AF8 ที่มีอยู่แล้วซึ่งคราวนี้มาเต็มด้วยความบ้าดีเดือดที่นำเครื่องยนต์ V8 มาผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ถึง 4 ตัวทำให้มีกำลังสูงสุดถึง 2 พันแรงม้าจากโรงงานประกอบกับโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ทั้ง
คันทำให้นำห้นักรถไม่หนักมากแม้ว่าจะต้องแบกน้ำหนักมอเตอร์ก็ตามที
โครงสร้างนั้นทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ 13 ชิ้นรวมกันโดยที่ผู้ผลิตอ้างว่าโครงสร้างทั้งหมดนี้มีน้ำหนัก
เท่ากับ iPhone 6 จำนวน 658 เครื่องในขณะที่ชิ้นส่วนอื่นๆทำจากวัสดุอลูมิเนียม ส่วนช่วงล่างหน้า
หลังนั้นเป็นแบบ Double Wishbone พร้อมระบบ Hydraulic ที่ปรับความสูงขึ้น-ลงอีก 15 เซนติเมตร
ซึ่งทาง Arash กล่าวว่าใส่มาให้เพื่อขับขึ้นเนินหลังเต่าโดยเฉพาะ ส่วนล้อนั้นมีขนาด 19 นิ้วในด้านหน้า
และ 20 นิ้วในด้านหลัง
เครื่องยนต์นั้นมีให้เลือก 2 ระดับความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 6.2 ลิตรให้กำลังสูงสุด 558 แรงม้า
(PS) จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่วนอีกระดับความแรงนั้นเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 พ่วง supercharger
ให้กำลังสูงสุดมากกว่า 900 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดมากกว่า 122.36 กก-ม. (1,200 นิวตันเมตร)
พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 4 ตัวโดยที่แต่ละตัวนั้นให้กำลังสูงถึง 300 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงถึง 27.53
กก-ม. (270 นิวตันเมตร) ซึ่งเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดแล้ว AF10 Hybrid จะให้กำลังสูงสุดถึง 2,109 แรงม้า
(PS) และแรงบิดสูงสุดมากกว่า 232.49 กก-ม. (2,280 นิวตันเมตร)
เครื่องยนต์นั้นมีน้ำหนักเพียง 120 กิโลกรัมเพราะทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียม ส่วนมอเตอร์นั้นก็ไม่ได้หนัก
อะไรเลยเพราะเมื่อนำน้ำหนักทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์มารวมกันแล้วจะมีน้ำหนักทั้งหมดเพียง 280
กิโลกรัม ส่วนระบบส่งกำลังนั้นมีให้ถึง2 ตัวโดยที่เป็นเกียร์ 6 จังหวะสำหรับถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์
ลงสู่ล้อ และเกียร์ 2 จังหวะอีก 1 ตัวในการถ่ายถอดกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งผลให้อัตราเร่งจาก 0-100
กิโลเมตร/ ชั่วโมงของรถคันนี้ต่ำกว่า 3 วินาที หรือ 5 วินาทีสำหรับ 0-200 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ส่วนความ
เร็วสูงสุดนั้นมากกว่า 323 กิโลเมตร/ ชั่วโมง
Arash AF10 นั้นมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย โดยที่รุ่นเครื่องยนต์ V8 เกียร์ธรรมดานั้นตั้งราคาไว้ที่ 350,000
ยูโรหรือราวๆ 13 ล้านบาทในขณะที่รุ่น Hybrid นั้นอยู่ที่ 1.1 ล้านยูโรหรือราวๆ 43 ล้านยูโรและยังมีรุ่น
Hybrid Racer ที่เพิ่มระบบเครื่องดับเพลิงภายในห้องโดยสาร, โรลเคจ, และอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้ในการ
แข่งขันมาให้เป็นมาตรฐาน สนนราคาอยู่ที่ 1.1 ล้านยูโรหรือราวๆ 47 ล้านบาท ทั้งหมดเปิดให้จองแล้ว
แต่ผู้ผลิตยังไม่ได้แจ้งว่าจะพร้อมส่งรถได้เมื่อไร