ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ที่ Corolla ได้เผยตัวตนและออกจำหน่ายไปยังทั่วโลก ซึ่งจนถึงปัจจุบันมียอดขายสะสมไปแล้วกว่า 46 ล้านคันทั่วโลก และล่าสุดทาง Toyota ก็ได้เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จของ Corolla กันต่อไป โดยนับว่าเป็นการเดินทางมาอย่างยาวนาน จนถึงเจเนอเรชั่นที่ 12 กันแล้ว กับ All New Toyota Corolla ซึ่งทำการเปิดตัวพร้อมกันทั้งรุ่นเวอร์ชั่นสำหรับจำหน่ายในตลาด เอเชีย และ อเมริกา แต่อย่างไรดี บทความนี้เราจะพาไปชม All New Corolla รุ่นตัวถังแบบ Sedan ในเวอร์ชั่นอเมริกากันว่า ตัวรถจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
แน่นอนว่ารถยนต์ Toyota รุ่นใหม่ๆนั้น จะมาพร้อมกับ สถาปัตยกรรม TNGA Platform : Toyota NEW Global Architecture ซึ่งในครั้งนี้จึงเป็นคราวของ All New Corolla ทั้งในเวอร์ชั่น เอเชีย และ อเมริกา ที่ได้เข้าอยู่มาในสารบบของงานวิศวกรรมใหม่นี้ด้วยเช่นกัน โดยสัดส่วนของ All New Corolla Sedan มีรายละเอียดดังนี้
Dimension มิติตัวถัง
All New Toyota Corolla Sedan (TNGA Platform)
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,640 x 1,780 x 1,435 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ Wheelbase : 2,700 มิลลิเมตร
Toyota Corolla Altis
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,620 x 1,775 x 1,460 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ Wheelbase : 2,700 มิลลิเมตร
เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม จะพบว่า All New Corolla Sedan ยาวขึ้น 20 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 5 มิลลิเมตร ต่ำลง 25 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อเท่าเดิม
Exterior ภายนอก
สอดคล้องกับการออกแบบที่ ลดระดับความสูงตัวรถให้ต่ำลง และเน้นความเพรียวดูคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันสำหรับเวอรชั่น US ได้เพิ่มความดุดันบริเวณส่วนหน้าของตัวรถ ซึ่งทีมออกแบบเรียกแนวคิดสำหรับการดีไซน์นี้ว่า “ Shooting Robust “ เพื่อถ่ายทอดจุดยืนที่แข็งแกร่ง และสร้างความมั่นใจ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงต้องรักษาความกว้างขวางสำหรับการใช้งานจริงไว้ด้วยเช่นกัน
รายละเอียดส่วนหน้านั้น มีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละรุ่นย่อย โดยยกตัวอย่างในรุ่น SE / XSE ที่เน้นหน้าตาในลุคสปอร์ต มาพร้อมการตกแต่งด้วย ลิ้นสปอยเลอร์พร้อมเกล็ดครีบ ทำให้หน้ารถดูกว้างออกและบึกบึน, โคมไฟหน้าลักษณะ J-Shaped แบบ Bi-Beam LED พร้อมไฟ DRLs แบบ Triple J-Shaped รวมทั้งไฟเลี้ยวแบบ LED ให้เอกลักษณ์ใหม่ที่ดูโดดเด่น นอกจากนี้ ยังมีออปชั่นเสริม คือ ระบบไฟหน้าแบบ Adaptive Front-Lighting System (AFS) ปรับทิศทางตามความเร็วและการหมุนพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ ให้เลือกติดตั้งเพิ่มเติมอีกด้วย
ด้านหลังจะพบกับไฟท้ายซึ่งมีลักษณะที่ตีบแคบลง โดยเน้นดีไซน์แบบแนวนอนลากยาวให้เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว แต่จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามรุ่นย่อย อาทิ ในรุ่นที่เน้นความสปอร์ต จะตกแต่งกรอบไฟเป็นแบบรมดำ แต่อย่างไรก็ตาม All New Corolla จะใช้การส่องสว่างด้วยหลอดแบบ LED เหมือนกันทุกรุ่นย่อย
ในส่วนของล้ออัลลอย ในรุ่น SE / XSE ให้วงขนาด 18 นิ้ว แบบ Multi-Spoke สีดำ-เงิน ปัดเงา เป็นมาตรฐาน, ในรุ่น XLE ให้มาเป็นขนาด 16 นิ้ว แบบ Twisted Spokes ส่วนรุ่น LE ใช้เป็นล้อกะทะเหล็ก ขนาด 16 นิ้ว พร้อมฝาครอบพลาสติก
Interior ภายใน
การออกแบบห้องโดยสารใหม่ของ All New Corolla ให้ความสปอร์ตและหรูหราผสมผสานกัน รวมทั้งมีความเรียบง่าย สะอาดตา ซึ่งเป็นไปตามแนวคิด “ Sensuous Minimalism “ สำหรับการดีไซน์คอนโซลหน้าสะท้อนออกมาค่อนข้างเด่นชัด ด้วยเส้นสายที่ไม่ยุ่งเหยิง ในขณะเดียวกัน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของบริเวณคอนดซลหน้าก็คงจะเป็น หน้าจอ Infotainment แบบ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว (ยกเว้นรุ่น L ขนาด 7 นิ้ว) ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ทำงานร่วมกับระบบ Entune 3.0 โดยในรุ่นออปชั่นมาตรฐาน มีรายละเอียดเบื้องต้น อาทิ
- ลำโพง 6 ตำแหน่ง
- ระบบ HD Radio วิทยุ AM / FM และ MP3 / WMA
- ช่อง AUX / USB 2.0 สำหรับเชื่อมต่อ iPod และ Bluetooth สำหรับการใช้งาน Music Streaming,
- ระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition
- Entune 3.0 App Suite Connect
- Safety Connect
- Service Connect
- Wi-Fi Connect
- Scout GPS Link Compatible
- Weather / Traffic Info
- Wi-Fi Connect
- Remote Connect
อย่างไรก็ตาม สำหรับออปชั่นเสริมด้านความบันเทิง ที่เรียกว่าเป็นตัวท็อปสุด ก็คือ ระบบ Entune 3.0 Audio Premium สามารถสั่งเพิ่มเติมได้เฉพาะในรุ่น XSE / XLE ซึ่งจะให้ลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง กำลังขับ 800 วัตต์ with Clari-Fi พร้อมด้วย Subwoofers ขนาด 6.7 นิ้ว
นอกจากนี้ ยังมีลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่นมาตรฐานของ ระบบ Entune 3.0 App Suite Connect อาทิ ระบบสั่งงานด้วยเสียง Dynamic Voice Recognition, ระบบนำทาง Dynamic Navigation, Dynamic Points of Interest Search และ Destination Assist Connect
ระบบปรับอากาศ ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์ปุ่มแผงควบคุมใหม่ทั้งหมด โดยออกแบบให้มีขนาดที่กะทัดรัดแต่ได้ประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น ด้วยนวัตกรรม ระบบหมุนเวียนอากาศแบบ Twin-Layer โดยเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ระบบจะทำการเป่าอากาศไปยังพื้นที่ด้านบนของห้องโดยสาร และในขณะเดียวกัน จะทำให้อากาศที่อบอุ่นหมุนเวียนอบู่บริเวณพื้นที่ต่ำกว่า ซึ่งช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าบนกระจก
ทริมการตกแต่งภายใน เลือกใช้วัสดุแบบ High-Gloss อย่าง Piano Black ผสมผสานกับ พื้นผิวแบบ Matte ตามบริเวณเส้นขอบคิ้วสีเงิน ในส่วนของตัวเบาะคู่หน้ามีการดีไซน์ใหม่ ทั้งยังสามารถปรับให้ต่ำลงกว่ารุ่นเดิมราว 29 มิลลิเมตร เพื่อช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงของตัวรถต่ำลง และถอยหลังไปอีกราว 40 มิลลิเมตร เพื่อการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้า-หลัง ได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่เบาะหลังก็ปรับลักษณะการดีไซน์ใหม่ เป็นแบบ U-Shaped ดูสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี สำหรับสีภายในโทนใหม่แบบ Two-Tone จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 เฉด คือ ดำ / น้ำเงิน (สีดำเป็นหลัก ไฮไลท์ด้วยสีน้ำเงิน), Moonstone (สีเทาอ่อนเป็นหลัก ไฮไลท์ด้วยสีเทาเข้ม) และ Macadamia (สีเบจเป็นหลัก ไฮไลท์ด้วยสีเทาเข้ม)
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ใหม่ พร้อมปุ่ม Multifunction ควบคุมระบบความบันเทิงและ Cruise Control ที่ย้ายขึ้นมาบนพวงมาลัย แทนก้านปรับบริเวณคอพวงมาลัยตามธรรมเนียมเดิมของ Toyota มองลึกเข้าไปในหน้าจอ Dashboard จะใช้จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ขนาด 4.2 นิ้ว เป็นมาตรฐาน ส่วนออปชั่นเสริม มีให้เลือกเป็นแบบหน้าจอ MID ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ตลอดจนพื้นที่ด้านข้างฝั่งซ้าย-ขวา จะเว้นไว้สำหรับการแสดงผลในรูปแบบเข็มวัด Analog
Engine เครื่องยนต์
สำหรับเวอร์ชั่นอเมริกา (US Version) เบื้องต้นจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 บล๊อก ได้แก่
เบนซิน 1.8 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส 2ZR-FAE ขนาด 1.8 ลิตร ที่ปรับปรุงใหม่ เพิ่มพละกำลัง และ อัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น (เดิมพละกำลัง 132 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVTi-S
เบนซิน 2.0 ลิตร Dynamic Force
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส M20A-FKS ขนาด 2.0 ลิตร Dynamic Force D4-S VVT-iE อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 169 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ Dynamic-Shift CVT ที่มีโปรแกรมอัตราทดเกียร์เสมือน 10 จังหวะ
Suspension ระบบกันสะเทือน
สำหรับด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ทั้งตัวกระบอกช็อกอัป รวมถึงเรื่องจุดยึดต่างๆ แต่ส่วนสำคัญอยู่ที่บริเวณด้านหลัง เพราะมากับช่วงล่างในรูปแบบ Multi-Link แทนที่ของเดิมซึ่งใช้เป็นแบบ Torsion Beam มาอย่างยาวนาน โดยระบบช่วงล่างหลังแบบใหม่ทาง Toyota ระบุว่า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องความนุ่มนวล รวมถึงให้การขับขี่ที่คล่องตัวมากขึ้น
Safety ระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ที่มีให้เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่นย่อย ได้แก่
- ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง
- กล้องมองหลัง (Rear Camera)
- Toyota’s Star Safety System
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
- ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบ Smart Stop
- Toyota Safety Sense 2.0
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน และ เบรกอัตโนมัติ Pre-Collision System
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ Lane Keeping Assist with Steering Assist
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนอัตโนมัติ Lane Tracing Assist
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam Control
- ระบบอ่านป้ายจราจรเพื่อควบคุมความเร็ว, สั่งหยุด, ห้ามเข้าและเตือนเมื่อพบเครื่องหมายห้ามแซง Road Sign Assist
ทั้งนี้ สำหรับกำหนดการลงโชว์รูมของ All New Toyota Corolla (US Version) จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2019
ที่มา : Toyota
ภาพ Offcial : All NEW Toyota Corolla Sedan (US Version) เบนซิน 2.0 Dynamic Force >> http://www.headlightmag.com/official-photo-toyota-corolla-sedan-us-version-tnga/?fbclid=IwAR1xOnyTJAMLdxuiq52KB_SEtKh9A-r9J-5ChV1EsV8hgrBIqvyq-clyY9Q
ภาพ Offcial : All NEW Toyota Corolla Sedan (US Version) เบนซิน 2.0 Dynamic Force