BMW M2 รหัสตัวถัง G87 มีรุ่นปรับอุปกรณ์ตามมาแล้ว ในฐานะรุ่นปี 2025 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2024 โดยความเปลี่ยนแปลงภายนอก มีเพียงการปรับไปใช้ปลายท่อไอเสียสีดำ ล้อมีขนาด 19 นิ้ว ในด้านหน้า และ 20 นิ้ว ในด้านหลัง พร้อมเพิ่มทางเลือกล้อสีเงิน Silver สีตัวถังเพิ่มใหม่หลากหลายกว่าเดิม ประกอบด้วย สี Solid 3 สี, สี Metallic 5 สี และ สี BMW Individual Paint 6 สี ส่วนรายชื่อสีใหม่มีทั้ง สีเหลือง Sao Paulo Yellow Solid, สีแดง Fire Red Metallic, สีน้ำเงิน Portimao Blue Metallic และ สีเทา Skyscraper Grey Metallic
ห้องโดยสารของ BMW M2 รุ่นปี 2025 เปลี่ยนพวงมาลัยท้ายตัดทรงใหม่ พร้อมกับติดตั้งระบบปฏิบัติการล่าสุด BMW Operating System 8.5 มาให้ โดยทำงานร่วมกับมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว และ หน้าจอสัมผัสขนาด 14.9 นิ้ว ในส่วนของ option ที่ต้องเสียเงินเพิ่ม ปรับให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อเบาะ M Carbon bucket seats แยกต่างหากได้ โดยที่ไม่ต้องยกชุด M Race Track package ดังที่เคยเป็น ทั้งยังสั่งหุ้มพวงมาลัยด้วย Alcantara และเพิ่มสีดำ/แดง ให้เลือกในกรณีที่สั่งเปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะ M Sport seats เป็นหนัง Vernasca
ขุมพลังของ BMW M2 รุ่นปี 2025 เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 2,993 ซีซี. เทอร์โบคู่ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.3 : 1 กำลังสูงสุด 480 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที (สูงขึ้นจากเดิม 20 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดา หรือ 600 นิวตันเมตร ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ที่ 2,650 – 6,130 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ตัวเลขสมรรถนะมีดังนี้ โดยตัวเลขหลังสุดเป็นของรุ่นเกียร์ธรรมดา
- อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.0 (ไวขึ้นจากเดิม 0.1 วินาที) / 4.2 วินาที
- อัตราเร่ง 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 12.9 (ไวขึ้นจากเดิม 0.6 วินาที) / 13.7 วินาที
- ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และปลดเป็น 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อติดตั้ง M Driver’s Package เพิ่ม
BMW M2 รุ่นปี 2025 จะผลิตขึ้นจากโรงงานใน San Luis Potosí เม็กซิโก ร่วมกับ BMW 2 Series Coupé รุ่นใหม่ และจะเริ่มการผลิตในเดือนสิงหาคม 2024 ส่วนตลาดหลักอยู่ในยุโรป โดยครองส่วนแบ่ง 40% แต่ถ้าแบ่งเป็นประเทศ จะนำโดยสหรัฐฯ ตามมาด้วยเยอรมนี, จีน, อังกฤษ และญี่ปุ่น สำหรับราคาจำหน่ายเริ่มต้นในสหรัฐฯ อยู่ที่ 66,075 USD (ราว 2,423,000 บาท) ต่างจากรุ่นเดิมที่มีค่าตัวเริ่มต้นที่ 64,195 USD (ราว 2,354,000 บาท)