Mercedes-Benz ได้เปิดตัว E-Class W213 เวอร์ชั่นซีดาน 4 ประตู ไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม
ที่ผ่านมา โดยใช้พื้นตัวถังแบบใหม่ Modular MRA ( Mercedes Rear-wheel drive Architecture )
คราวนี้เป็นเวอร์ชั่นแบบ Station Wagon หรือ Estate บ้าง โดยมีรหัสตัวถังที่เรียกกันว่า T-Modell

ดีไซน์ภายนอกครึ่งคันหน้าเหมือนกันกับรุ่นซีดาน 4 ประตูไม่ผิดเพี้ยน ส่วนครึ่งคันหลังนั้นคล้ายกับ
รุ่นน้องอย่าง C-Class Estate แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นประตูท้ายที่ลาดยาวกว่า
รวมถึงแนวหลังคาที่ดูลู่ลมกว่ารุ่นน้อง

2017-Mercedes-Estate-E-Class-31 2017-Mercedes-Estate-E-Class-32

ภายในนั้นยังคงใช้ร่วมกับรุ่นซีดานเช่นเคยซึ่งจะมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Analog ขนาด 8.4 นิ้วในรุ่น
มาตรฐานและ 12.3 นิ้วแบบ Digital Dual Screen 2 จอในรุ่นที่สูงขึ้นไป นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ
ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ และฟังก์ชั่นถอยจอดอัตโนมัติที่สามารถควบคุมได้ผ่าน smart phone

ห้องโดยสารด้านหลังคือส่วนที่ยืดขยายออกมา โดยมีพื้นที่เก็บของมากถึง 670 ลิตร และหากพับเบาะ
แถวที่ 2 ลง จะมีพื้นที่มากถึง 1,820 ลิตร เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วทำให้ E-Class Estate นั้นมีพื้นที่
เก็บของด้านหลังมากที่สุดในกลุ่ม ( เทียบกับ Audi A6 Avant 565 ลิตร / 1,680 ลิตร และ BMW
5-Series Touring 560 ลิตร / 1,670 ลิตร ) นอกจากนี้ยังสามารถเลือก Option เสริมเบาะนั่งแถว 3
สำหรับเด็กๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย

2017-Mercedes-Estate-E-Class-7 2017-Mercedes-Estate-E-Class-18

เบาะแถวที่ 2 นั้น สามารถแยกพับได้อิสระ 40 : 20 : 40 และ สามารถปรับเอนได้ โดยการปรับเอนขึ้น
10 องศาจะทำให้พื้นที่เก็บของด้านหลังนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 30 ลิตรเลยทีเดียว หากจะขนสัมภาระก็
ไม่ต้องห่วงว่าหน้าจะเชิด เพราะได้ออกแบบให้ช่วงล่างด้านหลังนั้นสามารถปรับระดับได้อัตโนมัติ
จากระบบ AIR BODY CONTROL / ช่วงล่างระบบถุงลม AIRMATIC ซึ่งนั้นทำให้การบรรทุกของ
กว่า 745 กิโลกรัม ที่ด้านท้ายไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

2017-Mercedes-Estate-E-Class-562017-Mercedes-Estate-E-Class-19 2017-Mercedes-Estate-E-Class-61

เครื่องยนต์ของ E-Class Estate มีให้เลือกมากมายหลากหลายความจุ เฉกเช่นเดียว
กับรุ่น Saloon 4 ประตู ทั้งเบนซิน และดีเซล

มาดูฝั่งเครื่องยนต์ดีเซลกันก่อน ทั้งหมดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

E 200d  เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. รหัส OM 654
150 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

E 220d  เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. รหัส OM 654
194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

E 350d  เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 สูบ 3.0 ลิตร 2,987 ซีซี. รหัส OM642
258 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที

 

2017-Mercedes-Estate-E-Class-27 2017-Mercedes-Estate-E-Class-26

 

ตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ทั้งหมดจับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

E 200  เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. รหัส M 274
184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที

E 250  เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. รหัส M 274
211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที

E 400 4MATIC  เครื่องยนต์เบนซิน V6 สูบ 3.5 ลิตร 3,498 ซีซี. รหัส M 276
333 แรงม้า ที่ 5,250 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที

E 43 4MATIC  เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ V6 สูบ 3.0 ลิตร 2,996 ซีซี. รหัส M 276
401 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,000 รอบ/นาที

และที่น่าจะขาดไปไม่ได้เลย คือ รุ่น E350e ซึ่งเป็นรุ่น Plug-in Hybrid โดยการนำเอา
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมพละกำลัง ออกมา
ได้ถึง 279 แรงม้า (PS) คงจะตามมาในอนาคตสำหรับเวอร์ชั่นตัวถัง แบบ Estate

Mercedes-AMG-E43-Estate-1
2017-Mercedes-Estate-E-Class-16

กำหนดการส่งมอบ E-Class Estate นั้นเริ่มช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ส่วนใครที่รอ E-Class ตัวถัง Coupe’
2 ประตู คาดว่าน่าจะเปิดตัวช่วง เดือนมีนาคม 2017และ ตามด้วย รุ่น Convertible เปิดประทุนท้าลม
ในช่วงเดือน กันยายน 2017 ดังนั้นสาวกค่ายดาวสามแฉกเตรียมนับถอยหลังรอได้เลยนับจากนี้เป็นต้นไป

 

 

ที่มา : mercedes-benz