เวลาคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ถ้าตัดสินใจทำอะไรบางอย่างให้เร็วก็จะพบข้อผิดพลาดได้เร็ว แต่ถ้าคิดช้าทำช้าก็พลาด
โอกาสดี ๆ อย่างแน่นอน แต่สำหรับ Mitsubishi Motors นั้นการปล่อยให้เวลาผ่านไปก็เพื่อพิจารณาแผนงานบางอย่าง
ซึ่งอาจเป็นวิธีอุดรูรั่วและแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ดีกว่าก็ได้
ล่าสุด เราก็มีข่าวร้ายเอามาก ๆ มาฝากเมื่อ Osamu Masuko ซีอีโอแห่งค่ายรถตราสามเพชรได้ประกาศโต้งแล้วว่า
Mitsubishi จะมีไม่มีแผนพัฒนา Lancer, Galant และรวมไปถึงเอสยูวีรุ่นเดอะอย่าง Pajero โฉมต่อไปแน่นอนแล้ว
เพราะ Mitsubishi จะทุ่มทรัพยากรทั้งไปที่ตลาดเอสยูวีขนาดกะทัดรัดที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิคส์
จริงอยู่ที่พวกเราก็เคยรับรู้มาก่อนหน้านั้น 3 ปีว่า Mitsubishi จะเน้นการทำตลาดเอสยูวีขุมพลัง Hybrid และ PHEV เป็น
หลักแต่ก็ไม่นึกว่า Mitsubishi จะใจกล้าตัด Pajero เอสยูวีรุ่นเดอะในตำนานทิ้งไป
นอกจากนี้ Mitsubishi ก็ยังยืนยันอีกว่าจะไม่มีรถเก๋งไฟฟ้าที่จะมาแทนที่ i-MIEV อีกต่อไป
เหตุผลสำคัญคือ Mitsubishi ไม่มีทรัพยากรที่จะพัฒนารถรุ่นที่กล่าวมาและยังไม่สามารถหาพันธมิตรที่ตอบโจทย์ได้เลย
ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Mitsubishi Pajero ต้องโดนทำแท้งถาวรก็เพราะว่าผู้บริโภคเริ่มกังวลกับอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงกันแล้ว ขืนขายเอสยูวีใหญ่ท้าทายสายตาชาวโลกเห็นที Mitsubishi อาจเป็นพิษถึงตายได้
หากฟังแผนการเบื้องต้นอาจทำให้แฟน Mitsubishi หดหู่ แต่พอฟังแผนการใหม่ปุ๊บ ก็กลายเป็นว่ามันเป็นแผนที่น่าสนใจ
กล่าวคือ Mitsubishi จะเปิดตัวรถครอสโอเวอร์คูเป้ภายในหลังปี 2017 แทรกกลางระหว่างรุ่น Outlander และ
Outlander Sport (ASX) และหลังจากนั้นก็จะถึงคิวของ Outlander Sport โฉมใหม่ภายในปี 2019
Masuko กล่าวว่า Mitsubishi คือแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในตลาดเอสยูวีและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ นั่นคือสิ่งที่พวกเขา
มุ่งมั่นในการเจาะตลาดสหรัฐอเมริกาอีกคำรบ
ไฮไลต์เด็ดคือพวกเขาจะพยายามนำเสนอรถครอสโอเวอร์สไตล์คูเป้, Outlander โฉมใหม่และ Outlander Sport โฉม
ใหม่ให้มีทางเลือกขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกเคียงข้างกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
และก็ยังโชคดีที่ Mitsubishi Motors พยายามเกาะเทรนด์ของโลกด้วยการพยายามตั้งสำนักงานพัฒนาระบบขับขี่
อัตโนมัติในซิลิคอนวัลเลย์เหมือนผู้ผลิตรถชั้นนำรายอื่นเพื่อตรวจสอบวิวัฒนาการเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติและ
ปัญญาประดิษฐ์
สถานภาพ Mitsubishi Motors คงต้องใช้คำว่า ได้อย่างก็ต้องเสียอีกอย่าง
ที่มา : Automotive News