หลังไตรมาสที่ 2 ผ่านพ้นไป บริษัทรถยนต์พากันออกมาแจกแจงรายได้ของช่วงที่ผ่านมา รวมถึง Ford ที่ประกาศว่ารายได้สุทธิลดลง 86% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเหลือ 148 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 4,565 ล้านบาท) โดยบริษัทให้เหตุผลว่าเกิดจากการปรับโครงสร้าง และยอดขายถดถอย
Ford ยังเปิดเผยด้วยว่า อันที่จริงแล้วรายได้ทั้งหมดในไตรมาสที่ผ่านมา ก่อนหักค่าใช้จ่ายและภาษีอยู่ที่ 1,650 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 50,000 ล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนหน้าเพียง 2% เท่านั้น สำหรับปัจจัยที่มีผลให้รายได้สุทธิของ Ford ลดลง มีรายละเอียดดังนี้
- การปรับโครงสร้างในยุโรปและอเมริกาใต้ รวมถึงแผนปรับลดพนักงานในยุโรป จำนวน 12,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2020
- ลดจำนวนโรงงานประกอบจาก 24 เหลือ 18 แห่ง
- ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายมูลค่า 1,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 37,000 ล้านบาท)
นอกจากนั้น Ford ยังได้ลงทุนเพิ่มเติมในด้าน mobility อีก 264 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 8,000 ล้านบาท) โดยแบ่งออกเป็นรายละเอียดดังนี้
- ลงทุนกับ Pivotal ผู้ให้บริการด้าน cloud-based software มูลค่า 181 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 5,000 ล้านบาท)
- ลงทุนการพัฒนารถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ มูลค่า 79 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 2,000 ล้านบาท)
- จ้างพนักงานเพิ่มเติมในส่วนของ Argo AI บริษัทคู่ค้าด้านการพัฒนา robocar
ด้านสถานการณ์ในอเมริกาเหนือพบว่า Ford มียอดขายลดลง 7% รวมถึง Ford Explorer ลดลง 72,000 คัน แต่รายรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากกำไรต่อหน่วยสูงกว่าเดิม หลัง SUV รุ่นดังกล่าวเปิดตัว model year ใหม่ สำหรับแผนการในอนาคต Ford ตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายรับก่อนหักภาษีให้สูงขึ้นอีก 7% และต้องการให้ผลกำไรต่อหน่วย เพิ่มขึ้นคิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์สองหลักด้วย
ที่มา: Europe.autonews, motoring