คุณผู้อ่านฟังวิทยุ AM เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อใด? หากสังเกตให้ดีจะพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าหลายค่าย ไม่สามารถรับคลื่นวิทยุ AM ได้แล้ว หรือประกาศว่าจะไม่ใส่มาให้ในอนาคต ซึ่งรวมไปถึง Tesla, Rivian, VW, Volvo, Polestar, BMW และ Ford (ซึ่งต่อมา Ford ระบุว่าจะกลับมาใส่ให้ใหม่ในปี 2024) ส่วนสาเหตุที่วิทยุ AM ไปด้วยกันไม่ได้กับ EV ไม่ใช่แค่เรื่องมีผู้ฟังน้อยลงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของต้นทุนและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

ปัญหาอยู่ที่ว่ามอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของขุมพลัง EV ได้สร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมา จนไปก่อกวนการรับสัญญาณวิทยุ AM ดังนั้นถ้าจะทำให้ตัวรับวิทยุเสถียรขึ้น จะต้องมีการเพิ่มฉนวนให้กับตัวรับสัญญาณ, เพิ่มตัวกรอง EMI และตัวบุเสียง ทั้งหมดนี้จะเพิ่มต้นทุนต่อคันราว 50 – 70 USD (ราว 1,700 – 2,500 บาท) และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มน้ำหนักมายังตัวรถราว 1 กิโลกรัม

 

แม้ว่าจะฟังดูไม่มากเลย แต่อย่าลืมว่าผู้ผลิตรถยนต์ยินดีวิจัยและพัฒนา เพื่อลดต้นทุนในแต่ละคันให้มากที่สุด เพราะเมื่อมารวมตัวเลขทั้งหมดแล้วจะไม่น้อยเลย โดย Center for Automotive Research สถาบันที่วิจัยประเด็นที่เรากำลังพูดถึงนี้คาดการณ์ว่า หากผู้ผลิตรถยนต์ทั้งตลาดยอมติดตั้งวิทยุ AM มาใน EV จะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในอีก 7 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ารวมกันราว 3,800 ล้าน USD (ราว 136,000 ล้านบาท)

แถมใช่ว่าลงทุนแล้ว คลื่น AM จะรับสัญญาณได้ชัดเท่ารถยนต์ทั่วไป เพราะสัญญาณก่อกวนยังอยู่ นอกจากนั้น การเพิ่มน้ำหนักให้กับรถยนต์โดยที่ไม่จำเป็น ถือเป็นปัจจัยลบเพราะส่งผลให้พิสัยการขับขี่สูงสุดลดลง แต่ครั้นจะยกเลิกไปเลยก็ไม่น่าได้ เนื่องจากหน่วยงานรัฐมองว่าวิทยุ AM สามารถใช้เป็นช่องทางสื่อสารในเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสื่อสารได้ระยะทางไกล จึงกลายเป็นโจทย์ให้ผู้ผลิตว่า จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีอะไรมาทดแทนวิทยุ AM

 

ที่มา: gmauthority, carscoops