หลังจากที่ McLaren แบรนด์รถซุปเปอร์คาร์แห่งเกาะอังกฤษ ได้ปล่อยของเด็ดในพิกัดบนสุดอย่าง Ultimate Series ไปแล้ว 2 คันในปีนี้ ทั้ง McLaren Senna ที่มุ่งเน้นการขับขี่บนสนามแข่งเป็นหลัก รวมถึง McLaren Speedtail ไฮเปอร์คาร์พลัง Hybrid พละกำลังกว่า 1,000 แรงม้า แรงที่สุดที่ McLaren เคยผลิตมา และยังมาพร้อมเบาะนั่ง 3 ตำแหน่ง ราวกับดึงตำนานอย่าง McLaren F1 ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง



เพื่อเป็นการส่งท้ายปี 2018 อย่างสวยสดงดงาม McLaren จึงได้หยิบ 720S Supercars คันเก่งในตระกูลที่รองลงมาอย่าง Super Series นำมาอัพเดตใหม่ด้วยรุ่น 720S Spider เวอร์ชั่นเปิดประทุน เพื่อต่อกรกับคู่แข่งตัวฉกาจจากทางฝั่งแดนมักกะโรนี ไม่ว่าจะเป็น Ferrari 488 Spider หรือแม้กระทั่ง Lamborghini Aventador Roadster



แน่นอนว่ารายละเอียดภายนอกส่วนใหญ่นั้น ยังคงดูเหมือนกับ 720S Coupe รุ่นปกติ จะมีก็เพียงวงล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว เป็นสีเงินลวดลายใหม่ แต่ส่วนสำคัญที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปนั่นก็คือ หลังคาแบบยกเปิดประทุนได้นั่นเอง โดยชิ้นส่วนหลังคาแบบ Hard Top ผลิตจาก Carbon Fiber ด้วยขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน ส่งผลให้มันมีน้ำหนักเบาเพียง 49 กิโลกรัม และใช้เวลาเพียง 11 วินาที ในการปิด – เปิดประทุน เร็วกว่า 650S Spider รุ่นเดิม 6 วินาที ทั้งยังอนุญาตให้กางหรือหุบหลังคาได้จนถึงความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตลอดจนการทำให้ส่วนโหนกด้านหลังบริเวณแนวเสา C – Pillar ต้องมีดีไซน์ต่างออกไปจากรุ่น Coupe ก็เพื่อรองรับกลไกการทำงานของการเปิดประทุน
ขณะเดียวกัน น้ำหนักตัวรถเปล่า ยังถูกรีดให้เหลือเพียง 1,332 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่าคู่แข่งที่ใกล้ตัวที่สุดอย่าง 488 Spider อยู่ถึง 88 กิโลกรัม เลยทีเดียว



นอกจากนี้ หลังคาแบบดังกล่าว ยังพัฒนาให้เก็บเสียงได้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ขณะที่ปิดหรือเปิดหลังคา เสียงภายในห้องโดยสารก็จะเงียบกว่า 650S Spider รุ่นเดิม ตลอดจนหลังคา Hard Top รุ่นใหม่ของ 720S Spider ที่ใช้วัสดุกระจกนำมาผนึกเข้ากับหลังคา ก็ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น 12% เมื่อเทียบกับรูปแบบหลังคา Spider รุ่นก่อนๆในตระกูล Super Series ของ McLaren ขณะเดียวกัน ยังมีลูกเล่นหลังคาแบบ Electrochromic สามารถเปลี่ยนให้โปร่งใส และ ทึบแสงเป็นสีเดียวกับ Carbon Fiber ได้ เมื่อกดปุ่ม ถ้าหากคุณเพิ่มเงินเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว

ทางด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ยังคงใช้เป็นแบบ เบนซิน รหัส M840T บล๊อก V8 ทำมุม 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,994 ซีซี. เทอร์โบคู่ แบบ Twin-Scroll พร้อมเวสต์เกตไฟฟ้า 2 ลูก 32 วาล์ว หัวฉีด 2 หัวต่อ 1 สูบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 93.0 x 73.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 8.7 : 1 ให้พลังสูงสุด 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ Dual-Clutch 7 จังหวะ (SSG : Seamless Shift Gearbox) ขับเคลื่อนล้อหลัง
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน
- อัตราเร่ง
- 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที (เท่ากับรุ่น Coupe)
- 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 7.9 วินาที (รุ่น Coupe 7.8 วินาที)
- ควอเตอร์ไมล์ : 10.4 วินาที (รุ่น Coupe 10.5 วินาที)
- ความเร็วสูงสุด 341 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อปิดหลังคา (เท่ากับรุ่น Coupe) และ 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเปิดหลังคา
ทั้งนี้ ในไลน์อัปของ McLaren 720S Spider จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 ทริม เช่นเดียวกับรุ่น Coupe ได้แก่ Standard, Performance และ Luxury โดยมีสีตัวถังภายนอกให้เลือกมากมายถึง 23 สี ซึ่งควบรวมไปถึง 3 สีใหม่คือ สีน้ำเงิน Belize Blue, สีทอง Aztec Gold และ สีเงิน Supernova Silver ที่ดึงมาจากตัวต้นฉบับในรุ่น MP4-12C ส่วนเรื่องราคาค่าตัวนั้น ถูกหงายไพ่ออกมาที่ 315,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 10,340,000 บาท) ไม่รวมภาษีประเทศไทย และจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ ช่วงเดือน มีนาคม 2019 เป็นต้นไป
ที่มา : motor1
อ่านเพิ่มเติม : First Impression รีวิว ทดลองขับ McLaren 720S อสูรกายจักรกลคนพันล้าน >> http://www.headlightmag.com/first-impression-mclaren-720s/