By Gigabright

(ภาพ Vanquish V12 จาก 007 : Die Another Day)

ถ้าพูดถึงชื่อของ Aston Martin Vanquish ไปแล้วนั้น สำหรับบางคนอาจจะยังมีภาพจำว่ามันคือรถคู่ใจของพยัคฆ์ร้าย 007  ที่มีฉากให้ได้อวดโฉมเจ้า Vanquish V12 คันงามในภาพยนต์เรื่อง James Bond ตอน Die Another Day ซึ่งนับเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่ชื่อของ Vanquish เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน

มาจนถึงวันนี้ Aston Martin Vanquish นั้นได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนโฉมไปแล้วถึง 2 เจนเนอเรชั่นโดยระหว่างทางก็หลายรุ่นย่อยพิเศษ อาทิ Vanquish S Ultimate Edition, Vanquish Zagato Roadster ในเจนเนอเรชั่นที่ 1 และ Vanquish Volante ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 และล่าสุด Tobias Moers ผู้บริหารของ Aston Martin ได้เผยถึงแผนการพัฒนาโมเดล Vanquish ที่จะถูกนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ซึ่งไฮไลท์สำคัญก็คือขุมพลังบล็อคใหม่ที่จะบอกลาเครื่องยนต์ V6 และหันไปใช้หัวใจดวงใหม่แบบ V8 พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า แบบเดียวกันกับ Mercedes-AMG GT63 S E Performance มาแทนที่

(ภาพรถยนต์ต้นแบบ Aston Martin Vanquish Vision Concept ปี 2019)

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ในงาน Geneva Motor Show จะเห็นได้ว่า Aston Martin เคยนำรถยนต์คอนเซ็ปต์ที่เป็นลักษณะเครื่องวางกลางลำซึ่งเหมือนกับพี่ๆร่วมค่ายอย่าง Valhalla และ Valkyrie โดย Next gen Vanquish จะเข้ามารับไม้ต่อนั้นในฐานะ Entry-level supercar นั่นเอง

สำหรับขุมพลังใหม่จากค่าย AMG ที่จะมาอยู่ใน Aston Martin Vanquish นั้นจะไม่ใช่เครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน แต่จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเพิ่มดีกรีความแรงขึ้นไปอีกตามยุคสมัย ทำให้แรงม้ารวมสูงถึง 831 ตัว ขณะที่เครื่องยนต์เดี่ยวๆนั้นอยู่ที่ 630 แรงม้า ส่วนพี่ใหญ่อย่าง Valhalla นั้นได้เครื่องยนต์ V8 จาก AMG GT Black Series ซึ่งจัดจ้านยิ่งกว่า

แม้ว่าเจ้า Vanquish ใหม่นั้นจะมีเครื่องยนต์ที่ให้สมรรถนะตามตารางที่สูงลิ่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นอย่าง Ferrari 296 GTB และ McLaren Artura พบว่ายังเป็นรองทั้งสองคันอยู่ เป็นเหตุให้ทีมวิศวกรต้องกลับมาหาทางตีตื้นด้วยการใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์บางส่วนแทนเพื่อไล่เบา ซึ่งอาจทำได้มากถึง 1,500 กิโลกรัม

Next gen Vanquish นั้นมีแผนเปิดตัวในปี 2025 โดย Lawrence Stroll ประธานบริษัทได้ให้ข้อมูลว่านอกจากเวอร์ชั่นธรรมดาสามัญ ที่เปิดโอกาสให้คนรักความแรงที่กระเป๋าหนักได้เป็นเจ้าของแล้ว Vanquish ก็ยังจะมีตัวแรงที่จะถูกนำไปปรับแต่ง เพื่อต่อยอดเป็นเวอร์ชั่นพิเศษในอนาคตอีกด้วย ซึ่งต่างจากวิถีของรถซุปเปอร์คาร์ที่โดยทั่วไปจะผลิตออกมาในลักษณะเวอร์ชั่นเดียวสำหรับทุกตลาด หรือ one-make global racing series นั่นเอง

ที่มา : motor1