มาชมอีกหนึ่งรถยนต์ SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าน้องใหม่นาม Byton M-Byte จากประเทศจีน ที่กลับอีกครั้งในงาน CES 2019 หลังเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบไปในปีก่อน โดยจุดเด่นมีทั้งแบตเตอรี่ความจุสูง เดินทางได้ไกลกว่า 500 กิโลเมตร ส่วนห้องโดยสารใส่หน้าจอแสดงผล ขนาดใหญ่ถึง 48 นิ้ว

มาเริ่มต้นกับภายนอกกันก่อน ซึ่งแม้จะเป็นรถยนต์ SUV แต่ดูเน้นความสปอร์ตพอสมควร เนื่องจากมีความสูงจากพื้นไม่มากเท่าใดนัก และยังใส่ล้อขนาดใหญ่เต็มซุ้มมาให้ เส้นสายตัวถังดูโฉบเฉี่ยวทั้งคัน ไฟหน้าและไฟท้ายยังออกแบบมา ให้เชื่อมต่อกันยาวตลอดแนว

ห้องโดยสารของ Byton M-Byte มีจุดขายหลายอย่างด้วยกัน เริ่มต้นกับหน้าจอแสดงผล SED (Shared Experience Display) ขนาด 48 นิ้ว ซึ่งน่าจะเป็นจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งในรถยนต์ โดยผู้ผลิตระบุว่าไม่กวนสมาธิคนขับ เพราะปรับแสงอัตโนมัติ และยังปลอดภัยตามมาตรฐานทดสอบการชนในทุกตลาด

พวงมาลัยมีหน้าจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งอยู่เหนือถุงลมนิรภัย ให้ผู้ขับขี่ใช้ควบคุมระบบต่างๆ บริเวณคอลโซลกลางยังมีหน้าจอแสดงผลอีกตัว ขนาด 8 นิ้ว ไว้สำหรับผู้ใช้งานใช้ควบคุมระบบต่างๆ ภายในรถยนต์ ด้านหลังยังมีหน้าจอแยกต่างหากให้ผู้โดยสาร รับชมความบันเทิงที่เชื่อมต่อกับจอ SED ด้านหน้า

การสั่งการใน Byton M-Byte สามารถทำได้หลายวิธีทั้ง สัมผัสหน้าจอ, โบกมือ หรือ คำสั่งเสียง โดยระบบสามารถจดจำเสียงผู้ใช้งานแต่ละคน ที่นั่งอยู่คนละตำแหน่ง นอกจากนั้น เบาะนั่งคู่หน้ายังสามารถปรับหันหน้าเข้าหากัน ให้ทำมุม 12 องศา เมื่อรถยนต์จอดนิ่งได้ด้วย

มีการเปิดเผยว่า Byton M-Byte จะมีขุมพลังให้เลือก 2 แบบ แบ่งเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 71 kWh และ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 95 kWh โดยเดินทางได้สูงสุดเป็นระยะทาง 250 และ 520 กิโลเมตร ตามความจุแบตเตอรี่ ทั้งคู่ยังสามารถอัดไฟได้ 80% ของความจุ ภายในเวลา 30 นาที

ระบบความปลอดภัยของ Byton M-Byte มาพร้อมกับระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ส่วนรถยนต์คันผลิตจริงจะเปิดตัวอีกครั้ง ในช่วงกลางปี ปิดท้ายกับข้อมูลโรงงงานผลิต ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน และมีกำลังการผลิตสูงสุด 300,000 คันต่อปี

ยอดผลิตทั้งหมดของ Byton M-Byte จะถูกแบ่งไว้จำหน่ายในจีน 50% อีก 30% อยู่ที่สหรัฐฯ และ 20% ที่ยุโรป เบื้องต้น ราคาจำหน่ายของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ซึ่งไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย เริ่มต้นในพิกัด 45,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 1,437,000 บาท) ส่วนผลตอบรับจากตลาดจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามชม

 

ที่มา: motorauthority, autoblog