แม้ว่ากระแสการพัฒนารถยนต์ในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่ระบบขับขี่อัตโนมัติและการนำพลังงานไฟฟ้า
มาใช้ในการขับเคลื่อน Mercedes-Benz ยังคงเลือกที่จะพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลต่อเนื่องจากทางค่าย
มั่นใจว่ายังมีลูกค้าที่ยังเลือกซื้อเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบไปอีกพักใหญ่ๆ ซึ่งคราวนี้ทางค่ายได้ลงทุน
ด้วยเม็ดเงินมากถึงเกือบ 3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (หรือประมาณ 108,000 ล้านบาท) เพื่อพัฒนา
เครื่องยนต์ดีเซลตัวใหม่รหัส OM 654

mercedes-benz-2-0-liter-four-cylinder-diesel-engine-om-654_100545648_l
110

เครื่องยนต์ OM 654 ทำจากวัสดุอลูมิเนียมทั้งตัว ดีเซล 4 สูบ Commonrail Turbocharged
16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 ให้ กำลังสูงสุด 194 แรงม้า (PS) 
ที่ 3,800 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด  40.78 กก-ม. (400 นิวตันเมตร) ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที
ซึ่งตัวนี้จะมาแทนที่เครื่องตัวเดิม ขนาด 2.1 ลิตรที่ให้กำลังสูงสุด 169 แรงม้าและแรงบิดเท่ากัน
ส่วนน้ำหนัก นั้น เครื่องรหัส OM 654 อยู่ที่ 168 กิโลกรัม ส่วน 2.1 ลิตร ตัวปัจจุบันอยู่ที่ 202 กิโลกรัม
ดีเซลบล๊อกใหม่ 2.0 ลิตร จะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

Untitled

นั่นหมายความว่าเครื่องยนต์ตัวใหม่นั้นดีกว่าตัวเดิมในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นกำลังสูงสุด, น้ำหนัก, อัตราการ
บริโภคเชื้อเพลิง, และการปล่อยมลพิษเนื่องจากทาง Mercedes-Benz ติดตั้งระบบ SCR หรือ Selective
Catalytic Reduction มาให้ด้วยซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดก๊าซพิษอย่าง Nitrogen Oxide ลงและก๊าซตัวนี้ยัง
เป็นก๊าซตัวเดียวกันกับก๊าซที่เป็นปัญหาในเครื่องยนต์ดีเซลฉาวของ Volkswagen สำหรับรถยนต์รุ่นแรก
ของค่ายดาวสามแฉกที่จะได้ใช้ OM 654 เป็นรุ่นแรกคือ E-Class รุ่น E220d ซึ่งจะเริ่มขายในยุโรปตั้งแต่
ฤดูใบไม้ผลินี้เป็นต้นไป เมื่อมาอยู่ใน E-Class (W213) รหัส E220d จะปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำสุดที่ 102 g./km.

e220d_banner_edit 2016-Mercedes-E-Class-E220d-profile-leaked

สำหรับ E-Class (W213) ที่จะมาขายในไทยช่วงแรกนั้นจะแบบนำเข้าทั้งคัน (CBU)
คาดว่าจะมาด้วย รหัส E220d อีกไม่นานเกินรอ น่าจะได้เจอกันครับ

.

ที่มา : roadandtrack, motorauthority