วันนี้โลกยานยนต์ทั้งใบต่างพากันยอมแพ้ให้แก่เครื่องยนต์สันดาปภายใน แล้วหันไป
พัฒนาขุมพลังที่มีระบบไฟฟ้าเกี่ยวข้องแทน อาทิ ขุมพลัง Hybrid, Plug-in Hybrid
และรถไฟฟ้า 100% เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่มองว่าเครื่องยนต์สันดาปมันไปต่อไม่ได้
แล้วจริง ๆ

แต่ Mazda กลับมองว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในยังมีโอกาสพัฒนาต่อไปได้และ
Mazda อยากจะแสดงให้โลกรู้ว่าเครื่องยนต์สันดาปยังรีดเค้นประสิทธิภาพได้มากกว่านี้

2016_07_03_Mazda_1

เครื่องยนต์สันดาปภายในปกติทั่วไปมีการสูญเสียความร้อนเพื่อการระบายความร้อน
และระบบท่อไอเสีย อันเป็นศัตรูร้ายในเชิงประสิทธิภาพเพราะไม่สามารถนำความร้อน
มาใช้ให้เกิดประโยชน์และยังมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะมันมีอัตราส่วน
ประสิทธิภาพเชิงความร้อนต่ำแค่ 40% เท่านั้น

แต่สำหรับเครื่องยนต์ชนิด Adiabatic จะมีอัตราส่วนประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูงถึง
90%-100% ซึ่งมีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

Dave Coleman วิศวกรผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ประจำ Mazda ทวีปอเมริกาเหนือ
อธิบายว่า Mazda มีแผนการพัฒนาเครื่องยนต์ 3 ลำดับ ลำดับแรกคือเครื่องยนต์ SkyActiv
ที่เห็นกันในปัจจุบัน ลำดับที่สองคือเครื่องยนต์ SkyActiv ซีรีส์ 2 ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิดีขึ้น
และลำดับสุดท้ายคือเครื่องยนต์ชนิด Adiabatic

Dave Coleman ยังยอมรับว่าน่าจะได้เห็นโปรโตไทป์เครื่องยนต์ Adiabatic ลงในรถยนต์
Mazda กันอีกนาน แต่สำหรับ SkyActiv II กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา

2016_07_03_Mazda_2

อันที่จริง Coleman เคยเร่งให้ Mazda รีบออกเครื่องยนต์ SkyActiv II ดีเซลออกมาในปี
2014 แต่ทีมวิศวกรกลับเห็นตรงกันว่าเครื่องยนต์ดีเซลใหม่จะต้องไม่พึ่งพาสารของเหลว
เพื่อไอเสียสะอาด (Adblue) จึงทำให้เครื่องดีเซลตัวใหม่จำเป็นต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไป

ถึงแม้เป้าหมายสูงสุดของ Mazda คือการพัฒนาเครื่องยนต์ Adiabatic ให้สำเร็จ แต่
Mazda ก็ไม่คิดจะนำเกียร์คลัทช์คู่ DCT หรือเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะมาติดตั้งเพื่อรีด
ประสิทธิภาพขุมพลังเนื่องจาก Coleman มองว่าเกียร์ DCT ถูกตีค่าให้สูงเกินจริงเกินไป
คือมันมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมในบางอย่าง แต่ก็มีจุดอ่อนบางอย่างเช่นกัน

สำหรับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะก็มีปัญหาเกียร์ที่ 7-9 มีอัตราทดกองซ้อนทับกันอยู่ทำให้
ไม่สามารถรีดพละกำลังสูงสุดในเกียร์ที่ 9 ได้ ทุกครั้งที่ Downshift จะให้ความรู้สึก
เหมือนคันเร่งไร้อารมณ์

ที่มา : GoAuto