หลังจาก Prius รถยนต์ระบบ Hybrid อันโด่งดังของ Toyota ได้ทำตลาดกับรุ่น Generation ที่ 4 ในสหรัฐฯ มาสักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเห็นแววของตัวเลขยอดจำหน่ายที่ค่อยๆลดต่ำลงเรื่อยๆในแต่ละเดือน จึงเป็นเหตุผลให้ Toyota ถึงเวลาแล้วที่จะออกมากระตุ้นตลาดด้วยการปล่อย Prius Minorchange รุ่นปรับปรุงโฉม ระหว่างงาน LA Auto Show 2018 เพื่อกลับมาต่อสู้ในสังเวียน Compact Car อันร้อนแรงอีกครั้ง
แน่นอนว่า Prius ตัวปรับโฉมใหม่ ก็ต้องถูกพัฒนา และ อัพเดตเพื่อให้ต้องตาต้องใจ กับหลายๆคนที่อาจจะมองผ่านรถยนต์รุ่นนี้ไปแล้ว โดยสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของ Prius Minorchange นั้น ก็คงจะเป็นในเรื่อง การใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาช่วยเสริมระบบขับเคลื่อนให้กลายเป็นรูปแบบ 4 ล้อ (AWD – e) ซึ่งได้เพิ่มชุดมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนที่ล้อหลัง โดยจะถูกเซ็ตการทำงานไว้จนกระทั่งถึงความเร็ว 69 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตลอดจนการพัฒนาในส่วนของ แบตเตอรี่แบบ Nickel-Metal Hydride (Ni-Mh) ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีทำงานในสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การจัดวางตำแหน่งของชุดแผงแบตเตอรี่ใน Prius Minorchange นั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของห้องโดยสาร เพราะถูกติดตั้งไว้บริเวณใต้เบาะหลัง โดยยังคงมีความสามารถในการขนสัมภาระได้สูงสุด 1,854 ลิตร
ทางด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ยังคงใช้เหมือนกันกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า โดยเป็นแบบ เบนซิน Atkinson Cycle 4 สูบแถวเรียง DOCH 16 วาล์ว ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT – i กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 88.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 ให้กำลังสูงสุด 97 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที
ผนวกเข้ากับ มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร
เมื่อเครื่องยนต์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะให้พละกำลังรวมสูงสุด 123 แรงม้า (PS) จับคู่เกียร์อัตโนมัติ e-CVT
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งของ Prius Minorchange คือเรื่องราวในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่มีตัวเลขมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ซึ่งอาจจะเป็นผลพวงของ ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD-e) ที่ถูกจับตาว่า เป็นตัวเชลยในการเพิ่มน้ำหนักของตัวรถ รวมทั้ง การทำงานที่อาจจะเข้ามาหน่วงในระบบขับเคลื่อนกันอยู่บ้าง
โดยตัวเลขจากทาง Toyota ระบุว่า Prius Minorchange AWD – e มีการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยุ่ที่ 17.86 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถ้าหากนำมาเปรียบเทียบกับ Prius รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าปกติ จะพบว่าการจิบน้ำมันนั้นน้อยกว่า เพราะให้ตัวเลขค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร
ขณะเดียวกัน Prius Minorchange ไม่เพียงแต่จะอัพเดตในเรื่องของระบบขับเคลื่อนอย่างเท่านั้น โดยยังมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนภาพนอกและภายใน เพื่อเพิ่มเติมความสดใหม่ อาทิ บริเวณกันชนหน้า และ โคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ตลอดจนด้านหลัง ที่มีดีไซน์ของชุดไฟท้าย และ กันชนหลังในลักษณะใหม่เช่นเดียวกัน รวมทั้ง ได้เพิ่มสีตัวถังใหม่อีก 2 สี คือ แดง Supersonic Red และ น้ำเงิน Electric Storm Blue นอกจากนี้ บริเวณห้องโดยสารภายใน ก็ได้ปรับเปลี่ยนวงพวงมาลัยที่เป็นหน้าแบบใหม่อีกด้วย
ในด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย ได้พกพาชุดแพคเกจ Toyota Safety Sense P ที่ช่วยป้องกันความปลอดภัยก่อนการเกิดเหตุ โดยรวบรวมชุดการทำงาน อาทิ
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน พร้อมตรวจจับคนเดินข้ามถนน Pre – Collision System with Pedestrian Detection
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัย Lane Departure Alert with Steering Assist
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam Headlights
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบแปรผัน Full – Speed Range Dynamic Radar Cruise Control
อย่างไรก็ดี ความหวังของ Toyota ที่ได้ตั้งเป้าตัวเลขยอดจำหน่ายของ Prius Minorchange AWD – e ไว้ค่อนข้างสูง ในอัตรา 25% ของไลน์อัพ Prius ทั้งหมด จะสามารถบรรลุไปตามเป้าหมายนั้นด้วยดีหรือไม่ ? คงต้องมารอลุ้นกัน