ก่อนหน้านี้ Ford เคยออกมาประกาศถึงกลยุทธ์ Ford+ หรือการแยกแบรนด์ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ Ford Model e สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% และ Ford Blue สำหรับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งถูกวางไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2021 เมื่อทั้ง 2 แบรนด์ย่อยอยู่รวมกับ Ford Pro ซึ่งเป็นกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ จะช่วยเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ก้าวไปข้างหน้า โดยที่ยังสามารถคงไว้ซึ่งคุณค่าของแบรนด์และเอาชนะบรรดาคู่แข่งทั้งหน้าใหม่ในตลาด EV และคู่แข่งหน้าเก่าในตลาดเครื่องยนต์สันดาปภายใน
ล่าสุด มีการประกาศจากทางการในสัปดาห์นี้ว่า บริษัทจะปลดพนักงานในสหรัฐฯ, แคนาดา และอินเดีย รวมกัน 3,000 คน ถือเป็นความเคลื่อนไหวเบื้องต้นของแผนปลดพนักงานประจำทั่วโลกรวมกัน 8,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Ford+
ทั้งนี้ Ford ไม่ได้ระบุว่าจะมุ่งเน้นไปที่งานส่วนใด แต่มีการลงรายละเอียดว่า 3,000 คนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตพนักงาน Ford แบ่งเป็นพนักงานประจำ 2,000 คน และ พนักงานจาก agency อีก 1,000 คน นอกจากนั้น บริษัทยังระบุว่าไม่ได้มีแผนลดจำนวนบุคลากรเท่านั้น แต่ยังมีการปรับเปลี่ยนองค์กรและหน้าที่งานใหม่ ให้ดำเนินงานได้สะดวกยิ่งขึ้น
Mark Truby ผู้ดำรงตำแหน่ง Chief Communications Officer ของ Ford Motor Company ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การปลดพนักงานในครั้งนี้ไม่ใช่ผลจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่เป็นการวางตำแหน่งให้บริษัทก้าวสู่ความสำเร็จ โดยเป็นการทำตามแผนและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งกลยุทธ์ Ford+ ตั้งเป้าที่จะลดรายจ่ายให้ได้ 3,000 ล้าน USD หรือ ราว 108,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ Ford ยังตั้งเป้าที่จะมียอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ให้ได้มากถึง 2 ล้านคัน ภายในปี 2026 โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด และจะค่อยๆ เพิ่มจนเป็นครึ่งหนึง ในปี 2030 เพื่อสนับสนุนการบรรลุ carbon neutral ภายในปี 2050 โดยจะใช้พลังงานรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตรถยนต์ภายในปี 2035