จำนวนรถยนต์ถูกยึดสามารถใช้ในการคาดคะเน ทิศทางของสภาวะเศรษฐกิจได้ว่าตอนนี้มีสภาสะอย่างไร ล่าสุด มีรายงานว่าจำนวนรถยนต์ถูกยึดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มสูงขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีการคาดการณ์ว่ากว่าจะถึงสิ้นปี จำนวนรถยนต์ถูกยึดในสหรัฐฯ อาจมีจำนวน 1.6 ล้านคัน หรือเทียบเท่ากับปี 2018 ก่อนการระบาดของ COVID-19 ที่ยอดขายรถยนต์ลดลง และส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ลดลงด้วย
หลังสภาวะโรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ยอดขายรถยนต์ได้กลับมาอยู่ในระดับเดิม รวมถึงจำนวนรถยนต์ถูกยึดด้วย โดยตัวเลขรถยนต์ถูกยึดในสหรัฐฯ ได้ลดลงลงไปต่ำสุดเหลือ 1.1 ล้านคัน ในปี 2021 ก่อนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1.2 ล้านคัน ในปี 2022 และ 1.5 ล้านคัน ในปี 2023 ทั้งยังมีการคาดคะเนด้วยว่ายอดรถยนต์ถูกยึดจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 1.7 ล้านคันในปี 2025 และแตะระดับ 1.8 ล้านคัน ในปี 2028
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขเชิงสถิติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคำนวณออกมาได้ว่าราคารถยนต์ใหม่โดยเฉลี่ย ที่ออกขายในสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 อยู่ที่ 48,644 USD (ราว 1,747,000 บาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนอัตราดอกเบี้ยผ่อนรถยนต์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7.24% สำหรับรถยนต์ใหม่ และ 7.49% สำหรับรถยนต์ใช้แล้ว
นักวิเคราะห์ด้านเศณษฐกิจมองว่าสัดส่วนรถยนต์ที่พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ ถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนการเกิดวิกฤศเศรษฐกิจ ที่เป็นผลจากผู้คนมีรายจ่ายไม่พอ แถมก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงกลางยุค 2000s จุดเริ่มต้นก็มาจากยอดรถยนต์ถูกยึดเพิ่มสูงขึ้น ตามมาด้วยสภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหา นำไปสู่วิกฤตทางการเงินที่แม้แต่บริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่หลายรายก็แทบเอาตัวไม่รอด ซึ่งใช้เวลานานหลายปี กว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ