วันที่ 28 ตุลาคม 2021 DAIMLER ได้เปิดตัวรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน Mercedes-AMG SL-Class ในฐานะตัวแทนของ Mercedes-Benz SL-Class R231 ที่ทำตลาดมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2011 อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ SL-Class ถูกนำไปไว้ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG โดยมีความสปอร์ตเข้ามาผสมกับความหรูหรามากขึ้น

การเผยโฉมของ Mercedes-AMG SL-Class ในครั้งนี้ นับเป็นการสืบทอดตำนานของรถสปอร์ต Mercedes-Benz ที่เริ่มต้นจาก Mercedes-Benz 300SL ในปี 1954 โดย SL นั้นย่อมาจากคำในภาษาเยอรมันว่า Sport Leicht ที่แปลได้ว่า รถสปอร์ตน้ำหนักเบา รถ Mercedes-Benz SL ในรุ่นถัด ๆ มามีน้ำหนักที่มากขึ้น ให้ความสำคัญกับความหรูหรามากขึ้น จนกลายมาเป็นตัวเลือกหลัก ๆ ของบรรดาเศรษฐีที่อยากได้รถยนต์สปอร์ตที่มีความสะดวกสบาย เรียกได้ว่า SL เป็นหนึ่งในไอค่อนของแบรนด์ Mercedes-Benz เลยทีเดียว

ขนาดและมิติตัวถัง

Mercedes-AMG SL55 4MATIC+

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,705 x 1,915 x 1,359 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ Wheelbase : 2,700 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อคู่หน้า/หลัง : 1,665 และ 1,629 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ Kerb Weight : 1,950 กิโลกรัม
  • ความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร

Mercedes-AMG SL63 4MATIC+

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,705 x 1,915 x 1,353 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ Wheelbase : 2,700 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อคู่หน้า/หลัง : 1,660 และ 1,625 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ Kerb Weight : 1,970 กิโลกรัม
  • ความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร

ภายในห้องโดยสารของ Mercedes-AMG SL-Class มีความโดดเด่นอยู่ไม่น้อย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถต้นตระกูลอย่าง 300SL มีการติดตั้งเบาะนั่งแบบ 2 + 2 ซึ่งเคยใช้ครั้งสุดท้ายในรุ่น R129 ที่เลิกผลิตไปในปี 2000

ธีมการออกแบบนั้น เป็นการผสมผสานความเป็นอนาล็อก เข้ากับความเป็นดิจิตอล หรือ “Hyperanalogue” นอกเหนือจากคุณภาพของวัสดุที่คัดเลือกมาเป็นอย่างดี ยังมีเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ ที่ทันสมัยเข้ามารวมเป็นแพ็คเกจ

ระบบ Infotainment ของ Mercedes-AMG SL-Class เป็นแบบ MBUX Multimedia เจเนอเรชั่นที่ 2 โดยชุดมาตรวัดเป็นแบบ LCD ความละเอียดสูง ขนาด 12.3 ริ้ว ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาตรวัดบนเครื่องบิน ในขณะที่หน้าจอกลางนั้นมีขนาด 11.9 นิ้ว โดยสามารถปรับองศาของหน้าจอเพื่อลดการสะท้อนขณะเปิดหลังคาได้ อีกทั้งยังปรับโหมดการแสดงผลได้ถึง 5 โหมด ตามความต้องการ ประกอบด้วย Classic, Sport, SuperSport, Track Pace และ Discreet

 

มีจุดเด่นพิเศษอยู่ที่ฟังก์ชั่น AMG Track Pace ซึ่งติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ AMG SL63 และเป็นอุปกรณ์ทางเลือกเสริมสำหรับ AMG SL55 ซึ่งรวมอยู่ในระบบของ MBUX อันเป็นฟังก์ชั่นที่สามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ของรถได้ถึง 80 อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว อัตราเร่ง องศาพวงมาลัย ฯลฯ รวมไปถึงการจับเวลาต่อรอบสำหรับการลงสนาม ฟังก์ชั่นนี้สามารถแสดงผลผ่านหน้าจอ โดยที่คนขับสามารถเลือกค่าที่ต้องการดูได้ และถ้าหากเลือกออปชั่น Dash Cam ก็จะสามารถบันทึกภาพการขับขี่ โดยแสดงผลข้อมูลนี้ในวีดีโอได้ด้วย

ระบบ MBUX นั้น ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นของระบบนำทางหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Live Traffic การรายงานสภาพการจราจร อีกทั้งยังมีการเชื่อมต่อกับระบบ what3words ที่ซึ่งทุก 3 ตารางเมตรบนโลกนี้ ถูกตั้งที่อยู่ใต้คำ 3 คำ ทำให้แม้จะไม่มีที่อยู่แบบปกติก็สามารถตั้งค่าระบบนำทางได้ อีกทั้งระบบ MBUX ยังมาพร้อมกับระบบ Voice Assistant ที่สามารถสั่งการผ่านเสียงด้วยประโยคง่าย ๆ ได้ทันที เหมือนกับระบบ Voice Assistant ของโทรศัพท์มือถือ

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

AMG SL 55

เครื่องยนต์รหัส M177 เบนซิน 8 สูบ V ขนาด 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 8.6 : 1 พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ Bi-Turbocharged กำลังสูงสุด 476 แรงม้า (PS) ที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ 2,250-4,500 รอบ/นาที

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 3.9 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง

AMG SL 63

เครื่องยนต์รหัส M177 เบนซิน 8 สูบ V ขนาด 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 8.6 : 1 พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ Bi-Turbocharged กำลังสูงสุด 585 แรงม้า (PS) ที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 3.6 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 315 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ความแตกต่างของสองรุ่นนั้น อยู่ที่การปรับตั้งค่า ECU โดยมีปริมาณ Boost เป็นความแตกต่างหลัก

ทั้งสองรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+ ที่สามารถส่งกำลังไปยังล้อต่าง ๆ ได้แบบ Variable นี่เป็นครั้งแรกใน Mercedes SL ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

อนาคตจะมีเครื่องยนต์มาเสริมทัพอีก 2 ชนิด โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นแบบ E Performance Hybrid

ระบบบังคับเลี้ยว

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า Electromechanical Power Steering แบบ Speed Sensitive และ Variable Power Assistance อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อ ซึ่งล้อหลังจะสามารถเลี้ยวได้ถึง 2.5 องศา ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำ ตลอดจนเพิ่มสเถียรภาพการทรงตัวในย่านความเร็วสูง

ระบบกันสะเทือน

ระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นแบบ Double Wishbone พร้อมระบบ AMG Active Ride Control ปีกนกเป็นวัสดุอลูมิเนียม และมีระบบ Anti-Dive Control ช่วยลดอาการหน้าทิ่มขณะเบรกหรือชะลอความเร็ว โดยในรุ่น AMG SL63 จะมีเหล็กกันโคลงแบบ Semi-Active Hydraulic ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

ล้อของรุ่น AMG SL63 มีขนาด 20 นิ้ว สวมยางขนาด 265/40 ZR20 ที่ล้อคู่หน้า และขนาด 295/35 R20 ที่ล้อคู่หลัง ส่วน AMG SL55 มาพร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้ว  สวมด้วยยางขนาด 255/45 ZR19 ที่ล้อคู่หน้า และขนาด 285/40 ZR19 ที่ล้อคู่หลัง

ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้าเป็นแบบมีครีบและรูระบายความร้อน ขนาด 390 มิลลิเมตร จับคู่กับคาลิปเปอร์ 6 พอต จานเบรกหลังเป็นแบบมีครีบและรูระบายความร้อน ขนาด 360 มิลลิเมตร จับคู่กับคาลิปเปอร์ 1 พอต เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking System ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist ระบบช่วยการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) แบบ 3-Stage และเบรกมือไฟฟ้า

ตัวถังของ Mercedes-AMG SL-Class รุ่นใหม่นี้ เป็นแบบ Aluminium Spaceframe ซึ่งถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ใช้ร่วมกับ SL-Class รุ่นก่อนหน้า หรือ Mercedes-AMG GT อีกทั้งยังมีการใช้ชิ้นส่วนน้ำหนักเบา อาทิ Carbon-Fiber Glass-Fiber Magnesium Aluminium และเหล็กในโครงสร้างจุดต่างๆ ตามความเหมาะสม โดยผลลัพธ์นั้น Mercedes-AMG SL-Class ใหม่ มีความแข็ง Torsional Stiffness ที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 18% อีกทั้งยังถูกออกแบบให้จุดศูนย์ถ่วงนั้นต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ที่มา :  DAIMLER