แม้ว่าตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางจะซบเซา ตกต่ำลงทั่วโลก แต่ Ford พยายามฉีกทุกกฏเดิมๆ
ของรถยนต์กลุ่มนี้ เปิดตัว 2017 Ford Fusion หวังพลิกเขย่าตลาด D-segment หรือ รถซีดาน
ขนาดกลางด้วยเทคโนโลยี อัดแน่นเต็มคัน มาพร้อมกับระบบ Hybrid ถึง 2 รุ่น และปิดท้ายด้วย
เครื่องยนต์ V6 สูบ จับคู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ฉีกภาพลักษณ์รถครอบครัวขนาดกลาง หวังทิ้งคู่แข่ง
อย่าง Toyota Camry, Honda Accord และ Nissan Altima (Teana) อย่างไม่เห็นฝุ่น
Fusion มีให้เลือกด้วยกัน 3 รูปแบบเครื่องยนต์ 4 รุ่นย่อย
– Fusion V6 Sport : เครื่องยนต์เบนซิน V6 สูบ Ecoboost ขนาด 2.7 ลิตร พ่วงเทอร์โบคู่
ให้กำลังสูงสุด 330 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 475 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All Wheel Drive และช่วงล่างที่ได้รับการเช็ตอัพมาเป็นพิเศษ
รวมถึงพวงมาลัย และ การบังคับควบคุมตัวรถ ให้สัมพันธ์กับพละกำลังของเครื่องยนต์สมรรถนะสูง
เพื่อรองรับกับการขับขี่ที่สนุกสนานมากกว่ารุ่นอื่นๆอย่างสัมผัสได้ นอกจากนี้ตัวรถยังตกแต่งใน
สไตล์สปอร์ตดุดันด้วยล้อสีรมดำขนาด 19 นิ้ว กระจังหน้าแบบตาข่ายสีดำ สปอยเลอร์หลัง และ
ท่อไอเสียแบบคู่ทั้ง 2 ฝั่ง
– Fusion Hybrid / Fusion Energi : เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร + เกียร์อัตโนมัติ eCVT
ทำงานคู่กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า และ แบตเตอรี่ lithium-ion ที่ทาง Ford เคลมว่าน้ำหนักเบากว่า
และใช้พื้นที่น้อยกว่าแบตเตอรี่แบบ nickel-metal hydride สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 30 กิโลเมตร
โดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร / ชั่วโมง
และ ในรุ่น Fusion Energi จะเพิ่มระบบ Plug-in Hybrid มาอีกด้วย และการชาร์จไฟกลับ
ทำได้ในเวลาอันรวดเร็วเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
– Fusion Platinum : เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่อยากได้ความปราณีตของห้องโดยสาร
ด้วยการใช้วัสดุตกแต่งภายใน เช่น หนัง Venetian เป็นวัสดุในการหุ้มพวงมาลัย หรือ แม้กระทั่ง
ใช้หนัง Cocoa ในการบุแผงประตูต่างๆ ทางด้านเครื่องยนต์จะใช้ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร
Ecoboost และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All Wheel Drive
นอกเหนือจากทางด้านเครื่องยนต์แล้ว Ford ยังคงอัดแน่นเทคโนโลยีความปลอดภัยและช่วยเหลือ
การขับขี่มาให้ Fusion อย่างเต็มพิกัดเหมือนกับรถยนต์ Ford รุ่นอื่นๆ เช่น ระบบช่วยเตือนรักษารถ
ให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping Assist, ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับ Blind Spot Monitoring,
ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถเข้ามาขณะถอยจอด Rear Cross Traffic Alert ช่วยเรื่องความปลอดภัยเมื่อ
ถอยรถออกจากช่องจอด ทำงานควบคู่ไปกับกล้องมองภาพด้านหลัง และ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ
Active Parking Assist ที่จะช่วยให้การจอดรถเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ต้องหมุนพวงมาลัยเอง
และทำการอัพเกรดระบบความบันเทิง Entertainment System ด้วยระบบ SYNC3 ที่ทำงานได้ดีขึ้น
กว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition ที่สามารถรับคำสั่งได้มากขึ้น
ความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานไวขึ้น รวมถึงหน้าจอระบบสัมผัส Touchscreen ที่ Ford
เคลมว่าทำงานตอบสนองได้ไวเหมือนบนหน้าจอ Smart Phone และยังปรับปรุง Interface ให้ดู
ทันสมัยขึ้น พร้อมรองรับการเชื่อมต่อคำสั่งพิเศษระหว่างตัวรถกับ Smart Phone ให้เจ้าของสามารถ
สั่งการไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือ ล็อค-ปลดล็อคประตู ผ่าน Application บนมือถือได้
ที่มา : autoblog