ASEAN NCAP ได้ประกาศผลทดสอบการชนของ NETA V เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2024 ว่าอยู่ในระดับ 0 ดาว จาก 5 ดาวเต็ม นับเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ได้รับคะแนนนี้ จากเกณฑ์การให้คะแนนแบบล่าสุด ซึ่งมีผลในปี 2021 – 2025 โดยทางหน่วยงานให้นิยามว่า ‘น่าผิดหวัง’ การทดสอบมีขึ้นในมาเลเซียที่ศูนย์การทดสอบ MIROS Provisional CRASE Crash Centre (PC3) สำหรับคะแนนในแต่ละส่วนมีดังต่อไปนี้

  • คะแนนรวม Overall: 28.55 คะแนน
  • คะแนนการปกป้องผู้ใหญ่ Adult Occupant Protection (AOP): 7.89 คะแนน จาก 40 คะแนนเต็ม
  • คะแนนการปกป้องเด็ก Child Occupant Protection (COP): 13.51 คะแนน จาก 20 คะแนนเต็ม
  • คะแนนระบบความปลอดภัย Safety Assist: 7.14 คะแนน จาก 20 คะแนนเต็ม
  • คะแนนความปลอดภัยต่อจักรยานยนต์ Motorcyclist Safety : 0 คะแนน จาก 20 คะแนนเต็ม

 

ระบบความปลอดภัยของ NETA V มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS และระบบช่วยควบคุมการทรงตัว ESC ในส่วนผลการทดสอบการชนหน้าแฉลบพบว่าคะแนนอยู่ที่ 0 คะแนน เนื่องจากหุ่นผู้ขับขี่ถูกกระแทกในส่วนของหัว, หน้าอก และขาขวาส่วนล่าง สำหรับการทดสอบชนด้านข้าง NETA V ได้คะแนนทดสอบ 6.31 คะแนน โดยหุ่นได้รับการปกป้องบริเวณหน้าอกเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีการติดตั้งระบบป้องกันการบาดเจ็บของศีรษะ Head Protection Technology (HPT) ทำให้ไม่ได้รับคะแนนในจุดนี้

NETA V ทำคะแนนได้ดีในส่วนของคะแนนการปกป้องเด็ก COP จากการทดสอบชนหน้าแฉลบและชนด้านข้าง แต่กลับได้คะแนนต่ำในส่วนของระบบความปลอดภัยสำหรับเด็ก Child Restraint System (CRS) แม้จะติดตั้ง ISOFIX มาให้ แต่ใช้งานได้ไม่ง่ายนัก เมื่อเทียบกับกว่าครึ่งของรถยนต์รุ่นอื่นที่ได้รับการทดสอบโดย ASEAN NCAP นอกจากนั้น ยังไม่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ใดเลย ทั้งระบบแจ้งเตือนพร้อมลดความเร็วโดยอัตโนมัติเมื่อเสี่ยงชน, ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา, ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจร และไฟสูงปรับระดับอัตโนมัติ

 

จากผลการทดสอบทั้งหมด ASEAN NCAP จึงสรุปว่า NETA V ให้การปกป้องผู้โดยสารหน้าได้ไม่ดีนัก ทั้งจากโครงสร้างตัวถังที่ไม่แข็งแรง และระบบป้องกันที่จำกัด อีกทั้งยังไม่มีเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ (pre-tensioner and load limiters) ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะกระแทกกับพวงมาลัยหรือแดชบอร์ดในขณะที่เกิดแรงปะทะ สำหรับคันที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นปี 2024 ผลิตในปี 2024 ผลิตขึ้นจากประเทศจีน สำหรับจำหน่ายในบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทย

 

ที่มา: aseancap