เมื่อวันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2017 ที่ผ่านมา ทาง Nissan Motor (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดห้องให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารคนใหม่จากฝรั่งเศส คุณ อันตวน บาร์เตส โดยได้มีการเผยถึงแผนการในอนาคตสำหรับ Nissan และตอบคำถามผู้สื่อข่าวในหลายข้อที่มีความสงสัย
ผลประกอบการ – อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจในสายตาผู้บริหาร
ตามปีงบประมาณระบบของญี่ปุ่น จะนับช่วงเวลาเริ่มต้นไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่ามีอัตราการเจริญเติบโตของส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 1.4% โดยทางบริษัทมีเป้าหมายว่าเมื่อครบปีงบประมาณ 2017 ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ Nissan จะเพิ่มขึ้น 7% และ มีจำนวนยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2016
โดยรถที่สามารถสร้างยอดขายได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่รถอีโคคาร์อย่าง Nissan March และ Almera ซึ่งสามารถคงกระแสยอดขาย หรือเพิ่มจำนวนยอดได้มากกว่าปกติเป็นบางช่วง ส่วนรถรุ่นอื่นๆเช่น Navara หรือ Nissan Note นั้น แม้จะไม่ได้เป็นดาวเด่นด้านยอดขายของเซกเมนต์ แต่ก็ได้ตัวเลขซึ่งคุณอันตวนบอกว่า “ดีพอแล้ว” ในความคิดของเขา
เมื่อมีผู้สื่อข่าวถามว่า “เราจะมีโอกาสได้เห็นตัวเลข Market share ที่เพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลักหรือไม่” คุณอันตวนและผู้บริหารตอบว่า นั่นคงยังไม่ใช่ภายในปีนี้ (2017) แน่นอน เพราะตัวเลขการเจริญเติบโตจะต้องเป็นไปตามหลักความจริง ซึ่ง Nissan ยังไม่สามารถโตได้เร็วขนาดนั้นภายในข้อจำกัดที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ Nissan ยังมองเห็นโอกาสในการเจริญเติบโต ในสภาพแวดล้อมและปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2018 เพราะสิ่งที่มีส่วนผลักดันการเติบโตทางธุรกิจครั้งนี้ คือ ภาพรวมตลาดรถในประเทศไทยที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2560 เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ที่ 3.5 %*(ที่มา EIU กรกฎาคม 2560) รวมถึงความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ทดแทนรถเก่าของลูกค้าที่เข้าร่วมนโยบายรถคันแรก
สรุปยอดขาย Nissan ครึ่งปีแรก 2017 (มกราคม – มิถุนายน 2560)
ยอดขายรวม 28,170 คัน ส่วนแบ่งตลาด 6.9% อยู่ในอันดับที่ 5 ของตลาด
- อันดับ 1 Toyota : 27.4%
- อันดับ 2 Isuzu : 18.8%
- อันดับ 3 Honda : 15.0%
- อันดับ 4 Mitsubishi : 7.9%
- อันดับ 5 Nissan : 6.9%
โดยยอดรวมของ Nissan 28,170 คัน แบ่งออกเป็นสัดส่วนรุ่นต่างๆดังนี้
- Navara 9,467 คัน (33.61%)
- Almera 8,040 คัน (28.54%)
- March 4,508 คัน (16.00%)
- Note 2,675 คัน (9.50%)
- X-Trail 1,311 คัน (4.65%)
- Juke* 876 คัน (3.11%)
- Sylphy 598 คัน (2.12%)
- BigUrvan 470 คัน (1.67%)
- Teana 205 คัน (0.73%)
- (Pulsar* + Livina* + Leaf**) 20 คัน (0.07%)
- *Juke / Pulsar / Livina ยุติทำตลาด จำหน่ายรถที่มีอยู่ในสต๊อก
- **Leaf จำหน่ายให้เฉพาะกลุ่มองค์กรเท่านั้น ไม่ได้ขายปลีกให้ลูกค้าทั่วไป
การวางแผนเพื่อความก้าวหน้าของบริษัท
Nissan ประเทศไทย ได้ปรับแผนการทำตลาดและนโยบายการบริหาร โดยมีภารกิจสำคัญที่ทางบริษัทจะมุ่งเน้น ดังนี้
ประการที่ 1 : เพิ่มความหลากหลายของรถยนต์รุ่นที่ขายในประเทศไทย
ที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดตัว Nissan Navara Black Edition, Nissan Note และมีการอัปเดตให้กับ Sylphy ไปเรียบร้อยแล้ว และนับจากนี้เป็นต้นไป ทาง Nissan จะพยายามเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลใหม่, รุ่นย่อยใหม่ หรือรถรุ่นพิเศษที่สามารถตอบสนองทางเลือกของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้มากขึ้น
ประการที่ 2 : ปรับวิธีการทำงานร่วมกับเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา Nissan พยายามเก็บข้อมูลเรื่องคุณภาพการบริการจากลูกค้า และเข้าไปมีบทบาทในการช่วยให้ศูนย์บริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงอาจมีการปรับวิธีการบริหารงานและการสื่อสารระหว่างตัวบริษัทแม่ และผู้แทนจำหน่ายเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ในการใช้รถ Nissan ที่ดีขึ้น
ประการที่ 3 : ใช้ศูนย์วิจัยของ Nissan ในประเทศไทยเพื่อการพัฒนารถยนต์ที่เหมาะสม
Nissan ได้ลงทุนเป็นพันล้านบาทไปกับศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และคุณภาพในประเทศไทย โดยเริ่มทำการตั้งแต่ปี 2006 ปัจจุบัน พวกเขาพยายามใช้ประโยชน์จากศูนย์ฯ นี้ให้มากขึ้น นอกจากจะเป็น Hub ในการพัฒนาของภูมิภาค ASEAN และมีส่วนช่วยในการวิจัยรถที่จะนำไปจำหน่ายยัง 90 ประเทศแล้ว อันตวน ได้ให้สัมภาษณ์ว่า Nissan ต้องการให้ศูนย์วิจัยมีเป้าหมายในการช่วยปรับปรุงรถยนต์ ให้มีคุณลักษณะจำเพาะเหมาะสม และสอดคล้องกับรสนิยมของคนไทยมากขึ้น
นอกจากเสาหลักแห่งการพัฒนาทั้ง 3 ประการแล้ว สิ่งที่ Nissan พยายามที่จะปรับปรุงอย่างมากสำหรับในอนาคตคือความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ โดยพยายามให้แผนการหรือนโยบายใดๆที่มีผลหลังจากนี้ ต้องให้ผลในแง่ของการสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้าที่เลือกใช้รถของ Nissan ดังจะเห็นได้จากการปรับวิธีการบริหาร การสื่อสารกับผู้แทนจำหน่าย และคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิต
นอกจากนี้ บาร์เตสย้ำว่าบริษัทฯ เป็นทั้งศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของนิสสัน โดยมีโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย 2 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรถยนต์รวมกันถึง 228,250 คัน และประมาณ 57% เป็นรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการส่งออก
Intelligent Mobility – ก้าวต่อไปในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้คือเทคโนโลยี Intelligent Mobility ซึ่งดูเหมือน Nissan ประเทศไทยจะโปรโมตสิ่งนี้อย่างเข้มข้นในปีถัดไป โดยคำว่า Intelligent Mobility นี้จะขยายครอบคลุมพัฒนาการของรถใน 3 ด้าน ได้แก่
- Intelligent Driving – ซึ่งหมายถึงระบบความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยเหลือคนขับ และ ระบบขับเคลื่อนรถโดยอัตโนมัติ
- Intelligent Power – ซึ่งได้แก่การพัฒนาขุมพลังขับเคลื่อนที่ประหยัดเชื้อเพลิง มลภาวะต่ำ และให้แรงขับเคลื่อนที่ดีพอ ซึ่งจากการนำเสนอในครั้งนี้ พบว่าทางผู้บริหารดูจะเน้นย้ำเรื่องความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Nissan และ ยังได้จำแนกความต้องการหลักของลูกค้าในไทยออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เดินทางใกล้ๆเฉพาะในเมือง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าล้วน มีความเหมาะสม และ กลุ่มที่ต้องเดินทางไกลประจำ หาที่ชาร์จยาก ซึ่งรถไฮบริด เติมน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วใช้เครื่องยนต์สร้างพลังไฟฟ้าส่งไปแบตเตอรี่ แล้วใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ส่งให้มอเตอร์ขับเคลื่อน (Note e-Power) จะมีความเหมาะสมมากกว่า
- Intelligent Integration – ในอนาคต Nissan มองว่าผู้ซื้อรถต่างต้องการให้รถของตัวเองมีความสามารถเชื่อมต่อการสื่อสารกับโลกภายนอกได้ จึงจะมีการปรับชุดมัลติมีเดียภายในรถให้รองรับ Apple CarPlay กับ Andriod Auto พร้อมทั้งนำเสนอลูกเล่นใหม่ๆ ที่จะปูทางไปสู่สังคมยานยนต์ทศวรรษหน้า ซึ่งคนที่นั่งในรถ อาจจะไม่ต้องขับรถเองอีกต่อไป
คำถามและคำตอบ – ถามได้ทุกอย่างยกเว้นรถรุ่นไหนเปิดตัวเมื่อไหร่
นอกจากการนำเสนอผลงานที่ผ่านมา และนวัตกรรมใหม่ๆของ Nissan แล้ว คุณอังตวน ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดบนหน้าข่าวเกี่ยวกับ Nissan โดยคุณอังตวน ตอบเองทุกข้อ
หมายเหตุ : คำถามเหล่านี้มาจากสื่อมวลชน ผู้เขียนไม่ใช่ผู้ตั้งคำถาม (ยกเว้นข้อสุดท้าย)
Nissan มีแผนที่จะยุบดีลเลอร์บางส่วนที่ให้บริการไม่ดีทิ้ง จริงหรือไม่?
ตอบ : เราไม่ได้ต้องการที่จะกำจัดใครทิ้ง อันที่จริงที่ผ่านมา เราอยู่ในช่วงที่ต้องทำการวิจัยเก็บข้อมูล ว่าที่ไหนมีประสิทธิภาพการบริการที่ดี หรือว่าที่ไหนมีคนร้องเรียนเยอะ และถ้าที่ไหนมีจุดอ่อน เราก็ไม่ได้ต้องการกำจัดทิ้ง แต่ต้องให้โอกาสในการปรับปรุง ซึ่งทาง Nissan สำนักงานใหญ่นี่ล่ะต้องเข้าไปช่วยให้เขาปรับปรุงตัวได้ดีขึ้น เราไม่ต้องการจะทิ้งดีลเลอร์ที่ยังสามารถพัฒนาตัวเองได้
Note e-Power มีจุดเด่นตรงไหน และเมื่อไหร่จะมาขายในไทย?
ตอบ : เราไม่สามารถตอบได้ว่าเมื่อไหร่ เพราะมันก็เป็นความลับของบริษัท แต่ถ้ามาได้จริง เรามองว่า Note e-Power เหมาะกับคนไทย เพราะแม้จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ แต่พลังไฟฟ้าก็มาจากเครื่องยนต์ (โดยที่ตัวเครื่องยนต์จะหมุนรอบคงที่เพื่อปั่นไฟ ไม่ได้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย) ดังนั้น เราจึงตัดความเสี่ยงเรื่องสาธารณูปโภคเช่นแท่นชาร์จไฟไม่พอ ที่ชาร์จไฟไม่มี พิสัยทำการน้อยออกไปได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้คนกลัวรถยนต์ไฟฟ้า แต่กับ Note e-Power ที่ไหนมีปั๊มน้ำมัน คุณก็ขับเข้าไปเติม มันไม่มีปลั๊กให้เสียบ ..ใช้มันเหมือนรถทั่วไปได้เลย คุณได้พลังขับเคลื่อนแบบรถยนต์ไฟฟ้า ปล่อยมลพิษน้อยกว่ารถสันดาปภายใน และใช้ง่ายเหมือนรถสันดาปภายใน
Nissan ประเทศไทยมองอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าไว้อย่างไร?
ตอบ : เราต้องการเป็นเจ้าแรกที่ขายรถยนต์ไฟฟ้าในจำนวนมากๆ ในประเทศไทย แต่ถ้าจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องมีการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐประกอบไปด้วย เช่น มีสิทธิพิเศษทางภาษีสรรพสามิต, มีข้อได้เปรียบที่ทำให้ผู้คนอยากหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และที่สำคัญคือเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าทวีจำนวนมากขึ้น สถานีชาร์จ แท่นชาร์จ และสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าเราต้องพร้อมกว่านี้
Nissan Teana ยังเหลืออนาคตในการทำตลาดในประเทศไทยอีกหรือไม่?
ตอบ : เรื่องนั้นยังเร็วเกินไปที่จะตอบ แต่เราบอกได้ว่าในปัจจุบัน โฟกัสหลักของเราอยู่ที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กมากกว่ารถขนาดใหญ่
ยังคิดที่จะทำตลาดรถ NISMO อยู่หรือเปล่า หรือว่าทิ้งชื่อนี้ไปแล้ว?
ตอบ : เราคิดว่า NISMO ก็คือส่วนหนึ่งของ Nissan ที่มีความสำคัญ เราไม่ควรแยกมันออกจากกัน ดังนั้นพูดได้เลยว่าขณะนี้ เรายังไม่ทิ้ง NISMO แต่ที่ผ่านมา เรารู้ตัวดีว่าหลังจากเปิดตัว Almera NISMO มาแล้ว เราก็ไม่ได้มีรถรุ่นใหม่ๆออกมาอีกเลยนานเป็นปี มันจึงเกิดความไม่ต่อเนื่องในการพยายามสร้างแบรนด์ เรื่องนี้เราก็พยายามแก้ไขกันอยู่ แต่ต้องดูด้วยว่าในสถานการณ์ของบริษัท อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วอยู่รอดก่อน เมื่อรอดแล้วเราก็จะมีโอกาสขยายไปทำตลาดส่วนอื่นให้เจาะกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงใจพวกเขามากขึ้น