สถานการณ์ของรถยนต์ Hybrid ในบ้านเราถือว่าง้อยเปลี้ยเพราะลูกค้าบ้านเรายังไม่ยอมรับกับรถยนต์ Hybrid มากนัก
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะรถ Hybrid ในบ้านเราถูกวางตำแหน่งการตลาดสินค้าระดับบนกว่าเครื่องยนต์สันดาปธรรมดา ชี้
ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาว จนทำให้ราคารถยนต์ Hybrid ในบ้านเราแพงกว่ารุ่นปกติอย่างเห็นได้ชัด (ซึ่งเหตุผล
ด้านต้นทุนพัฒนาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน) จนทำให้ลูกค้าเกิดอาการลังเลตั้งแต่ตอนเริ่มจะซื้อจน และลูกค้าที่ยังลังเล
เหล่านี้ก็ดันได้ยินข้อมูลความจริงอีกว่ารถยนต์ Hybrid มีค่าใช้จ่ายหรือคำบำรุงที่สูงพอตัว เลยทำให้ตลาดรถ Hybrid ยัง
ไม่เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับตลาดไทยในวันนี้
ในเมื่อ Nissan คิดจะนำ X-Trail Hybrid เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว Nissan ก็ต้องนำ
บทเรียนหรือชะตากรรมรถยนต์ Hybrid ที่ขายในประเทศมาพลิกเกมใหม่เสีย เพราะขืนเดิมตามสูตรสำเร็จเดิมเห็นที
X-Trail Hybrid ก็คงมีชะตากรรมเดียวกันกับรถ Hybrid ขายไม่ออกเหล่านั้น
Nissan ได้เปิดตัว X-Trail Hybrid ครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2015 โดยวางตำแหน่ง X-Trail
Hybrid ให้กลายเป็นรถรักษาสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็นมิตรและใกล้ชิดกับผู้คนโดยไม่ได้วางราคา X-Trail Hybrid ให้เป็น
รถรุ่นท๊อปเหมือนกับยี่ห้ออื่น ๆ แต่ Nissan เลือกตั้งราคาแทรกกลางระหว่าง X-Trail เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรรุ่นล่างและ 2.5
ลิตรรุ่นบนสุดแทน ทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบความคุ้มค่าได้ง่ายขึ้น
Nissan X-Trail Hybrid ถือเป็นรถยนต์รุ่นหนึ่งที่มีบทบาทในการนำเสนอนวัตกรรมที่เร้าใจ “Innovation that Excites”
ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นในทุกๆด้าน และเพื่อการบรรลุเป้าหมายของความพยายามลดการปล่อย CO2 สู่ชั้น
บรรยากาศ นอกเหนือจากการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าไร้มลพิษที่ Nissan ความเป็นผู้นำในระดับโลกแล้วนั้น การ
สร้างสรรค์รถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันจากเครื่องยนต์พลังงานทางเลือก ถือเป็นอีกส่วนสำคัญในการบรรลุสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
ได้
ความโดดเด่นของขุมพลัง PureDrive Hybrid คือการใช้เทคโนโลยี คลัทช์คู่อัจริยะ (Intelligence Dual Clutch
System) เอกสิทธิ์ของ Nissan ที่สามารถประยุกต์ใช้กับรถยนต์วางเครื่องยนต์ด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้าและ
ขับเคลื่อนสี่ล้อโดยไม่ต้องมีการดัดแปลงในส่วนอื่นๆเพิ่มเติมให้กับรถยนต์ Nissan X-Trail จากรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
มาสู่เครื่องยนต์แบบ Hybrid
สำหรับเทคโนโลยี คลัทช์คู่อัจริยะ (Intelligence Dual Clutch System) ประกอบด้วย คลัทช์จำนวน 2 ตัว
คลัทช์ตัวที่ 1 ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ และคลัทช์ตัวที่ 2 อยู่ระหว่างมอเตอร์และเชื่อมต่อกับ
เกียร์แบบ XTRONIC CVT โดยมีรูปแบบการทำงานดังนี้
• เมื่อรถยนต์ต้องการกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ เช่น ช่วงการเร่งแซง หรือ ทำความเร็ว
• คลัทช์ทั้ง 2 ตัวจะทำงานพร้อมกัน ทำให้เกียร์ CVT ได้รับกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
• การขับขี่ในช่วงที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว จะมีการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่จากเครื่องยนต์ คลัทช์ตัวที่ 1 จะทำงาน เพื่อถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ส่งไปขับเคลื่อนเกียร์ ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า จะทำหน้าที่เป็นเจนเนอเรเตอร์เพื่อรีชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าไปยังแบตเตอรี่
• เมื่อระบบไม่ต้องการกำลังจากเครื่องยนต์ คลัทช์ตัวที่ 1 ที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ จะตัดการทำงานจากเครื่องยนต์ ผลที่ตามมาคือ เครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน ทำให้ไม่มีแรงเสียดทานจากการหมุนของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เหลือเพียงมอเตอร์ไฟฟ้ากับเกียร์เท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เครื่องยนต์จะทำงานเหมือนกับเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (EV)
• และอีกคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากระบบไฮบริดอื่นๆ คือ ระบบคลัทช์คู่อัจฉริยะ สามารถทำงานที่ความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กม./ชม.ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่าระบบไฮบริดทั่วไป อันจะนำมาซึ่งการประหยัดน้ำมันในย่านความเร็วสูงอีกด้วย
• ระบบ 4WD สมบูรณ์แบบผ่านระบบคลัทช์คู่อัจฉริยะที่ทั้ง 4 ล้อ ได้รับกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง
Nissan X-Trail Hybrid มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร MR20DD 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin
C-VCT ไดเร็ค อินเจคชั่น ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตรที่
4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร
และเมื่อทำงานร่วมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดรวมถึง 179 แรงม้า ซึ่ง Nissan เคลม
ว่าให้กำลังและอัตราเร่งดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร
โดยเครื่องยนต์ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ ปั๊มน้ำและคอมเพรสเซอร์ ไม่ใช้สายพาน ช่วยลดแรงเสียดทาน
ขณะที่วาล์วไอเสียหล่อโซเดียม เพิ่มการระบายความร้อนของห้องเครื่องได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการทำงานร่วมกัน
อย่างมีประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และมอเตอร์และเทคโนโลยี คลัทช์คู่อัจฉริยะ รวมถึงเกียร์ XTRONIC
CVT พร้อม Manual Mode 7 สปีด ช่วยให้ Nissan X-Trail Hybrid เป็นรถที่มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่
โดดเด่นที่สุดในคลาส โดยประหยัดกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร อย่างเดียวถึง 20%
Nissan X-Trail Hybrid ยังมาพร้อมกับออพชั่นที่จัดเต็มอยู่เช่นเคย อาทิ
ระบบ Advance Chassis Control ที่ประกอบด้วยระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ (ARC) ระบบ
ช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (ATC) ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) ระบบ
ช่วยออกตัวในทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง (SRS) และยังเติมเต็มความสะดวกสบายของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่ว่าจะ
เป็น กุญแจอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ภายในห้องโดยสารหรูหราและสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น
เบาะนั่งหนังแท้ โดยเบาะคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา
พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่ยังคงขนาดใหญ่ เบาะนั่งแถวที่ 2 พับได้แบนราบ เพิ่มพื้นที่บรรทุกสิ่งของ ขณะที่
ยังคงประตูท้ายเปิดปิดอัตโนมัติ (Auto Lift gate) ที่ได้รับความชื่นชอบจากลูกค้า ติดตั้งกล้องมองภาพรอบ
ทิศทาง (AVM) หน้าจอ แสดงผล 3 มิติ (MID) รวมถึงข้อมูล ขับเคลื่อนของระบบไฮบริด
การสื่อสารการตลาด Nissan X-Trail Hybrid อยู่ภายใต้แนวคิด ภายใต้แนวคิดว่า ‘ตอบทุกความสมบูรณ์แบบ
ของการใช้ชีวิต’ หรือ ‘Redefine Your Drive’ ลูกค้าผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์โฆษณา สื่อ
สิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ
และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค Nissan รับประกันรถยนต์และระบบไฮบริด 3 ปี หรือ 1 แสน กม.
และยังรับประกันแบตเตอรี่ถึง 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางอีกด้วย นอกจากยังมาพร้อมกับข้อเสนอพิเศษ
เพื่อการเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยแถมประกันภัยชั้น 1 (Nissan Premium Protection) 1 ปี พร้อมฟรีค่า
บำรุงรักษา 60,000 กม.หรือ 36 เดือน และอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.79%
หากใครสนใจ Nissan X-Trail Hybrid แล้วล่ะก็ ก็ลองไปแวะชมได้ที่โชว์รูม Nissan ทั้ง 213 แห่งทั่ว
ประเทศ ได้แล้ววันนี้