9 เดือนแรก
ของปี 2009 นี้ Honda Jazz ขายดี ถึง 12,254 คัน ทิ้งห่างออกจาก Yaris 6,276 คัน
ไปห่างกัน 1 เท่าตัว!!

สำหรับมาสด้า แล้ว ตลาด B-Segment คือสิ่งที่พวกเขา “เงื้อเพ่งเตรียมเล็งยิง” กันมานานมากกกกกกกก
แม้ว่า ก่อนหน้านี้ ในอดีต มาสด้า จะมี รถยนต์ระดับราคาถูกกว่า ตระกูล Familia/323 หรือ Mazda 3
แต่ครั้งนั้น ถือเป็นการ นถรถยนต์ คอมแพกต์ รุ่นโบราณกาล มาดัดแปลงเป็นตัวถังแบบ รถกระบะ
แล้วทำขายในราคาถูก แต่นั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็นรถยนต์ ซับ-คอมแพกต์ แต่อย่างใด

พอในญี่ปุ่น เปิดตัว Mazda DEMIO หรือ Mazda 2 ออกสู่ตลาดโลก บ้านเราก็อยากได้
มาประกอบขายกันบ้าง แต่กว่าที่ ทางญี่ปุ่น ฝั่งฮิโรชิมา จะพร้อม ก็ต้องรอตั้งไลน์ผลิต
สร้างส่วนต่อขยายของ โรงงาน Auto Alliance Thailand กันก่อน

เมื่อโรงงานเพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อ 13 กรกฎาคม 2009 และรถยนต์ คันแรก
Job 1 ก็ทำคลอดออกมาเมื่อ 8 ตุลาคม 2009 ที่ผ่านมา ก็ต้องใช้เวลารวมแล้ว 3 เดือน
ดังนั้น กว่า Mazda 2 จะเริ่มทำตลาดกันได้ ก็ ตอนนี้นั่นละครับ นานไปหน่อย

เมื่อนานขนาดนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ เอารุ่น ปรับโฉม Minorchange เข้ามาเปิดตัวเลยดีกว่า

งานนี้ มาสด้าตัดสินใจถูก ที่นำรุ่นปรับโฉม Minorchange มาขึ้นสายประกอบที่โรงงาน Auto Alliance Thailand
จังหวัดระยอง เพื่อจะเปิดตัว ในเมืองไทย เป็น “ประเทศแรกในโลก” และถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรก
ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์เมืองไทย ที่ตัดสินใจ นำรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มาขึ้นสายการประกอบ
แล้วเปิดตัว ก่อนประเทศใดในโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศแม่ของตน คือ ญี่ปุ่น…

สิ่งที่คุณจะได้เห็นต่อจากนี้ไปคือ การทุ่มลงโฆษณา ซื้อพื้นที่สื่อ อย่างมโหฬารที่สุดใประวัติศาสตร์
ของมาสด้า เท่าที่ผมเคยเห็นมา ในสยามประเทศ กันเลยทีเดียว เพื่อให้ “สีเขียว เต็มเมือง”

(จนเริ่มรู้สึกว่า ถ้าจะไปผูกกับ ธนาคารกสิกรไทยด้วย…คงจะยิ่งสนุกกันเข้าไปใหญ่! สีเขียวเหมือนกันเลยนี่!)

งานนี้ ไม่ใช่การเดิมพัน ว่า มาสด้าจะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ผลิตลำดับต้นๆ Top 5 ของประเทศเราได้หรือไม่
แต่อย่างใด ทว่า…นี่คือ…การเริ่มต้น ของแผนบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างยั่งยืน ในแบบ Sustainable Zoom Zoom
ที่มาสด้าประกาศเอาไว้ในเมืองไทย เมื่อ ปีก่อนๆ

และ ดูเหมือนว่า แผนทั้งหมดนี้ เป็น แผนพิฆาต Yaris !
เพราะมาสด้า หมายมั่นปั้นมือว่า “จะขอเป็นอันดับ 2 ในตลาด ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็กให้ได้!”

เอาแล้วไง ทีมการตลาด Toyota งานเข้าซะแล้วละครับ…แถม แค่ แคมเปญ กระตุ้นยอดขาย Yaris อย่างเดียว ดูท่าไม่พอซะแล้วด้วยสิ!

ถึงจะปล่อยให้รอนาน แต่เท่าที่กางแค็ตตาล็อก ดู รายละเอียด และอุปกรณ์ รวมทั้ง ทางเลือกในแต่ละรุ่นย่อยแล้ว
ต้องยอมรับกันเลยว่า คราวนี้ มาสด้า ทำการบ้านมาค่อนข้างดีมากกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ

เรียกได้ว่า ขอชมเชยฝ่าย Product Planning กันเลยทีเดียว! วางหมาก วางเกม อัดออพชัน ครบจนล้นพิกัด!!

มิติตัวถังของ Mazda 2 เวอร์ชันไทยนั้น หากเป็นรุ่น Groove Sport อันเป็นรุ่นพื้นฐาน จะยาว 3,903 มิลลิเมตร
แต่ถ้าเป็นรุ่น Spirit Sport และ Maxx Sport ซึ่งจะมีชุดแอโรพาร์ต แถมมาให้รอบคัน (ไม่รู้จะตั้งชื่อรุ่นย่อยให้จำยากๆ
กันไปทำไมเนี่ย? หา?) จะยาวเพิ่มขึ้นอีก 10 มิลลิเมตร (จากความยาวของสปอยเลอร์ใต้กันชนหน้า หรือลิ้นหน้า)
เป็น 3,913 มิลิลเมตร ขณะเดียวกัน ความสูงของรุ่น Groove จะ อยู่ที่ 1,485 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น Spirit และ Maxx
จะเตี้ยลงไป นิดนึง เหลือ 1,478 มิลลิเมตร  นอกนั้น สัดส่วนที่เหลือ เท่ากันหมด ทั้งความกว้าง 1,695 มิลลิเมตร
และระยะฐานล้อ 2,490 มิลลิเมตร

อุปกรณ์ ที่อัดแน่น มาในแต่ละรุ่น ที่แตกต่างกัน ทำให้ น้ำหนักรวมของแต่ละรุ่น ก็แตกต่างกันไปด้วย รุ่น Groove
เบาเพียง 1,016 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Groove เกียร์อัตโนมัติ หนักเพิ่มเป็น 1,043 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Spirit หนักขึ้นอีก
เป็น 1,052 กิโลกรัม และ รุ่น Maxx 1,060 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นน้ำหนักรถเปล่า ที่ค่อนข้างเบา ด้วยความพยายามของ
ทีมวิศวกรที่จะใช้ แนวทาง Gram Strategies หรือแนวทางการเฉือนน้ำหนักส่วนเกินออก เป็น กรัมๆ ไปเลย!!
แนวทางนี้ เคยใช้สำเร็จมาแล้วใน Mazda MX-5 รุ่นที่คุณๆ เพิ่งอ่านรีวิวกันไปเมื่อไม่นานมานี้ มาสด้าเลยคิดว่า
จะลองต่อยอดเทคโนโลยี และวิธีการนี้ ไปยังรถรุ่นอื่นๆของตนด้วย ซึ่งหวยก็ มาตกอยู่ที่ มาสด้า 2 ที่จะต้อง
โดนวิธีนี้ ก่อนใครเพิ่อนเขาเลย

เมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ ทางเข้าออกนั้น กว้างพอ และไม่ได้ต่างอะไรกันกับ
บรรดา ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก ของคู่แข่งแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ วัสดุ ของรถที่ขายในเมืองไทย และรถที่ขายในญี่ปุ่น

ในเมื่อ ผมจำได้แม่นเลยว่า เคยตำหนิติติง ว่า วัสดุที่ใช้ในห้องโดยสารของ Demio
เวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น มันดูไม่น่าใช้เท่าใดเลย มาคราวนี้ จึงมีการปรับปรุงคุณภาพของ
ชิ้นงานพลาสติก ที่จะต้องเจอกับผู้คน มากมาย ให้มีผิวสัมผัส และโทนสี ที่ดีขึ้น

แต่ยังคงรูปร่างหน้าตา เดิม เมื่อรวมกับช่องแอร์แบบ…..เฮ้อ…..Micky Mouse…!

สวิชต์เครื่องปรับอากาศนั้น ยังคงเป็นแบบ อัตโนมือ (บิดเอาเอง) หน้าตาของมัน
แม้จะเหมือน สวิชต์ มือบิดเครื่องซักผ้า แต่ทว่า ก็ยังเป็นเครื่องซักผ้าแบบ Electrolux
ไม่ใช่แบบ เครื่องซักผ้ารุ่น รักเมีย ตรานกยูง หรือ หน้าตา เหมือน สวิชต์ เตาแก้ส ลัคกี้เฟรม
แบบ Honda FREED เวอร์ชัน อินโดนีเซีย

เบาะนั่งคู่หน้าหนะ นั่งสบายดีกว่าที่คิด และ เบาะรองนั่งนั้น สำหรับผม ยาวมาเกือบถึงข้อพับขา
เบาะคนขับ สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ได้มาก และเมื่อปรับลงสู่ตำแหน่งต่ำสุด ตำแหน่งนั่งของคนขับ
จะอยู่ในระดับต่ำกว่า ทั้ง Jazz และ Yaris ซึ่ง ก็จะตรงกับแนวคิด การทำรถยนต์สปอร์ต (คือ ที่นั่งควรจะใกล้กับ
พื้นถนน ในระดับที่เหมาะสม ไม่ใช่สูง เห็นทางง่าย เพียงอย่างเดียว เหมือนรถยนต์รุ่นใหม่ๆสมัยนี้หลายๆรุ่น)
ผ้าเบาะ ทำออกมาได้ดี และ ไม่ได้แตกต่างจากรถสมัยนี้แต่อย่างใด? เป็นผ้าในแนวสาก น่าจะไม่เก็บฝุ่นมากนัก

พื้นที่เหนือศีรษะ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เอา 1 ฝ่ามือ สอดเข้าไปได้ สบายๆ

แต่เสียดาย ไม่มีรุ่นใดเลย ที่จะให้ ที่วางแขน สำหรับคนขับ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน…..อันนี้ น่าปรับปรุง
ด้วยการเพิ่มออพชัน ให้ลูกค้าซื้อเพิ่ม หรือ เป็นของแถมให้ลูกค้า ผ่านทางพนักงานขายในแต่ละโชว์รูม แทน
เป็นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด ครับ

ส่วนประตูคู่หลังนั้น เปิดกางออกได้กว้าง ก็จริง แต่กรอบประตู ค่อนข้างเล็กกว่า ทั้ง Yaris และ Swift
และ การเข้าออกจากเบาะหลังนั้น สำหรับผมแล้ว ยังถือว่า ค่อนข้างอึดอัด

สำหรับเบาะหลังแล้ว ถ้าใครคิดว่า เบาะแถวหลังของ Yaris นั้นเล็ก แข็ง และคับแคบละก็
Mazda 2 จะต่างกันตรงที่เบาะนั่งด้านหลัง นั่งสบายกว่า แต่บรรยากาศโดยรอบตำแหน่งนั่งด้านหลังนั้น
ไม่ถึงกับน่าประทับใจ พื้นที่วางขามีเหลือค่อนข้างน้อย และนั่งไม่ค่อยสบายเหมือนรุ่นเดิม…..
การเข้าออกทำได้ไม่ดีเท่ารุ่นเดิม ซึ่งอเนกประสงค์มากกว่า

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ว่าป็นอย่างไร…

มองหา เป้ อารักษ์ เจ้าตัวก็ โดนนักข่าวสายบันเทิงซักไซ้ไล่เรียงอยู่

เอา ป้อม อาละวาด มานั่งให้ดูแทนกันไปก่อนก็แล้วกัน…..

สรุปในประเด็นนี้ Mazda 2 จะยังด้อยกว่าคู่แข่ง อย่าง Honda Jazz ในเรื่อง
พื้นที่นั่งด้านหลัง ที่อึดอัดแน่ๆ ถ้าคุณรับได้ และนานทีปีหน จะมี คน มาร่วมเดินทางไปกับคุณด้วย
และเดินทางในระยะแค่ จากบ้าน บางนา ไปปากน้ำ ไม่ได้ไกลถึงปากน้ำโพธิ์

หรือถ้าคุณเป็น หนุ่มสาวออฟฟิศ ที่อยากจะหาทางหลีกเลี่ยง ยัยฮิปโปประจำแผนก
ที่อยากจะขอติดรถกลับบ้าน เป็นประจำ ไล่โดยอ้อม ก็ไม่ยอมไปซะที

พื้นที่โดยสาร ด้านหลังของ Mazda 2 เหมาะกับคุณแน่ครับ เพราะยัยฮิปโป คัพ E (Elephant) นั้น
ไม่น่าจะยัดสรีร่างย่างกรายเข้าไปนั่งเบาะหลังรถคันนี้ ได้ง่ายดายแน่ๆ

เบาะหลัง แบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60:40 “ทุกรุ่นย่อย” แถมฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ยังเป็นแบบสวิชต์ไฟฟ้า
ถ้าคุณ กดปุ่มปลดล็อก แล้ว ยังไม่ยนกประตูขึ้นใน 3 วินาที กลอนจะล็อกกลับเองโดยอัตโนมัติ และบานประตูก็ยกขึ้นไม่ยากเย็น
ถ้าจะปิดลงมา ก็แค่กดประตูลงมา แล้วปล่อยมือออกไปเลย บานประตูหลังจะปิดลงไปสนิทพอดีกับจังหวะที่คุณถอนมือออกมา
อย่าคาดหวังว่า พื้นที่ห้องเก็บของจะเยอะแยะเหมือน Honda Jazz ยังไง Mazda 2 ก็สู้ไม่ได้เลย แต่ถ้าเปรียบกับ Yaris แล้วละก็

Mazda เขาเชื่อว่า พื้นที่ของเขาเยอะกว่าครับ

เรื่องที่ถือว่า มาสด้า กล้าเล่นท้าชนคู่แข่งเขาไปทั่วนั้น ก็คือ การติดตั้งถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก
ABS 4 Sensor และ ระบบกระจายแรงเบรก EBD มาให้ ครบทุกรุ่นย่อย ตั้งแต่รุ่นเกียร์ธรรมดา ขึ้นไปรุ่นบนสุดกันเลยทีเดียว!!!
นับว่าเป็นเรื่อง กล้า มาก ที่ทำเช่นนี้ เพราะแทบไม่ค่อยมีใคร ติดตั้งถุงลมนิรภัย มาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุดกันเลย
นับว่างานนี้ ถล่มระเบิดใส่รถยนต์ทุกค่าย ทั้งในระดับเดียวกัน และในระดับที่สูงกว่า ขึ้นไปด้วย และเชื่อแน่ว่า
จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการนี้ ที่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นล่าง หรือรุ่นท็อป คุณจะต้องมี ถุงลมนิรภัยมาให้อย่างน้อย
1 ใบ ที่ฝั่งคนขับ

แต่ ในรุ่น Sprit กับ Maxx อันเป็นรุ่น รองท็อป และรุ่นท็อป จะมีถุงลมนิรภัยมาให้ รวม 2 ใบ
Dual Airbag

และยังไม่นับรวม อุปกรณ์ต่างๆข้างล่างเหล่านี้ ที่มีมาให้ครบถ้วนทุกรุ่น ทั้ง เข็มขัดนิรภัยเบาะคู่หน้า
แบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pre-tensioner & Load Limiter) โดย เข็มขัดนิรภัยเบาะคู่หน้า
เป็นแบบ 3 จุด ELR 2 ตำแหน่ง ปรับระดับสูง-ต่ำได้ ส่วนเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังเป็นแบบ  3 จุด ELR
2 ตำแหน่ง ซ้าย-ขวา และแบบ 2 จุด 1 ตำแหน่ง ตรงกลาง ติดตั้งเข้ากับ โครงสร้างตัวถัง Triple-H
และโครงสร้างนิรภัย MAIDAS มีคานเหล็กนิรภัยด้านหน้า จุดยึดเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กแบบ
ISOFIX และ ไฟเบรคดวงที่ 3

ดีครับ ทำแบบนี้ ดูเหมือน ฝ่าย Product Planning เขาจะมองเอาไว้ว่า “ในเมื่อ จะต้องปิดตัวรถรุ่นใหม่
ให้มีกระแสที่ร้อนแรง ทั้งที ก็ควรจะมีอุปกรณ์ มาให้ครบ ตั้งแต่แรกไปเลย ลูกค้าจะได้ เกิดความรู้สึกคุ้มค่า
ว่าฉันซื้อรถมาแล้ว ฉันได้ ในสิ่งที่ควรจะได้ครบถ้วน เท่าที่ฉันมีกำลังเงินจะจ่าย”

มีเพียง กุญแจ Immobilizer และ สัญญาณกันขโมย เท่านั้น ที่จะมีมาให้ เฉพาะในรุ่น Sprit และ รุ่น Maxx
โดยไม่มีในรุ่นล่าสุด หรือรุ่น Groove

แต่ไหนๆก็ไหน แล้ว กล้าให้ แอร์แบ็ก มา 1 ใบ แถมยังให้ ABS + EBD มาครบทุกรุ่นแล้ว แต่ทำไม รุ่น Spirit
หรือรุ่น Maxx กลับไม่มี ดิสก์เบรก 4 ล้อ มาให้สักหน่อย เลยเชียวหรือ ต้นทุนหนะเท่าไหร่กันเชียว?
ถูกกว่าแอร์แบ็กลูกเดียวนั่นตั้งเยอะแยะ อย่างน้อย รุ่น Spirit กับ Maxx ติดมาให้ สักหน่อย ก็ยังดี
ไม่ต้องติดในรุ่น Groove ก็ได้ ถ้ากลัวว่าจะทำราคาขายปลีกลำบากนักละก็

เครื่องยนต์ ของ Mazda 2 นั้น หน้าตาคุ้นๆ ว่าเคยเห็นอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าของ Mazda 3 รุ่น 1.6 ลิตร
แต่เปล่าเลย เป็นคนละขุมพลังกัน เพราะใน Mazda 2 นั้น เป็นเครื่องยนต์ ตะรกูล MZR ก็จริง
แต่เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว S-VT

ตัวเลขพละกำลังสูงสุด ที่ยืนยันในขั้นสุดท้ายก่อนออกสู่ตลาดจริง อยู่ที่ 103 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร หรือ 13.75 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
เห็นตัวเลขแล้ว โหงวเฮ้ง มันไม่ดี
ไปกว่าทั้ง Toyota  และ Honda เลยแหะ แถมแรงบิดสูงสุด ยังจะด้อยกว่า Suzuki Swift ใหม่เสียอีก!

เวอร์ชันไทยนั้น มีเฉพาะรุ่น ขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อม 2 ทางเลือกระบบส่งกำลัง ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
(F5M) และ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (FN)

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม
มีการเซ็ต สปริงและช็อกอัพ ให้ต่างกัน โดยรุ่น Groove จะนุ่มนวลกว่ารุ่น Spirit และ Maxx อันเป็นตัวท็อป

แต่…จะตัดสินรถคันหนึ่ง จากแค่ในแค็ตตาล็อก หรือโบรชัวร์ หนะ มันไม่ได้หรอกครับ
สมรรถนะของรถคันจริง มันจะดูด้อยกว่าชาวบ้านเขา เหมือนตัวเลขในแค็ตตาล็อกหรือเปล่านั้น
ทางเดียวที่จะรู้ได้ ก็ต้องลองขับออกสู่ถนนกันจริงๆนั่นเอง

หลังงานแถลงข่าว เราก็ออกเดินทางจาก เซ้นทรัลเวิล์ด มุ่งหน้าไปยัง ศูนย์บริการ Mazda City ปากซอยสุขุมวิท 36
ถนนพระราม 4 เรามีนัดกับ พี่สุเมธ ฝ่ายบริการ และ พี่ก้อย ผู้ดูแลฝ่ายขาย กันไว้ ผ่านทางคอนเนคชันส่วนตัว ก็คือ
คุณ Pik รุ่นพี่ของผมใน Mazdaclub.net นั่นเอง

แล้วก็ มี น้องพนักงานขาย ชื่อ น้อง แอ็กซ์ คนที่ยืนอยู่ในรูปนี้ นั่นละครับ มานั่งร่วมชะตากรรม ไปกับผม
และ HOMY DEMIO ด้วย (แน่นอน HOMY คราวนี้ มาช่วยผม ถ่ายรูป ตอนที่ผมขับอยู่
เสร็จแล้ว เจ้าตัวก็ต้องไปทำธุระต่อ)

ทำไม ไม่รอทริป ทดลองขับที่เชียงใหม่ ซึ่งผมก็จะต้องบินไปร่วมแจมด้วยอยู่แล้ว
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน?

คำตอบก็คือ เราอยากเป็น เว็บแรกในไทย ที่มีรีวิวของรถคันนี้ แบบละเอียด ระดับเบื้องต้น
โพสต์ขึ้นให้คุณๆได้อ่านกัน แต่ในเมื่อ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ก็ต้องป้องกันปัญหาวุ่นวาย
ที่จะเกิดขึ้นช่วงก่อนเปิดตัว เราเลยทำได้เพียงแค่ สุ่มหารถทดลองขับ จากดีลเลอร์
เพื่อแก้ขัดไปก่อนนั่นละ ดีที่สุด เพราะรู้ดีว่า คุณๆ กำลังอยากรู้ว่า รถรุ่นนี้ ขับมาแล้ว เป็นอย่างไร

แค่ รางานข่าวเปิดตัวรถใหม่หนะ ใครก็ทำได้ แต่ถ้า มีรายงานข่าวเปิดตัว แถมมีรีวิวทดลองขับสั้นๆให้อ่านด้วย น่าจะดีกว่าไหมครับ?

แต่ในเมื่อ คุณผู้อ่านของเรา พากันไปแอบลองขับกันมาหมดแล้ว
ก่อนวันเปิดตัว ตามโชว์รูมต่างๆ ในต่างจังหวักด

ดังนั้น ความ Exclusive ก็ไม่มีซะแล้ว
แหม คุณผู้อ่าน ไวกว่าเราซะแล้ว แต่เจ้าของเว็บก็ยังไม่ได้ขับเลย
ดังนั้น ต้องรีบไปหาลองขับมาโดยไว
ผมก็เลยตั้งชื่อ เอากวนบาทา เล่นๆ ว่า NON-Exclusive First Impression เอาขำขำ ซะเลย

แม้ว่า ผมจะต้องรอ นาน ถึง เกือบ 1 ชั่วโมง แต่ผมก็ยินดีจะรอ
เพราะไม่ต้องมีธุระที่ไหนต่อ อีกทั้ง ทาง มาสด้า ซิตี้ ก็ให้การต้อนรับอย่างดี
แม้ว่าผมจะใช้วิธีการ Walk-in เข้าไป แสดงความจำนง ว่าขอทดลองขับเฉยๆนะ
ไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อ นะ และ จะเอาทั้งหมดนี้ มาลงในเว็บไซต์ Headlightmag.com นะ

เส้นทางที่เราใช้นั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก ออกจากศูนย์บริการ ปากซอย สุขุมวิท 36 ได้
ก็มุ่งหน้าไปทาง พระราม 4 เลี้ยวขวา ที่สี่แยก ผ่านหน้า มหาวิทยาลัย กรุงเทพ
ซึ่งทางมาสด้า ก็ เอารถไปจอดเปิดบูธ ที่นั่น ในวันนี้ (17) เช่นเดียวกันกับอีกหลายๆที่
ที่แต่ละดีลเลอร์ ก็เริ่มทะยอย ส่งรถคันจริง ไปอวดโฉมตามสถานที่สาธารณะชนต่างๆกันแล้ว
ตาม “แผน Bombard ทั่วประเทศไทยของมาสด้า 2”

จากนั้น เลี้ยวขวาไปตามถนนใต้ทางด่วน ผ่านชุมชนคลองเตย ลัดเลาะมาออกทางด้านข้างของ
กรมศุลกากร ผ่านสี่แยกกรมศุลฯ ตรงไปยัง ห้าแยก ณ ระนอง แล้วเลี้ยวกลับ มุ่งหน้าตรงกลับมา
ถึงสี่แยก กรุมศุลฯ เลี้ยวซ้าย ตรงไปยัง ถนนพระรามสี่ และเลี้ยวขวา ที่สามแยกไฟแดง มุ่งหน้า
กลับไปยังศูนย์บริการ ของมาสด้า อันเป็นจุดเริ่มต้น และจุดหมายของวันนี้

เพื่อยืนยันว่า ได้ขับมาแล้วจริงๆ ก็คงจะต้องมีรูป มายืนยันกันให้เห็น….

สิ่งแรกที่ผมสงสัยมาตลอดคือ ทัศนวิสัย
มาสด้าบอกว่า ทัศนวิสัยของ Mazda 2 นั้น ถือว่าทำได้ดี
แต่สำหรับผมแล้ว การมองในมุม 25 องศา (หากมองจากด้านข้าง)
ก็เพียงพอหนะจริงอยู่

แต่เสาหลังคาคู่หน้า (A-Pillar) นั้น มีความแตกต่างกันทั้ง 2 ฝั่ง

หากเป็นฝั่งขวา เสาจะดูบาง และ ไม่น่าจะก่อปัญหาการบดบัง ขณะเลี้ยวเข้าโค้งขวา
บนถนนสวนกัน 2 เลน ซึ่ง ผมพบปัญหานี้ ใน Honda City และ รถอีกหลายๆรุ่นในประเทศนี้

แต่ถ้าเป็นฝั่งซ้ายนั้น ดูหนา และเหมือนจะมีโอกาส บดบัง จังหวะการเลี้ยวกลับรถบ้างอยู่นิดๆ
เรื่องนี้ ผมยังไม่ยืนยันนะครับ ขอแปะโป้ง เอาไว้ ตรวจสอบกันอีกครั้ง เมื่อนำรถมาทดลองขับ
ในแบบ Full Review อีกครั้ง จะดีกว่า

ที่แน่ๆ สิ่งที่อยากจะให้เปลี่ยนคือ ขอบล่าง ฝั่งนอก ของกระจกมองข้าง ทั้ง ซ้าย-ขวา
โดนพื้นที่ด้านล่างของ ตัวกรอบของมันเองนั่นแหละ บดบังขอบล่าง มากไปนิดนึง
ถ้าปรับกระจกมองข้างให้มองเห็นขอบตัวถังรถเพียงนิดเดียวนั้น

ปัญหาคือ ถ้าจะออกแบบกรอบด้านล่างของกระจกมองข้างใหม่ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว
มันอาจจะมีปัญหาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ การไหลผ่านของอากาศ ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
จนอาจจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนบริเวณกระจกมองข้าง ตามมาหรือเปล่า ประเด็นนี้ ผมไม่แน่ใจจริงๆ

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น เสาหลังคาคู่หลังค่อนข้างหนา ดังนั้น ทำใจนิดนึงครับ กับการเล็งกะระยะ
ขณะถอยหลังเข้าจอด ตามห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ  แต่ ส่วนใหญ่จากที่เจอมา
รถยนต์ แฮตช์แบ็กในกลุ่มนี้ แทบทุกรุ่น มีปัญหานี้ด้วยกันแทบทั้งนั้นครับ แก้ยาก
เพราะต้องแก้งานออกแบบภายนอก ซึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อีก

ถ้าจะถามถึงอัตราเร่ง ต้องบอกเลยว่า ในช่วงเกียร์ 1 หนะหายห่วง เพราะเพียงแตะคันเร่งเบาๆ
รถก็พุ่งปรู๊ดแล้ว และที่สำคัญ พุ่งพอกันกับ Suzuki Swift ที่ผมเพิ่งจะขับมา และ พอกันกับ Honda City
คันที่ผมใช้อยู่ซะด้วย!

แต่เกียร์ 2 ช่วงตั้งแต่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงไป มันอาจจะไหลขึ้นช้าลงนิดนึง แต่ก็ยังถือว่า
ตอบสนอง พอกันกับคู่แข่งทั่วไป ถามว่า ลบภาพที่ว่า มาสด้า รุ่นเล็ก มักจะอืดอาดได้ไหม
คำตอบคือ ได้รถหนะทำได้ดีกว่าที่คิดมาก แต่ผมยังไม่แน่ใจนัก ขอเอาไว้ทำการจับเวลา
หาตัวเลขกันเสียก่อน ถึงจะกล้าพูดได้เต็มปากกว่าที่เป็นอยู่

ที่สำคัญ การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ใน Mazda 2  ทำได้ฉับไวกว่า Honda City / Jazz ชัดเจน!
ไม่เว้นแม้แต่ตอนเหยียบครึ่งคันเร่ง เพื่อขออัตราเร่งแซงแบบเบาะๆ จากเครื่องยนต์ ก็พร้อมจะตอบสนอง
ให้ทันที เป็นคันเร่งไฟฟ้า ที่ไว พอกันกับคันเร่งสาย ของ Swift เลยทีเดียว งานนี้ บอกตามตรงว่า
แยกความไว ว่าคันเร่ง 2 คันนี้ ใครจะไวกว่ากันได้ยากมากๆ

การเปลี่ยนเกียร์ ทำได้อย่างราบรื่น และนุ่มนวล ไม่กระตุกแต่อย่างใด

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ที่เซลส์ของมาสด้า คุยนักคุยหนา
ว่าต้องลอง นั้น พอเอาเข้าจริงแล้ว การตอบสนอง เป็นอย่างไร เอาอย่างนี้ ใครที่ขับ Jazz หรือ City
รุ่นใหม่อยู่ กรุณาจำสัมผัสจากรถของคุณให้ดี แต่ เพิ่มความไว ในการหักเลี้ยวเพิ่มอีกนิด
กระนั้น อาการ หักซ้าย-ขวา ไปมา แล้วยังมีอาการ แบบ “ดึ๊ด ดึ๊ด” ที่พอจะรู้ได้ว่า เป็นพวงมาลัยไฟฟ้านั้น
ยังคงมีอยู่

ซึ่งตรงนี้ ขอเทียบกับ Suzuki Swift เลยว่า เวลานี้ พวงมาลัยไฟฟ้าของ Swift กลายเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า
ที่มีความ Linear แม่นยำ ฉับไว และ เฉียบคมในการบังคับรถมากที่สุด อีกทั้งให้การตอบสนองที่
ใกล้เคียงพวงมาลัยแบบเพาเวอร์ ไฮโดรลิคธรรมดา มากที่สุด

รองลงมา คือพวงมาลัยของ Mazda 2 และตามมาติดๆด้วยพวงมาลัยของ City กับ Jazz
ซึ่งก็จะตามติดมาด้วย พวงมาลัยของ Vios และ Yaris โดยพวงมาลัยของ Aveo ถือว่าแย่สุดในกลุ่ม

ระบบกันสะเทือนของ Mazda 2 นั้น อย่างที่เขียนไปแล้วว่า จะมีการปรับแต่ง ให้ต่างกัน 2 ลักษณะ
แบบเดียวกับที่ Yaris ทำเอาไว้ โดย คราวนี้ รุ่นล่าง คือรุ่น Groove หรือ รุ่น D ทั้งเกียร์ ธรรมดา และอัตโนมัติ
จะเซ็ตช่วงล่าง มาในแบบมาตรฐาน ส่วน รุ่น Spirit (V) และ Maxx (R) จะมาพร้อมช็อกอัพ และสปริงที่แข็งขึ้น
อย่างชัดเจน

รถคันที่ลองขับนั้น เป็นคันสีเงิน และเป็นรุ่น Spirit (V) นั่นละครับ ช่วงล่างเลยให้สัมผัสในแนวแข็ง
ในทุกหลุมบ่อที่ขับผ่าน ในทุกรอยต่อพื้นคอนกรีต บนถนนปูน ที่แล่นตรงไป และไม่โยนตัวออกมากนัก
ในโค้งเล็กๆ

ความกระเทือนของช่วงล่างนั้น ไม่มากเท่ากับ Yaris S-Limited แต่ก็ถือว่ากระเทือนใกล้เคียงกันเลยทีเดียว
ในเมื่อ รถถูกเซ็ตมาโดย บริษัทที่พยายามจะทำรถให้ขับสนุกทุกคัน พวกเขาจึงคำนึง กันในทุกลูกทุกดอก
ที่คุณขับอยู่บนถนน

ใครจะเชื่อว่า มาสด้า เขาพยายามเซ็ตกันถึงขนาดที่ว่า ดูการเร่งแซงในเมือง
หรือเร่งแซงในการขับทางไกล ไปจนถึง การหักเลี้ยวที่หัวมุมถนน ไปพร้อมกับการเร่งเครื่องไปด้วย
หรือ การออกตัวจากไฟแดง รวมทั้ง การเร่งผ่านไฟเขียว ด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และต้องกดคันเร่ง
ลงไปทันที ไม่น่าเชื่อว่า พวกเขามองแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้

ระบบ เบรก ถึงจะเป็น หน้าดิสก์ หลัง ดรัม แต่ผมค่อนข้างหายห่วง เพราะการตอบสนองในเมืองนั้น
เพียงพอที่จะสั่งชะลอความเร็ว เพื่อจ่อท้ายรถกระบะคันข้างหน้า ที่ติดรอไฟแดงอยู่ แต่ยังไม่ได้ลองว่า
ถ้าต้องเบรกกระทันหัน จะทำงานเป็นอย่างไร เพราะเราก็คงต้องถนอมรถทดลองขับ ของทางดีลเลอร์
เอาไว้ ให้ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ลองขับกันต่อไปด้วย

 

********** สรุป เบื้องต้น **********
***** ง า น นี้  Y a r i s  เ ห นื่ อ ย แ น่ ๆ !! ***** 

อย่างที่ชื่อบทความนี้จั่วหัวเอาไว้ว่า เป็น First Impression ซึ่ง เป็นรีวิว ประเภท สั้น กระชับ ฉับไว
ถ่ายรูปอาจจะไม่ถึงกับได้เรื่องได้ความนัก เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลา ดังนั้น การขับขี่ เพียงแค่
ระยะสั้นๆ  ก็พอบอกได้เพียงแค่ว่า

1. ใครที่เคยปรามาส มาสด้า 2 เอาไว้ว่า “โอ้ย มาสด้าเหรอ ธรรมดาๆ เด็กๆ ไม่กลัวหรอก”
ควรจะรีบถอนคำพูดของตัวเองเสียบัดนาว!

คราวนี้  Mazda เขาเอาจริงแล้วละ!
รถดี ขับสนุก ออพชันล่อตา ราคาล่อใจ จาก Mazda มาหาแล้วนะเธอ!

2. งานนี้ Yaris เหนื่อยแน่ๆ Aveo ไม่ต้องพูดถึง Swift กับ Jazz ยังก้ำกึ่ง แต่โดนดึงลูกค้าชัวร์ๆ!

Aveo หนะไม่ต้องพูดถึง เวลานี้ มันตายสนิทเรียบร้อยไปแล้ว รอเวลา เปลี่ยนโฉมใหม่
รอการฮึดสู้อีกครั้ง จาก Chevrolet ซึ่งคาดว่า ต้องรอกันอีกถึง 2 ปีข้างหน้า (2011)

ส่วน Swift ที่ผมเพิ่งขับไป ยอมรับเลยว่า ณ วันนี้ ถ้าให้ผมต้องตัดสินใจเลือกคันใดคันหนึ่ง
ระหว่าง Swift กับ Mazda 2 ผมทำใจลำบากครับ! รถมันดีทั้งคู่ และมีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันไปทั้งคู่
เพียงแต่ข้อด้อยของทั้ง 2 คนที่มีอยู่นั้น มันน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ส่วน Jazz หนะ ลอยตัวอยู่เหนือสมรภูมิ ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก ครั้งนี้ไปเรียบร้อยแล้วละครับ
ยังไงๆ Jazz ก็จะยังขายดีเป็นเบอร์ 1 อยู่ดี ดังนั้น งานนี้ ผู้ที่รับศึกหนัก มากกว่าทุกรุ่นที่ผมเอ่ยถึงมานี้
ก็คือ Toyota Yaris นั่นแหละ

ไม่ใช่ว่า  Yaris หาความดีไม่ได้เลยแต่อย่างใด เพราะรถแต่ละรุ่น ก็มีคุณงามความดีของมัน
ที่แตกต่างกันไป และ รถแต่ละรุ่น ก็ทำได้ดีที่สุด ณ ช่วงเวลาที่มันเปิดตัวแล้ว

แต่เราต้องนึกถึงความจริงที่ว่า เมื่อเวลาผ่านไป รถรุ่นใหม่ วันวาน ก็ต้องกลายเป็น
รถรุ่นเริ่มโบราณ ในวันนี้ คู่แข่งผู้มาที่หลัง ก็มองเห็นช่องทางที่จะสั่งการแก้ไจ
ปรับปรุง รถใหม่ของตน ให้เอาชนะ รถของคู่แข่ง ที่อยู่ในตลาดมาก่อนหน้านี้
ให้ได้มากที่สุด เท่าที่ตนเองตั้งเป้าไว้

งานนี้ Mazda ดันตั้งเป้าไว้ที่ Toyota Yaris มากกว่า Honda Jazz
เพราะ Mazda เอง ก็รู้ตัวดีแหละว่า เจ้าแห่งการพัฒนารถขนาดเล็ก
ให้มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสาร อเนกประสงค์ จนน่าอัศจรรย์
ก็ยังต้องเป็น Honda Jazz อยู่ดีนั่นแหละ

ทั้งเมืองไทย และญี่ปุ่น Honda Jazz ก็ยังขายดีกว่า Yaris อยู่ดี
ดังนั้น การจะเอาชนะที่ 1 อาจจะยากเกินไป การเอาชนะที่ 2 น่าจะง่ายกว่า

Yaris จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ Mazda ตั้งเป้าจะเอาชนะให้ได้

รู้ดีว่า แบรนด์ Mazda แม้จะฝั่งแน่นในใจคนไทยมากว่า 53 ปี แต่ ยังไม่ลงหลักปักฐานพอ
ที่จะมัดใจลูกค้าส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถมากนัก และไม่ได้สนใจรถยนต์มาก่อนเลย
ไม่เหมือน Toyota ที่มีภาพลักษณ์ฝังแน่นในใจผู้บริโภคชาวไทย จนแน่นหนา
ราวกับเสาเข็มของสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม

ดังนั้น สิ่งที่ Mazda จะพอทำได้ พยายามทำ จนสำเร็จแล้วในวันนี้
คือการปรับปรุงรถรุ่นเดิม ให้เป็น รุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ที่เด่นกว่า Yaris ในแทบทุกด้าน
ทำแผนการตลาด ให้เจ๋งเป้ง และลบคำปรามาส ของผู้คนที่รักมาสด้า ว่า
“ฝ่ายการตลาดมาสด้า ทำงานไม่เป็น” และ ต้องพยายามลบภาพราคาอะไหล่แสนแพง
ในอดีตให้ได้

และวันนี้พวกเขาก็ทำได้แล้ว

มาสด้า ประกาศว่า ราคาอะไหล่ของ Mazda 2 จะถูกกว่า คู่แข่ง ในกลุ่มเดียวกัน ถึง 20%
ราคาอะไหล่ตัวถังจะถูกกว่า 5% ส่วนค่าบำรุงรักษา จะอยู่ในระดับเดียวกัน แข่งขันได้
แถมยังจะขยายศูนย์บริการ ให้เป็ยน 130 แห่ง พอกันกับ Honda จากปัจจุบันนี้ ที่มีอยู่
104 แห่ง ทั่วประเทศแล้ว

เอาละ ทั้งหมดนี้ คิดว่า เพียงพอให้คุณตัดสินใจ เซ็นใบจอง Mazda 2 ในวันนี้
แล้วรับรถได้เลยทันที หรืออย่างช้า ภายในเดือนธันวาคม-มกราคม ได้หรือไม่?

ถ้ายังไม่พอ ผมก็ต้องบอกกันว่า

ผมเองก็เช่นกันครับ ผมอ่านทบทวนสิ่งที่ตัวเองเขียนมาทั้งหมดนี้
มันไม่พอหรอกที่จะทำให้คุณ ตัดสินใจ ซื้อ หรือไม่ซื้อ Mazda 2 ได้ง่ายๆ

กับคนที่ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะซื้อ ผมเชื่อว่า รีวิว “เบื้องต้น” นี้ น่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

แต่สำหรับคนที่จะต้อง ตัดสินใจ เลือกซื้อรถมาสด้า เป็นครั้งแรกในชีวิต…
เข้าใจดีครับว่า ไม่ง่ายหรอก…ที่จะเปลี่ยนใจจากแบรนด์ Mainstream อย่าง Toyota และ Honda

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมอยากบอกว่า ยังมีเรื่องราวของ รถเล็กคันนี้อีกมาก ที่ยังต้องขอเก็บเอาไว้
ขืนเขียนหมดไป มันก็จะกลายเป็น Full Review ที่มิใช่ First Impression กันพอดี

ดังนั้น ถ้าใครอยากอ่านรายละเอียด ที่เยอะกว่านี้ เจาะลึกลงไปในรายละเอียดแต่ละจุดมากกว่านี้
เอาชนิดที่ว่า ถอดชิ้นส่วนรถทั้งคันกันได้ด้วยตนเอง ในแนว D.I.Y ได้เลยนั้น

คลิกอ่าน Full Review ฉบับเต็มกันได้ ตรงนี้เลยครับ!

www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=842:-mazda-2-&catid=63:b-segment-1300-1500-cc&Itemid=74

————————————-///—————————————–

ขอขอบคุณ
ศูนย์บริการ Mazda City สุขุมวิท 36 ถนนพระราม 4
02-661-4414
พี่สุเทธ พี่ก้อย น้องแอ็กซ์ และน้อง…(ชื่ออะไรหว่า ลืมถาม ขออภัยนะครับ)
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ เป็นกรณีพิเศษ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 พฤศจิกายน 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 17th,2009 
 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่