แม้ BMW จะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ ที่เพิ่มการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังเล็งเห็นอนาคตของเครื่องยนต์สันดาปภายใน พร้อมคาดการณ์ว่า เราอาจได้ใช้รถยนต์น้ำมันไปอีกหลายทศวรรษ โดยบริษัทพร้อมเดินหน้าพัฒนาเครื่องยนต์ต่อไป เพียงแต่ตัวเลือกจะหลากหลายน้อยลงในอนาคต

Klaus Froelich ผู้ดำรงตำแหน่ง Chief Technical Officer เปิดเผยว่า เครื่องยนต์ดีเซลน่าจะอยู่ต่อไปอีก 20 ปี ส่วนเครื่องยนต์เบนซินอาจอยู่ต่อไปอีก 30 ปี เนื่องจากบริษัทมองว่ายังมีหลายพื้นที่ ที่มีสาธารณูปโภคไม่รองรับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น รัสเซีย, ตะวันออกกลาง และบางส่วนจีนในส่วนตะวันตก
ทั้งนี้ เมืองใหญ่ของจีนมีโอกาสกลายเป็นเมือง ที่มีแต่รถยนต์ไฟฟ้าภายในช่วงเวลา 10 ปี เนื่องจากการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่วนในยุโรปและสหรัฐฯ เขามองว่าน่าจะเหมาะกับรถยนต์ Plug-in Hybrid มากกว่า ด้านสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ไม่มากจนเป็นประชากรรถยนต์ส่วนใหญ่

Froelich ระบุด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้าสูงมีต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะวัตถุดิบทำแบตเตอรี่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเลวร้ายลงด้วยซ้ำ หากผู้ผลิตรถยนต์ต่างพากันมุ่งหน้ามาผลิต EV ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุให้เครื่องยนต์สันดาปภายในยังคงอยู่ แต่ BMW ระบุว่าทางเลือกอาจลดลง เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาเครื่องยนต์บางชนิด เช่น V12 ให้ผ่านกฎหมายควบคุมมลพิษนั้น สูงมากจนไม่คุ้มกับยอดขาย
ทั้งนี้ ใช่ว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็กจะรอด เพราะ Froelich มองว่า เครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เทอร์โบ เองก็มีต้นทุนสูงเช่นกัน ส่วนการพ่วงเทอร์โบหลายลูกก็แพงไม่ต่างกัน ดังนั้น เครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่มีอายุยืนที่สุด เห็นจะเป็นแบบ 4 และ 6 สูบ ด้านเครื่องยนต์ขนาดใหญ่อย่าง V8 ยังอาจคงอยู่ เนื่องจาก BMW มีแผนพัฒนาระบบ Hybrid สำหรับเครื่องยนต์ประเภทนี้อยู่ ซึ่งจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามชม
ที่มา: motorauthority, carscoops