COVID-19 ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมถ้วนหน้าหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางดูจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่งผลให้หลายบริษัทสูญเสียเงินมหาศาล ไม่เว้นแม้แต่บริษัทรถเช่าขนาดใหญ่จากอเมริกาอย่าง Hertz ที่มีอายุครบ 102 ปี และมีสาขาในหลายประเทศ ได้ยื่นล้มละลายแล้วในประเทศบ้านเกิด
การยื่นล้มละลายของ Hertz มีผลครอบคลุมธุรกิจในสหรัฐฯ และ แคนาดา แต่จะไม่มีผลต่อธุรกิจในเครือที่ตั้งอยู่ในยุโรป, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ส่วนการดำเนินธุรกิจในทุกที่จะเป็นไปตามปกติ เนื่องจากการยื่นล้มละลายเป็นการช่วยพยุงบริษัท ให้หาเงินมาชำระหนี้ต่อไป ส่วนมูลค่าหนี้มีรายงานว่าอยู่ที่ 24,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 780,000 ล้านบาท) มีเจ้าหนี้รายใหญ่เป็น IBM Corp. และ Lyft Inc.
Hertz ในสหรัฐฯ มีรถยนต์ให้เช่าจำนวน 567,700 คัน ทั้งหมดนี้ มีทั้งแบบที่ซื้อขาดและเช่าซื้อมา สามารถคิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์รวมอย่างอื่นด้วยได้ 25,800 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 824,000 ล้านบาท) และ ยังมีเงินสดสำหรับดำเนินธุรกิจอีก 1,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 31,000 ล้านบาท) ฟังดูแล้วบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ไม่น้อยเลย แต่ด้วยสภาวะหนี้สินที่มีอยู่ จึงกล่าวได้ว่า Hertz ยังอยู่ในอันตราย
Hertz ระบุว่าสถานการณ์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาย่ำแย่มาก โดยส่วนแบ่งในตลาดลดลง 73% เพราะ COVID-19 ทำให้ลูกค้ายกเลิกการจองล่วงหน้าทันที ซ้ำอย่างกินระยะเวลานานด้วย และมีผลต่อการจองใช้บริการของลูกค้าในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทได้พยายามรับมือ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นแล้ว รวมถึงต้องปลดคนงานรวม 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากถึงเกือบ 50% ของพนักงานบริษัทในเครือทั่วโลก
Hertz ยังไม่ได้เปิดเผยว่ามีแผนฟื้นฟูกิจการอย่างไร แต่มีรายงานว่าบริษัทเริ่มประกาศขายรถเช่าหลายรายการแล้ว ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าตลาดรถยนต์มือสองในสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะถ้าบริษัทตัดสินใจเทขายรถยนต์ในมือ เข้าสู่ตลาดรถมือสองนับแสนคันในคราเดียว ราคารถยนต์ในตลาดย่อมระเนระนาด จนอาจฉุดให้กิจการขายรถยนต์ใช้แล้วล้มไปด้วย