แต่ก่อน Audi จะมีวิธีคำนวณตัวเลข 2 หลักโดยอ้างอิงจากสูตรสมการทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนเกินกว่าที่คนทั่วไปจะแคร์ (อ่านวิธีคำนวณตัวเลขแบบเก่าได้ที่ท้ายบทความ) ล่าสุด Audi ยังใช้รหัสเลข 2 หลักในการบ่งบอกความแรงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ
- คราวนี้ Audi ทั้งโลกจะใช้ระบบตัวเลขรุ่นแบบเดียวกัน (เดิมจะมีเฉพาะบางประเทศที่ใช้ตัวเลขบอก)
- ตัวเลข 2 หลักไม่ได้อิงกับสมการฟิสิกส์อีกต่อไป แต่แค่เป็นตัวเลขที่บ่งบอกกลายๆว่ารถรุ่นนั้นๆ ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงม้ามากหรือน้อย
รหัสเลข 2 หลักที่ Audi ใช้จะอยู่ระหว่างรหัส 30 – 70 และเพิ่มขึ้นทีละ 5 หรือ 10 จากรหัสเริ่มต้นไปจนถึงรหัสสุดท้าย ในรถยนต์รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดน้อยจะใช้เลข 2 รหัสที่มีค่าต่ำกว่า รถยนต์รุ่นเดียวกันแต่ใช้เครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดมากกว่า ซึ่งจะเพิ่มค่าของรหัสเลข 2 หลักไปเรื่อยๆ แปรผันตามกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ โดยแบ่งได้เป็น 9 รหัส ดังต่อไปนี้
- รหัส 25 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) หรือ ต่ำกว่า
- รหัส 30 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 110 – 130 แรงม้า (PS)
- รหัส 35 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 149 – 163 แรงม้า (PS)
- รหัส 40 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 170 – 203 แรงม้า (PS)
- รหัส 45 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 230 – 252 แรงม้า (PS)
- รหัส 50 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 286 – 313 แรงม้า (PS)
- รหัส 55 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 333 – 374 แรงม้า (PS)
- รหัส 60 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 435 – 462 แรงม้า (PS)
- รหัส 70 ใช้กับ Audi รุ่นที่ให้กำลังสูงสุดมากกว่า 544 แรงม้า (PS)
จึงสรุปได้ว่า ยิ่งรหัสเลข 2 หลักมีค่ามาก รถยนต์คันนั้นยิ่งแรง ทาง Audi ระบุว่าหลักเกณฑ์นี้จะนำไปใช้กับรถยนต์ทุกรุ่น และทุกแบบเครื่องยนต์ทั้งเบนซิน TFSI, ดีเซล TDI, Hybrid รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง g-tron และ e-tron อย่างไรก็ตาม รถยนต์ตระกูล R, RS และ R8 จะไม่ได้ใช้รหัสนี้ เพื่อคงไว้ถึงความเป็นที่สุดในรุ่น
Audi กล่าวว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะช่วยให้คนเข้าใจระดับสมรรถนะของรถยนต์ Audi ในแต่ละคันได้ง่ายขึ้น สำหรับรถยนต์รุ่นที่จะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้เป็นรุ่นแรกคือ Audi A8 ที่จะเริ่มออกจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2017 และ จะทยอยนำไปใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทีละรุ่น ซึ่งคาดว่าจะครบทุกรุ่นภายในปี 2018 นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับแฟนๆ Audi ที่จะไม่ต้องปวดหัวกับหลักเกณฑ์รหัสเลข 2 หลักของเดิมอีกต่อไป
ที่มา: audi-mediacenter
สำหรับหลักเกณฑ์การคำนวณรหัสเลข 2 หลักที่ Audi เคยใช้ก่อนหน้า Pan Paitoonpong ได้อธิบายเอาไว้ดังนี้
ตัวเลข 35, 40, 45 นั้น เป็นตัวเลขที่สื่อถึงอัตราเร่ง “ของรถยนต์” ไม่มีการนำพลังเครื่องยนต์เข้ามาคำนวณ
วิธีการคือ..เขาจะเอาไปโยงกับสูตร V = (u+a) x t แปลงค่า 100 กม./ชม. เป็น เมตร/วินาที
100kmh/60mins = (100×1000)/60×60 = 100,000/3,600 = 27.78 เมตร/วินาที
ดูสูตรตรงกลาง เด็กไม่วิทย์อย่างผมงง เอาเป็นว่าจำไว้ว่า 100 ก.ม./ชม. เท่ากับ 27.78 เมตร/วินาที
จากนั้นเอาค่า 27.78 เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 ของรถคันนั้นตามที่ Audi เคลม
ยกตัวอย่าง Q2 35 TFSI อัตราเร่ง 0-100 km/h ทำได้ใน 8.5 วินาที
27.78 หาร 8.5 ได้ค่าเท่ากับ 3.2682 -> ปรับเป็นทศนิยมสองตำแหน่ง = 3.27
จากนั้น เอา 3.27 ไปคูณกับ ค่าของ 100 หาร 9.81
(100 หาร 9.81 คือค่าอัตราเร่งต่อกรัมโดยสมมติฐาน 1 กรัม=100)
พอเอา 3.27 x 100/9.81 ก็ได้เท่ากับ 33.33
เมื่อได้แล้วให้ปัดเศษขึ้นหรือลงทีละ 5 หน่วย อย่างเคสนี้ 33.33 ก็ปัดขึ้นเป็น 35
นั่นคือที่มาของ 35 TFSI
หรือย่อสูตรให้สั้นๆ
Dynamic Badge Number = (27.78/ อัตราเร่ง 0-100) x 10.194 แล้วนำผลลัพธ์ไปปัดเศษขึ้นหรือลงทีละ 5 หน่วย
สรุป
มันเป็นตัวเลขที่บอกว่ารถเร่ง 0-100 เร็วแค่ไหน พูดง่ายๆคือ 35 = เร็วแบบรถบ้าน 40 = เริ่มไม่กระจอก 45 = ไม่แน่จริงปล่อยๆ มันแซงไปเถอะ