เดิมทีรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในปี 2040 แต่พวกเขาได้ประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะเลื่อนกำหนดเป็นปี 2035 หรือไวขึ้นจากเดิม 5 ปี เนื่องจากภาครัฐมองว่าภาวะเรือนกระจกเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ และการที่ยังมีรถยนต์อยู่ในตลาด จะทำให้ยอดขาย EV ไม่เติบโต
รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศแผนดังกล่าวในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลว่านี่ไม่ใช่การผลักภาระให้ผู้บริโภค เพราะมีแผนการลงทุนมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ (ราว 60,500 ล้านบาท) สำหรับการลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า, เงินสนับสนุนให้ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และลงทุนในสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง
ภาครัฐยังระบุด้วยว่า จะทำให้การซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปได้ง่ายที่สุด ส่วนแผนการแบนรถยนต์ในปี 2035 นั้น ครอบคลุมรถยนต์ส่วนตัวทั้งรถยนต์นั่งและรถตู้ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน, ดีเซล และ Hybrid ซึ่งนั่นหมายความว่า ชาวอังกฤษจะมีแต่รถยนต์ไฟฟ้า EV และรถยนต์พลังงาน Hydrogen ให้ซื้อหาเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า EV และรถยนต์มลพิษต่ำที่อังกฤษในปี 2019 มียอดจดทะเบียน 37,850 คัน ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 144% จากปี 2018 ที่มียอด 15,510 คัน แม้จะดูว่าโตขึ้นมาก แต่ถ้ามองทั้งตลาดรถยนต์ปี 2019 พบว่ามีรถยนต์ไฟฟ้า EV คิดเป็นสัดส่วน 1.6% ส่วนรถยนต์ Hybrid คิดเป็น 4.2%
ภาครัฐของอังกฤษได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า แม้จะมีการเร่งรัดขึ้นอีก 5 ปี แต่ยังถือว่าช้าอยู่สำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังมีประเทศอื่นที่ดำเนินการแบนรถยนต์ทั่วไป ไวกว่านี้อย่างไอร์แลนด์ ที่จะแบนในปี 2030 และ เดนมาร์กที่กำลังจะเสนอแบนรถยนต์ทั่วไปในปี 2030 เช่นกัน