Honda ได้ประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2024 ว่าบริษัทยังมั่นใจในอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมประกาศแผนการก้าวเข้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนของบ Honda ภายในปี 20250 และตั้งเป้าว่าในปี 2030 บริษัทจะมียอดขายรถรถยนต์ไฟฟ้าและ FCEV เป็น 40% ของยอดขาย Honda ทั่วโลก ทั้งยังจะมียอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสะสมมากกว่า 2 ล้านคัน เพื่อให้เป้าหมายบรรลุ จึงมีการประกาศแผนการ 4 ประการด้วยกัน

ประการที่ 1 คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่น่าดึงดูดใจ โดย Honda จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มใหม่ภายใต้ตระกูล 0 Series โดยจะเริ่มเปิดตัวในปี 2026 เป็นต้นไป และจะมีการเปิดตัวถึง 7 รุ่นด้วยกันทั่วโลก ครอบคลุมขนาดรถยนต์ตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ พร้อมประเดิมสองรุ่นแรกซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ต้นแบบสองรุ่น ที่พึ่งเปิดตัวไปในงาน CES เมื่อต้นปีนี้ระหว่างรถยนต์ 4 ประตู Saloon ซึ่งจะเป็นเรือธงและ Space-Hub

 

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม 0 Series จาก Honda จะมีคุณสมบัติหลักด้วยกัน 3 ประการ ประกอบด้วย Thin, Light และ Wise ซึ่งแต่ละประการมีคุณสมบัติโดยสังเขปดังนี้

  • Thin นำ platform แบบใหม่มาใช้ครอบคลุม EV ขนาดกลางไปจนถึงใหญ่ โดยรถจะเตี้ยลงและมีระยะ overhang สั้นมาพร้อมกับ e-Axel ที่พัฒนาขึ้นใหม่และแบตเตอรี่ที่บางลงมาก ส่งผลให้ใช้พื้นที่ติดตั้งขุมพลังและแบตเตอรี่บาง (น้อยลง) จนรถเตี้ยและภายในกว้างขวาง ทั้งยังนั่งสบายและขับสนุก
  • Light นำเทคโนโลยีจาก F1 และ HEV มาใช้ ส่งผลให้น้ำหนักรวมเบาลงจากเดิม 100 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ EV รุ่นแรกๆ ของ Honda โดยแบตเตอรี่และส่วนขับเคลื่อนติดตั้งกลางคันรถ เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงช่วยให้ขับสนุก ผสานกับขุมพลังสมรรถนะสูง ทำให้ 0 Series แต่ละรุ่นขับได้ไกลกว่า 480 กิโลเมตร
  • Wise ระบบปฏิบัติการภายใน 0 Series ของ Honda รองรับการแสดงผลแบบ Digital UX ปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน รองรับการอัพเดทแบบ over the air ทั้งยังควบรวมการควบคุมของรถยนต์ทั้งคัน เข้าส่วนควบคุมกลาง ECU หลักจนเปรียนเหมือนสมองของคน ทั้งยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง รวมถึงระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 3

 

ยังคงอยู่กับประการแรก โดย Honda จะสร้างห่วงโซ่คุณค่าของรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการให้ความสำคัญกับแบตเตอรี่ซึ่ง Honda จะเริ่มผลิตแบตเตอรี่กับคู่ค้าในปี 2025 จากโรงงานในอเมริกาเหนือ พร้อมทั้งขยายขอบเขตธุรกิจแบตเตอรี่ไปยังจุดเริ่มต้นอย่างการจัดซื้อวัตถุดิบ ไปจนถึงปลายทางอย่างแบตเตอรี่ใช้แล้วด้วย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2030 บริษัทจะลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ ในอเมริกาเหนือลงได้ 20% จากราคาปัจจุบัน

ปัจจัยนี้ยังคงอยู่กับปัจจัยแรกเช่นกัน โดย Honda จะนำเทคโนโลยีการผลิต EV ขั้นสูงมาใช้ โดยโรงงานใน Ohio จะนำเครื่องจักร mega casting ขนาด 6,000 ตันมาใช้ ช่วยลดจำนวนชิ้นส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับเคสแบตเตอรี่และส่วนควบ จาก 60 กว่าชิ้นเหลือ 5 ชิ้น ทั้งจะยังเป็นโรงงานแห่งแรกของญี่ปุ่น ที่นำเครื่องจักรแบบเดียวกันนี้มาใช้ที่ศูนย์ R&D คาดว่าจะช่วยให้ Honda ลดต้นทุนการผลิตลงไปได้อีก 35%

 

ประการที่ 2 ของแผนธุรกิจ EV จาก Honda คือการเชื่อมต่อข้อมูลขั้นสูงแบบ real time ที่ได้จากระบบเชื่อมต่อในรถยนต์ มาปรับใช้กับธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์, การจัดซื้อรวมถึงการผลิต และการวางแผนบริการหลังการขาย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาจะช่วยสร้างห่วงโซ่คุณค่าให้กับ Honda ในการนำไปปรับตัว ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ EV ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประการที่ 3 ของแผนธุรกิจ EV จาก Honda คือเรื่องผลิตภัณฑ์ EV ไม่ใช่แค่การเปิดตัว 0 Series ทั้งหมด 7 รุ่นซึ่งจะขยายตลาดไปทั่วโลกตามที่กล่าวไป แต่อย่างในจีนจะเปิดตัว EV 10 รุ่น ภายในปี 2027 และมีการขยายตลาด EV ขนาดเล็กในญี่ปุ่น เริ่มต้นกับ N-VAN e: ในปี 2026 ทั้งยังให้ความสำคัญกับขุมพลัง Hybrid ในกลุ่ม HEV ด้วยการพัฒนาต่อให้ระบบเบาลงและมีสมรรถนะสูงขึ้น โดยจะเตรียมขยายทางเลือกให้หลากหลายขึ้นและนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์คู่ e-AWD มาปรับใช้

 

ประการที่ 4 ซึ่งเป็นประการสุดท้ายของแผนธุรกิจ EV จาก Honda คือเรื่องการเงิน โดย Honda วางแผนลงทุนมูลค่า 10 ล้านล้านเยน (ราว 2.33 ล้านล้านบาท) ในธุรกิจ EV นับจากนี้จนถึงปีงบประมาณ 2031 โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ล้านล้านเยน (ราว 4 แสนล้านบาท) สำหรับค่าใช้จ่าย R&D ด้าน software, 2 ล้านล้านเยน (ราว 4 แสนล้านบาท) สำหรับค่าใช้จ่ายการสร้างห่วงโซ่คุณค่า EV, 3 ล้านล้านเยน (ราว 7 แสนล้านบาท) สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนา และ 3 ล้านล้านเยน (ราว 7 แสนล้านบาท) สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน

การพัฒนาและลงทุนก้อนละ 3 ล้านล้านเยนนั้นครอบคลุมถึงเรื่องโรงงาน EV, จักรยานยนต์ขุมพลังพ่วงระบบไฟฟ้า และการพัฒนา EV รุ่นใหม่ พร้อมกันนี้ Honda ได้แบ่งแผนการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ช่วงหลัก โดยช่วงแรกคือปีงบประมาณ 2022 – 2026 ที่จะเสริมความแกร่งให้ธุรกิจรถยนต์สันดาป เพื่อนำเงินไปลงทุนกับธุรกิจ EV ช่วงถัดมาคือปีงบประมาณ 2027 – 2031 ที่เริ่มดำเนินการเปลี่ยนถ่ายจากการดำเนินธุรกิจรถยนต์สันดาปเป็นหลัก มาสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า

 

ที่มา: Honda