ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เราเคยอยู่ในยุคที่ผู้ผลิตรถยนต์พากันออกมาประกาศ กำหนดการยุติการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่ในระยะหลัง บริษัทเหล่านั้นได้ทยอยออกมาเปลี่ยนแปลงนโยบาย ของการก้าวสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว และรายล่าสุดคือ Audi ที่เคยประกาศเมื่อปี 2021 ว่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าล้วนในปี 2033 แต่ตอนนี้แผนดังกล่าวอาจไม่เป็นเช่นนั้น

Gernot Döllner ตำแหน่ง CEO ของ Audi ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า บริษัทจะผลิตเครื่องยนต์ต่อไปหลังปี 2033 โดยเขายังเชื่อมั่นว่าในระยะยาวแล้ว ยังไงก็จะมีแต่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น เนื่องจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) กำหนดให้เราต้องเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และเชื้อเพลิง e-fuel ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้

 

การเปลี่ยนนโยบายของ Audi สอดคล้องกับนโยบายของสหภาพยุโรป ที่คลายความเข้มงวดของกำหนดการแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ด้วยการเลื่อนเส้นตายออกไปเป็นหลังปี 2035 ส่วนนโยบายของ Audi ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับขุมพลัง PHEV มากขึ้น โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ทุกรุ่นในอนาคต จะมีทางเลือก PHEV ด้วย ซึ่งการันตีอนาคตของขุมพลังนี้ด้วยว่า จะอยู่ในการผลิตต่อไปนานกว่าที่คาดไว้ตอนแรก

ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า Audi ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์รายเดียวที่ต้องปรับนโยบาย EV ให้สอดคล้องกับสภาพตลาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์ premium รายอื่นต่างแสดงท่าทีลักษณะนี้ โดยก่อนหน้ามี Porsche ที่ระบุว่าการถ่ายเปลี่ยนสู่ยุค EV อาจนานกว่าที่คิด, Bentley เลื่อนกำหนดการเป็นแบรนด์ EV ออกไปจากปี 2030 เป็น 2033 และ Mercedes-Benz ระบุว่าจะมีการผลิตเครื่องยนต์ต่อไปหลังปี 2030 พร้อมปรับลดเป้าขาย EV ลง

 

ที่มา: motor1


อ่านข่าว Porsche รับต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนถ่ายสู่ยุค EV นานกว่าที่คาดไว้ ได้ที่

>> https://www.headlightmag.com/news-porsche-may-delay-its-ev-transition-plan/