By Gigabright
ในยุคที่โรคระบาดเหมือนจะเป็นสิ่งที่คุ้นชินสำหรับทุกคนมากขึ้นแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 100เปอร์เซ็นต์ เฉกเช่นในอดีตได้เลยซะทีเดียว การระมัดระวังและป้องกันตัวเองยึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกันในพื้นที่ปิด การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง รวมถึงการลดการสัมผัสวัตถุร่วมกันหรือที่เรียกว่า “Contactless” นั่นเอง ซึ่งจะทำให้ทุกการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการน้ำมันนั้นสะดวกปลอดภัย และเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น
สำหรับเทคโนโลยีที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้นั้น อันที่จริงไม่ใช่สิ่งใหม่เท่าไหร่ เพราะเคยมีการพัฒนาและทดลองใช้มาแล้ว ภายใต้การดำเนินงานของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่าง General Motor หรือ GM ที่มีการนำร่องใช้งานไปในแบรนด์รถยนต์ในเครือ อาทิ Chevrolet, Buick, GMC และ Cadillac เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน (2017-2018) ที่ใช้หน้าจอระบบสัมผัสในรถยนต์ในการชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยในระยะเริ่มต้นนั้นมีเพียงปั๊มเชลล์บางสาขาเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งผลตอบรับที่ได้นั้นไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ เนื่องจากความยุ่งยากในการใช้งานจริง ที่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมเพิ่มเติมในการใช้งานครั้งแรก และการกรอกรหัสผ่านซึ่งต้องได้รับ จากสถานีบริการน้ำมันเท่านั้นอีกด้วย
แม้ว่าเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริงจะไม่ดีอย่างที่คิดเท่าไหร่ แต่ระบบการชำระค่าน้ำมันนี้ก็ได้ถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่องและเพิ่งจะปิดตัวลงไปเมื่อเดือนมีนาคม 2022 ที่ผ่านมานี่เอง จนกระทั่งไอเดียนี้ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นและพัฒนาอีกครั้งภายใต้ความร่วมมือกันของสถานีบริการน้ำมันที่ชื่อว่า “Sinclair” ซึ่งมีมากกว่า 1,600 สาขาในกว่า 30 รัฐ ในประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับแพลตฟอร์มที่จะถูกนำมาใช้ในการจ่ายค่าน้ำมันคราวนี้เป็นตาของ “Apple CarPlay” ที่มีหลักการทำงานที่ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทุกรุ่นที่รองรับระบบ Apple CarPlay นั้นสามารถใช้งานโดยการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของ Sinclair ที่สามารถนำทางไปสู่ปั๊มน้ำมันของ Sinclair ที่ใกล้ที่คุณสุดจนกระทั่งชำระค่าน้ำมันโดยที่ไม่ต้องควักบัตรเครดิต หรือเงินสดออกมาเลยแม้แต่น้อย แถมยังรองรับการบันทึกข้อมูลการเดินทาง – ใช้เชื้อเพลิงสำหรับผู้ที่จะต้องนำประวัติการใช้งาน ไปทำเรื่องเบิกจ่ายได้ด้วย
สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่านั้นสำหรับการใช้งานผ่าน Apple CarPlay ก็คือ มันสามารถใช้ในการชำระค่าบริการอื่นๆได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าจอดรถ, สั่งอาหาร หรือค้นหาและนำทางไปยังสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electronic Vehicle: EV) อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะถูกนำร่องให้ทดลองใช้งานได้ในช่วงปลายปี 2022 นี้ ก่อนที่จะปรับแก้ข้อบกพร่องครั้งสุดท้าย และเปิดให้ใช้งานจริงอย่างเป็นทางการในปีหน้า
ด่านต่อไปที่จะต้องเร่งพัฒนาคงจะหนีไม่พ้นการเพิ่ม เครือข่ายของสถานีบริการน้ำมันที่รองรับการชำระเงินแบบใหม่นี้ เพราะถ้าหากจำนวนสถานียิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่าโอกาสที่จำนวนผู้ใช้งานก็จะเติบโตตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน สำหรับประเทศไทยของเรานั้นยังคงต้องรอกันต่อไปว่า เทคโนโลยีนี้จะถูกนำเข้ามาใช้เมื่อไหร่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ผู้ใช้รถชาวไทยก็คงจะให้ความสำคัญกับ ราคาน้ำมันต่อลิตรเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน