ไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับรถยนต์หลายค่าย หลังต่างพากันออกมาประกาศภาวะกำไรถดถอยอย่างรุนแรง ดังที่เรารายงานเรื่อง Nissan, Ford และ Jaguar Land Rover ไป ล่าสุด เป็นคราของ Mazda ที่เปิดเผยว่าผลกำไรลดลง 79% พร้อมให้เหตุผลว่าเกิดจากยอดขายในสหรัฐฯ และจีนลดลง

Mazda ได้เปิดเผยว่า ผลกำไรประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 มีมูลค่า 7,000 ล้านเยน (ราว 1,900 ล้านบาท) ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่ทำกำไรได้ 33,000 ล้านเยน (ราว 9,400 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดสำหรับช่วงเวลาเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 2012

ทั้งนี้ บริษัทยังคาดหวังว่าในช่วงปิดปีงบประมาณ เดือนมีนาคม 2020 ผลกำไรจะดีขึ้นจนแตะระดับ 110,000 ล้านเยน (ราว 31,000 ล้านบาท) ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยอดขายถดถอย เกิดจากสงครามการค้าในตลาดหลักของ Mazda อย่างสหรัฐฯ และจีน ด้านสถานการณ์ขายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 มีดังนี้

  • ยอดขายสะสมทั่วโลก อยู่ที่ 353,000 คัน ลดลง 12% จากปีก่อนหน้า
  • ยอดขายสะสมในสหรัฐฯ อยู่ที่ 68,000 คัน ลดลง 15% จากปีก่อนหน้า (ตลาดใหญ่สุดในโลก)
  • ยอดขายสะสมในจีน อยู่ที่ 54,000 คัน ลดลง 21% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น ยังมีการวิเคราะห์ด้วยว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูผลกระทบ จากน้ำท่วมโรงงานที่ญี่ปุ่นในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น รถยนต์ที่ Mazda ขายในสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์นำเข้า ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี ดังนั้น Mazda จึงหาทางออกด้วยการลงทุนร่วมกับ Toyota เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ที่นั่น ซึ่งนั่นอาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหลังจากนี้

ที่มา: reuters


อ่านข่าว Nissan ประกาศปรับโครงสร้าง ลดพนักงานทั่วโลก หลังกำไรลดลง 94.5% !? ได้ที่

>> http://www.headlightmag.com/news-nissan-loses-profit-and-plans-to-cut-workforce/

อ่านข่าว รายได้สุทธิ Ford ลดลง 86% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2019 ได้ที่

>> http://www.headlightmag.com/news-ford-lost-86-pc-of-net-income-in-q2-2019/

อ่านข่าว Jaguar Land Rover ขาดทุน 395 ล้านปอนด์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2019 ได้ที่

>> http://www.headlightmag.com/news-jaguar-land-rover-lost-395-million-pound-in-q2-2019/