Porsche เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีแผนมุ่งหน้า สู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์พ่วงขุมพลังระบบไฟฟ้าเป็นหลัก โดยตั้งเป้าให้มากกว่า 50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดเป็นขุมพลังพ่วงระบไฟฟ้า ภายในปี 2025 และมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 80% จากยอดขายทั้งหมดในปี 2030 แต่ด้วยสภาวะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัวในหลายตลาด ทำให้ผู้ถือหุ้นตั้งคำถามกับผู้บริหารของ Porsche ว่ายังควรเดินหน้าตามแผนดังกล่าวหรือไม่

 

การประชุมผู้ถือหุ้นของ Porsche มีขึ้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Moritz Kronenberger จาก Union Investment ระบุว่า Porsche ควรให้ความสำคัญกับการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วนไปก่อน ซึ่งมีสัดส่วนกำไรที่สูงกว่าและสร้างกระแสเงินสดได้ดี จนกว่าความต้องการ EV ในตลาดจะกลับมาอีกครั้ง ตามมาด้วยการ Ingo Speich จาก Deka Investment ที่ซ้ำว่า Porsche ต้องยอมรับว่าความต้องการ EV ในตลาดได้ลดลงแล้ว พิสูจน์ได้จากการที่ Taycan มียอดส่งมอบในไตรมาสแรกปีนี้ ได้ลดลงไปครึ่งหนึ่ง

Speich ยังกล่าวเสริมด้วยว่า Porsche ไม่ควรลงไปเล่นสงครามตัดราคาตามสถานการณ์ในตลาด เพราะจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ ตามมาด้วย Daniel Schwarz นักวิเคราะห์จาก Stifel ที่ซ้ำแผลเดิมว่า มูลค่าขายต่อของ Porsche Taycan ลดลงไวกว่า Porsche 911 ถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้บริโภคมีความอยากซื้อรถยนต์ไฟฟ้าน้อยลง

 

หลักฐานที่ผู้ถือหุ้นใช้สนับสนุนแนวคิดของตนคือ มูลค่าหุ้นของ Porsche ในเยอรมนีได้ลดลง 1 ใน 3 ตั้งแต่เข้าปีนี้ ทั้งยังมีประเด็นความขัดแย้งระหว่าง Porsche สำนักงานใหญ่และผู้แทนจำหน่าย Porsche ในจีน อันเนื่องมาจากยอดขาย EV ในจีนลดลง 15% จนดีลเลอร์ต้องเฉือนกำไรเพื่อให้ขายได้ตามเป้า แถมยังมีการเปรียบเทียบด้วยว่าในช่วงเวลาเดียวกันที่หุ้น Porsche ตก มูลค่าหุ้นของ Ferrari ในสหรัฐฯ กลับสูงขึ้น 40%

Oliver Blume CEO ของ Porsche ได้แถลงกลับว่าบริษัทมีแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 5 จาก 6 รุ่นที่มีในปีนี้ ซึ่งนั่นจะช่วยสร้างยอดขายให้บริษัทได้ ส่วน Macan Electric ขุมพลัง EV มีสมรรถนะสูงสุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทั้งจะยังมี 718 ขุมพลัง EV ทั้ง Boxster และ Cayman ตามมาเสริมทัพด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยดันยอด EV ให้สูงเท่ายอดของรถยนต์สันดาป ทั้งจะยังมีการหาทางออกร่วมกับผู้แทนจำหน่ายในจีนต่อไป

 

ที่มา: carscoops, freemalaysiatoday