ก่อนหน้านี้ Mercedes-Benz ได้เปิดตัว E-Class Estate ไปเมื่อเดือน มิถุนายน 2016
มีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะทั้งดีเซล E 200d, E 220d, E 350d และ
เครื่องยนต์เบนซิน E 200, E 250, E 400 รวมไปถึงรหัสตัวแรงอย่าง AMG E 43
ให้พ่อบ้าน แม่บ้านขาซิ่งได้เลือกกัน
แต่กระนั้นอาจจะไม่สาแก่ใจนัก ดังนั้น Mercedes-Benz จึงได้เปิดตัวรหัสตัวแรงเพิ่ม
กับ Mercedes-AMG E 63 และ E 63 S Estate เพื่อเอาใจขาโหดกันมากกว่าที่เคย
งานดีไซน์ภายนอกในภาพรวมก็ไม่ต่างอะไรจาก AMG E 43 มากนัก ฝากระโปรงหน้า
ทรงใหม่, กระจังหน้าสองชั้นคาดกลางด้วยเส้นโครเมี่ยม พื้นสีดำ, ซุ้มล้อขยายออกมา
อีก 27 มิลลิเมตร เพื่อให้รองรับกับ ล้อขนาด 19 นิ้ว, กันชนหน้า-หลังทรงใหม่, ครีบ
บริเวณซุ้มล้อหน้า, สเกิร์ตข้าง, สปอยเลอร์หลังขนาดเล็ก และ ปลายท่อไอเสียคู่
ออก 2 ฝั่ง ส่วนรุ่นที่แรงกว่าอย่าง E 63 S จะเพิ่มล้อขนาด 20 นิ้ว และ มีเส้นโครเมี่ยม
สีเงินตกแต่งด้านในของช่องดักลมกันชนหน้า
ภายในตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ โทนวัสดุสีดำ พร้อมไฟตกแต่งสร้างบรรยากาศ
Ambient Light เปลี่ยนได้ 64 สี รอบห้องโดยสาร ตั้งแต่บริเวณแผงประตู พาดผ่าน
แดชบอร์ดหน้า และ ยังมีไฟบริเวณที่พักขา และ คอลโซลกลางอีกด้วย เบาะเปลี่ยน
เป็นทรงที่สปอร์ตขึ้น พร้อมกับมีพวงมาลัยท้ายตัดมาให้
มีพื้นที่เก็บของมากถึง 670 ลิตร และหากพับเบาะแถวที่ 2 ลง จะมีพื้นที่มากถึง 1,820 ลิตร
เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วทำให้ E-Class Estate นั้นมีพื้นที่เก็บของด้านหลังมากที่สุดในกลุ่ม
( เทียบกับ Audi A6 Avant 565 ลิตร / 1,680 ลิตร , 5-Series Touring 570 ลิตร / 1,700
ลิตร)
นอกจากนี้ยังสามารถเลือก Option เสริม เบาะนั่งแถว 3 สำหรับเด็กๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย
เบาะแถวที่ 2 นั้น สามารถแยกพับได้อิสระ 40 : 20 : 40 และ สามารถปรับเอนได้ โดยการ
ปรับเอนขึ้น 10 องศาจะทำให้พื้นที่เก็บของด้านหลังนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 30 ลิตรเลยทีเดียว
ทางด้านเครื่องยนต์เหมือน E 63 / E 63 S รุ่น Saloon 4 ประตู คือ เปลี่ยนจาก
เครื่องยนต์เบนซิน V8 5.5 ลิตรเทอร์โบคู่ มาใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร
เทอร์โบคู่ มาด้วยกัน 2 รหัส คือ
– Mercedes-AMG E 63 4MATIC+ Estate
เครื่องยนต์เบนซิน Direct Injection V8 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี. เทอร์โบคู่ ให้กำลัง
สูงสุด 579 แรงม้า (PS) ที่ 5,750-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 76.47 กก-ม.
(750 นิวตันเมตร) ที่ 2,250-5,000 รอบ/นาที ทำตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 km/h
ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุดล็อคเอาไว้ที่ 250 km/h
– Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+ Estate
เครื่องยนต์เบนซิน Direct Injection V8 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี. เทอร์โบคู่ ให้กำลัง
สูงสุด 620 แรงม้า (PS) ที่ 5,750-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 86.67 กก-ม.
(850 นิวตันเมตร) ที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที ทำตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 km/h
ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดล็อคเอาไว้ที่ 250 km/h
เกียร์ AMG Speedshift MCT 9 จังหวะ แบบคลัตซ์คู่ แบบเปียก จูนมาเป็นพิเศษ
สำหรับทั้ง E 63 / E 63 S มีการปรับเปลี่ยนทั้งชิ้นส่วน -โปรแกรมเกียร์ โดย
โปรแกรมเกียร์ถูกจูนให้ ปรับเปลี่ยนเกียร์ด้วยระยะเวลาที่สั้นลง และ สามารถ
ตบเกียร์ลงได้หลายจังหวะอย่างรวดเร็ว เพื่อการตอบสนองด้านอัตราเร่งที่ไวขึ้น
มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 โหมด สำหรับ AMG Dynamic Select ได้แก่
– Comfort
– Sport
– Sport +
– Individual (ปรับเอง)
โหมดการขับขี่ สามารถปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง (เกียร์),
ช่วงล่าง, พวงมาลัย, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ
สามารถปลดล็อคเป็น 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยการติดตั้ง AMG Driver Package
เพิ่มเติม ถึงพละกำลังจะมหาศาล แต่ E63 มาพร้อมกับระบบตัดการทำงานให้เหลือ
เพียง 4 สูบ เมื่อตั้งระดับการขับขี่เอาไว้ใน Comfort Mode ซึ่งจะควบคุมรอบ
เครื่องยนต์ให้อยู่ระหว่าง 1,000 – 3,250 รอบ/นาที เพื่อช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น
ความพิเศษของรุ่น E 63 S จะมีลูกเล่นเพิ่มอีก 1 รายการ ใน Race Mode ซึ่งก็คือ
Drift Mode ที่จะส่งกำลังทั้งหมดลงล้อคู่หลัง พร้อมกับปิดระบบ Electronic Stability
Program (ESP) ทิ้ง และ ยังเปลี่ยนระบบเกียร์เป็น Manual Mode ซึ่ง Drift Mode
จะเปิดอยู่ตลอดจนกว่าคนขับจะสั่งปิดเอง
ช่วงล่างมาพร้อมกับ AMG Sport Suspension ช่วงล่างแบบถุงลม Air Suspension,
Rear Differential Lock, และ พวงมาลัยแบบ Electro-mechanical Speed Sensitive
Sports โดยใช้พื้นตัวถังแบบใหม่ Modular MRA ( Mercedes Rear-wheel drive
Architecture ) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+
สำหรับระบบเบรกด้านหน้าใช้จานเบรกขนาด 360 มิลลิเมตรพร้อมคาลิปเปอร์ 6 พอต
ด้านหลังใช้จานเบรกขนาด 360 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น E 63 S จะอัพเกรดเป็น 390 มิลลิเมตร
และ มี Option เสริมให้เลือกเพิ่มขนาดเป็น 420 มิลลิเมตรได้ หากรู้สึกว่าไม่พอ
ที่มา : Mercedes-Benz