เรียกว่าเป็นรถยนต์ Bugatti ที่หายากยิ่งกว่า Veyron หรือ Chiron เสียอีก สำหรับ EB 110 ซุปเปอร์คาร์ในตำนานแห่งยุค 90s เพราะในช่วงเวลามันถูกผลิตออกมาเป้นจำนวนจำกัดเพียงแค่ 139 คันบนโลกเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ Romano Artioli หัวเรือใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน ผู้ถือครอง Buggati ในยุคสมัยนั้น เพื่อปลุกปั้นให้เป็นแบรนด์รถสปอร์ตที่มีความพิเศษ โดยผลิตเป็นจำนวนจำกัด ก่อนในปัจจุบัน อย่างที่หลายท่านคงจะทราบกันดีว่า Volkswagen Group เข้ามาเป็นผู้อุ้มชูแบรนด์รถยนต์เก่าแก่นี้ให้ดำเนินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในเหล่าบรรดา EB 110 ทั้ง 139 คันนั้น จะมีรุ่นที่พิเศษขึ้นไปอีกกับรหัส EB 110 SS ที่ย่อมาจากคำว่า “ Super Sport “ ซึ่งเป็นตัวที่จะมีพลังสูง และน้ำหนักเบากว่ารุ่นปกติ โดยผลิตออกมาเพียง 30 คันเท่านั้น และเคยมีตำนานแชมป์โลก F1 7 สมัยอย่าง Michael Schumacher ได้ครอบครองเป็นสีเหลืองอยู่หนึ่งคัน ด้วยเช่นกัน
สำหรับคันที่ถูกนำออกมาประมูลครั้งนี้ ก็เป็นรุ่นสุดหายาก 1 ใน 30 คัน นั่นเอง แต่ไม่ใช่คันของตำนานแชมป์ โดยคันนี้มีตัวรถเป็นสีเงิน มาพร้อมกับรหัสแชสซี ZA9BB02E0RCD39012 อีกทั้งถ้าเข้าไปมองตัวเลขบนหน้าปัดจะพบว่า มันยังคงใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งออกจากศูนย์ เพราะเพิ่งถูกใช้งานไปเพียง 917 กิโลเมตร เท่านั้น ตลอดจนในส่วนของ หนังสือคู่มือประจำรถ, ชุดเครื่องมือ, อุปกรณ์เสริม และ เล่มโบรชัวร์ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างครบถ้วน และมีสภาพดี
ประวัติเจ้าของที่ครอบครอง EB 110 SS คันดังกล่าว มือแรกเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อปี 1994 โดยมีชื่อเจ้าของที่ใช้นามว่า Mrs. Muller ก่อนที่จะขายให้กับ Supercar Collection ในญี่ปุ่น จนท้ายสุด ได้ตกอยู่กับมือเจ้าของปัจจุบันในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้ซื้อมาในปี 2012
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้นว่า EB 110 SS เป็นเวอร์ชั่นพิเศษแรงขึ้น และมีน้ำหนักเบากว่าปกติ โดยมันมาพร้อมหัวใจหลักคือ ขุมพลังเครื่องยนต์แบบ เบนซิน V12 วางกลางลำ (Mid-Engine) ขนาด 3.5 ลิตร อัดอากาศด้วย เทอร์โบ 4 ลูก (Quad-Turbo) ซึ่งได้ปรับแต่งทั้ง การจูนกล่อง ECU, ขยายไซส์หัวฉีดให้ใหญ่ขึ้น และทำทางเดินระบบไอเสียให้โล่งขึ้น จนสามารถผลิตกำลังออกมาได้สูงสุด 610 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD)
ตลอดจนน้ำหนักของตัวรถที่มีเพียง 1,400 กิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกันกับ รถยนต์ขนาด Compact Car เท่านั้น ส่งผลให้ EB 110 SS สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.26 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดทำได้ 355 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากไม่มี McLaren F1 ในยุคสมัยนั้น EB 110 SS ก็คงจะถูกจดจำว่าเป็น รถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก ไปแล้ว
ทั้งนี้ EB 110 SS คันดังกล่าว กำลังจะตามหาเจ้าของใหม่ในการรับไปเลี้ยงดู โดยผ่านขั้นตอนการประมูลโดย RM Sotheby’s ในปี 2019 ที่กรุงปารีส แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วง 2 ปีที่แล้ว ก็เคยมี EB 110 SS สภาพนางฟ้า 2 คัน หลุดออกมาประมูลด้วยเช่นกัน โดยครั้งนั้น มันถูกประมูลออกไปด้วยตัวเลขถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,420,000 บาท) เลยทีเดียว ซึ่งในคราวนี้ตัวเลขจะไปจบลงที่เท่าไร ? คงต้องมาลุ้นกัน
ที่มา : autoevolution