แม้ว่า Nissan ยกเลิกการจำหน่ายของ Juke รุ่นปัจจุบันในประเทศไทย แต่ทางฝั่งยุโรป Nissan ได้เปิดตัว Juke Generation ที่ 2 ออกสู่ตลาดมาร่วม 2 ปีแล้ว ช่วงแรกที่เปิดตัว มีขุมพลังให้เลือกแบบเดียว เป็น เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger 114 แรงม้า (PS) 200 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ล่าสุด Nissan ได้เพิ่มทางเลือกสำหรับชาวยุโรป ด้วยการนำขุมพลัง Hybrid มาประจำการใน Juke เรียบร้อยแล้ว
Juke Hybrid มีงานออกแบบภายนอกแตกต่างกับเวอร์ชั่นปกติเล็กน้อย เริ่มจากแนวคิดที่เพิ่มการไหลเวียนพลศาสตร์ให้ดียิ่งขึ้น ผ่านกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมโลโก้ Nissan แบบใหม่ เพิ่มทริมตกแต่งสีดำเงาที่ขอบฝากระโปรง สำหรับตัวกระจังจะลดพื้นที่ของซี่ตระแกรงลง เนื่องจากความต้องการในการระบายความร้อนลดลงจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน กันชนด้านล่างยังเพิ่มชิ้นส่วนที่จะทำให้การไหลเวียนของอากาศดียิ่งขึ้น ด้านหลังมาพร้อมกับสปอยเลอร์ทรงใหม่ พร้อมทั้งติดตั้งโลโก้ Hybrid ไว้ที่ประตูคู่หน้าและฝากระโปรงท้าย มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สำหรับรุ่นเริ่มต้น และขนาด 19 นิ้ว ที่ได้รับการออกแบบโดยเน้นความลู่ลมยิ่งขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถ EV ที่เพิ่งเปิดให้จับจองในยุโรปอย่าง Nissan Ariya
ภายในห้องโดยสารเพิ่มเติมฟังก์ชั่นแสดงโหมดการขับขี่ของระบบ Hybrid ที่จอกลางขนาด 7 นิ้ว ของมาตรวัดหน้าผู้ขับขี่ รวมไปถึงเปลี่ยนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์เป็นเข็มแสดงสถานะ “Charge” “Power” หรือ “Eco” ตามแต่ลักษณะการทำงานในขณะนั้น รวมไปถึงขีดบอกระดับไฟฟ้าของแบตเตอรี่ที่ด้านล่าง มีปุ่มเปิด-ปิด การทำงานของ e-Pedal ที่คอนโซลกลาง และปุ่มควบคุม EV mode ระหว่างช่องแอร์ตรงกลางทั้ง 2 ข้าง
รูปแบบขุมพลัง hybrid ที่ Nissan เลือกใช้ จะเป็นการยกชุด E-tech Hybrid ที่พัฒนาร่วมกับ Renault เพื่อนร่วมค่าย โดยเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรที่ Nissan ภูมิใจนำเสนอที่พัฒนามาเพื่อขุมพลัง Hybrid โดยเฉพาะ มีกำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 148 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 50 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดถึง 205 นิวตัน-เมตร ซึ่งจะพ่วงด้วย Starter/Generator จาก Renault รวมไปถึง Inverter และ แบตเตอรี่ขนาด 1.2 kWh ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ทั้งหมดนี้จะมอบสมรรถนะที่สูงขึ้นถึง 25% และยังประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น 40% ในเมืองและ 20% โดยเฉลี่ยนอกเมือง-ในเมือง ทั้งนี้ยังพ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติที่พัฒนาขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า Multi Modal Gearbox ประกอบไปด้วย 4 จังหวะสำหรับ เครื่องยนต์ และ 2 จังหวะสำหรับ มอเตอร์ โดยทั้งหมดจะถูกตัดต่อกำลังผ่าน Dog Clutch ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากรถแข่ง F1 ของ Renault เพื่อที่จะลดแรงเสียดทานภายในตัวเกียร์และเพิ่มความต่อเนื่องขณะเปลี่ยนเกียร์ ทำให้เกิดอัตราเร่งที่กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น และสามารถทำให้ระบบ Hybrid ของขุมกำลังทำงานภายใต้โหมด Series , Parallel หรือแม้กระทั่ง Series-Parallel เพื่อให้ตอบสนองทุกย่านความเร็วและอัตราเร่งขณะใช้งานผ่านพฤติกรรมการขับขี่และการใช้คันเร่งของคนขับ
ทั้งหมดนี้จะทำให้ Juke Hybrid สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ทุกครั้งที่ออกตัว รวมไปถึงการทำงาน 80% ของการขับขี่ในเมือง ซึ่งทำให้โหมดการทำงาน Hybrid ที่ต้องใช้กำลังจากเครื่องยนต์เข้ามาช่วยน้อยลง ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง พร้อมมอบอัตราเร่งที่เร้าใจ และยังสามารถใช้งานโหมดการขับขี่ pure EV ได้จนถึงความเร็ว 55 กม./ชม. ซึ่งสามารถเลือกได้ผ่านฟังก์ชั่นของตัวรถ
ระบบเบรกแบบดึงพลังงานย้อนกลับ Regenerative Braking เข้าแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีฟีลลิ่งแป้นเบรกที่เป็นธรรมชาติ รวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกคืนพลังงาน ซึ่งจะทำหน้าที่ร่วมกับโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ Eco/Normal/Sport ที่นอกจากจะปรับเปลี่ยนน้ำหนักการควบคุมพวงมาลัย การทำงานของระบบปรับอากาศและการตอบสนองของคันเร่งแล้ว ยังปรับลักษณะการดึงพลังงานย้อนกลับและลักษณะการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งในโหมด Sport จะตั้งให้ระบบ Regenerative Braking อยู่ในระดับ High เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด
นอกจากนี้ Nissan ยังติดตั้ง e-Pedal ที่ปรับให้ทำงานกับระบบที่ต้องใช้แรงขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ได้ด้วย เพื่อลดความเมื่อยล้าขณะขับขี่ในจราจรติดขัด ลดการใช้แป้นเบรกโดยไม่จำเป็น และทำให้การขับขี่สนุกสนานยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความต่อเนื่องในการขับขี่ และยังทำให้ระบบสามารถใช้ประสิทธิภาพของระบบ Regenerative Braking ได้อย่างเต็มความสามารถ
ที่มา: Nissan