Mazda MX-30 มีรุ่นย่อยใหม่ตามมาเสริมทัพในชื่อ Retro Sports Edition ในบ้านเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2024 โดยมีขุมพลังให้เลือกถึง 3 แบบ ตามนโยบายขับเคลื่อนสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ด้วยหลากหลายวิธี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ ส่วนความพิเศษเน้นไปที่การตกแต่งเฉพาะรุ่นและเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน โดยภายนอกใช้สีดำตัดสีตัวถังทั้งกระจกมองข้าง, ล้อ, กระจังหน้า และส่วนกลางของกระจังหน้า
Mazda MX-30 Retro Sports Edition ยังมีตัวถังสี two-tone ให้เลือก ประกอบด้วย สีเบจ Zircon Sand Metallic, สีเทา Ceramic Metallic และ สีเทาเข้ม Machine Gray Premium Metallic ส่วนห้องโดยสารตกแต่งด้วยผ้าคล้ายหนังกลับแบบ Regane ตัดด้วยหนังสีน้ำตาลบริเวณขอบเบาะ พร้อมเดินตะเข็บด้ายสี Terracotta ให้อารมณ์ย้อนยุค ทั้งยังขยายหน้าจอกลางจาก 8.8 นิ้ว เป็น 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Apple CarPlay / Android Auto รวมถึงแอพ My Mazda ปิดท้ายกับเปลี่ยนช่องชาร์จ USB เป็นแบบ Type C
ขุมพลังของ Mazda MX-30 Retro Sports Edition มีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ดังรายละเอียดโดยสังเขปต่อไปนี้
- e-SKYACTIV G เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 1,997 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.5 x 91.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 199 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 6.9 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 49 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ 10 Ah
- e-SKYACTIV EV ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 4,500 – 11,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,243 รอบ/นาที และ แบตเตอรี่ Lithium ion ความจุ 35.5 kWh ขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 256 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTC
- e-SKYACTIV R-EV ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,481 รอบ/นาที และ แบตเตอรี่ Lithium ion ความจุ 17.8 kWh ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน แบบโรตารี่ ขนาด 830 ซีซี กำลังสูงสุด 75 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 116 นิวตันเมตร ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า และรองรับการชาร์จ
Mazda MX-30 Retro Sports Edition ยังเพิ่มระบบกันขโมย และรองรับการสั่งการสตาร์ทเครื่องยนต์จากภายนอก เสริมด้วยระบบตรวจจับผู้ขับขี่ว่าขับมองทางหรือไม่, ระบบเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัว ในขณะที่ใส่เกียร์พุ่งไปยังทิศทางที่มีสิ่งกีดขวาง และระบบแจ้งเตือนให้เช็คผู้โดยสารตอนหลังก่อนลงจากรถ สำหรับราคาจำหน่ายในญี่ปุ่นแบ่งตามขุมพลัง โดยที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทยมีดังนี้
- ขุมพลัง Mild Hybrid ราคา 2,935,900 – 3,406,700 เยน (ราว 650,000 – 754,000 บาท)
- ขุมพลัง PHEV ราคา 4,669,500 – 5,211,800 เยน (ราว 1,034,000 – 1,154,000 บาท)
- ขุมพลัง Mild Hybrid ราคา 4,356,000 – 4,942,300 เยน (ราว 964,000 – 1,094,000 บาท)
ที่มา: Mazda